บทที่ 37 ภรรยาเป็นพวกบ้างาน
เพียงแต่ว่าจูเจียนเฉียงก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ เขารู้ว่านับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเซียวหยางแล้ว
ใบหน้าของจูเจียนเฉียงเผยสีหน้าฮึกเหิมมีชีวิตชีวา ในใจรอคอยให้เซียวหยางสามารถถ่ายทอดกังฟูให้เขาเดี๋ยวนี้เลยจริงๆ
ส่วนสูงของจูเจียนเฉียงไม่เกิน 180 เซนติเมตร ร่างกายอยู่ในจำพวกผอมแห้ง แค่ดูก็รู้แล้วว่าแต่ก่อนไม่เคยฝึกความแข็งแรงมาก่อน
พละกำลังไม่มากพอ ปฏิกิริยาตอบสนองก็เร็วไม่พอเช่นกัน ศิลปะการต่อสู้ยิ่งไม่มีความรู้
เซียวหยางตั้งใจจะสอนตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน เมื่อพื้นฐานแน่น วันหลังถึงจะได้มีช่องว่างในการเติบโต
“ยก 60KG ก่อน เซตหนึ่ง 10 ครั้ง ยกสัก 5 เซตก่อนแล้วกัน” เซียวหยางชี้ไปทางบาร์เบลที่อยู่อีกด้านหนึ่ง พลางพูด
ถัดมา ก็วิ่งกลับไปกลับมา ซิทอัพ ตลอดการฝึก ดวงตาของเซียวหยางไม่ปล่อยให้เกิดความผิดพลาดอะไรเล็ดรอดไปแม้แต่นิดเดียว
ให้จูเจียนเฉียงได้รับรู้ขีดจำกัดอันสูงสุด โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ได้ทำลายโครงสร้างร่างกายของเขา
สหายจูเจียนเฉียงที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยจะผ่านการฝึกที่หฤโหดขนาดนี้ ทั้งร่างใกล้จะล้มฟุบลงแล้ว เหงื่อไคลเต็มหน้า เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายนั้นเกือบจะสามารถบีบน้ำออกมาได้
แต่เขาก็กัดฟันยืนหยัดต่อไป ความเพียรในครั้งนี้ คุ้มค่าที่จะยกย่อง
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
จูเจียนเฉียงยังอยากจะฝึกฝนต่อไป แต่เซียวหยางโบกมือ พลางเอ่ยว่า “วันนี้ฝึกถึงตรงนี้ก่อนเถอะ การฝึกในครั้งแรกไม่สามารถทำเกินไปได้”
พูดความจริง เซียวหยางค่อนข้างพอใจกับการแสดงออกของสหายจูเจียนเฉียง
เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว จูเจียนเฉียงก็ล้มฟุบอยู่บนพื้น ร่างกายปวดเมื่อยไร้เรี่ยวแรง แทบอยากจะนอนอยู่บนพื้นแล้วไม่ลุกขึ้นมาอีก
แต่เขาเพิ่งจะปิดตา เท้าข้างหนึ่งของเซียวหยางก็เตะเข้ามา ประโยคหนึ่งทำลายความฝันอันงดงามลงในทันที
“ใครให้นายนอนกัน ไปทำท่านั่งบนหลังม้าที่หน้ากระจก เพื่อเป็นการผ่อนคลายจากการฝึกเสีย”
“20 นาที ถ้ากล้าขยับสักนิด วิดพื้น 10 ครั้ง”
จูเจียนเฉียงร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา เกือบจะคุกเข่าให้กับเซียวหยางแล้ว
ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ว่า อะไรที่เรียกว่าการฝึกนรก
เพียงแต่ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของอาจารย์ เขาจึงทำได้เพียงแค่เดินไปที่หน้ากระจกและทำท่านั่งบนหลังม้าอย่างเชื่อฟัง
เซียวหยางแอบขำเงียบๆ พยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่หน้ากระสอบทราย เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อและกระดูก
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ทุกหมัดที่เซียวหยางปล่อยออกมานั้น กระสอบทรายล้วนไม่ได้เกิดการสั่นไหว แต่อีกด้านหนึ่งกลับปรากฏรอยหมัดชัดเจนรอยหนึ่ง เสียงทุ้ม เหมือนกับเสียงฟ้าร้องที่ดังไม่หยุด
วิธีการแบบนี้ คล้ายกับมวยหย่งชุนอย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วเหมือนกับไม่มีแรง แต่ในหมัดหนึ่งนั้นมีการรวบรวมพละกำลังเอาไว้ ซึ่งยังคงน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้
หลังจากไม่กี่หมัด กระสอบทรายก็ถูกต่อยจนแตก เม็ดทรายด้านในไหลลงสู่พื้น
กระสอบทรายธรรมดาๆแบบนี้ ที่จริงแล้วรับน้ำหนักหมัดของเซียวหยางได้ไม่กี่ครั้ง กระสอบทรายที่สำนักดราก้อนใช้ในค่ายการฝึกอบรมพวกเขาล้วนมีคุณสมบัติพิเศษ สิ่งที่อยู่ด้านในไม่ใช่เม็ดทราย แต่เป็นลูกเหล็กคุณสมบัติพิเศษ วัสดุที่ใช้ภายนอกก็ไม่ใช่ผ้ากระสอบ แต่เป็นหนังจระเข้
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังแบกรับเด็กหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาไม่ได้ ต้องเปลี่ยนกระสอบทรายเป็นประจำ
จูเจียนเฉียงเบิกตาจนกลมโต มองฉากเบื้องหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เม็ดเหงื่อบนหน้าผากถูกแทนที่ด้วยเม็ดเหงื่อเย็นๆ
อาจารย์จะน่ากลัวเกินไปแล้วนะ ถึงกับชกกระสอบทรายขาดได้ ทันใดนั้นเลือดอันรุ่มร้อนในใจของเขาก็พลุ่งพล่าน แม้ว่าเขาในตอนนี้จะอ่อนเพลียจนไม่น่าดู แต่จิตใจที่อยากจะเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งของเขากลับแน่วแน่ขึ้นเรื่อยๆ
“ยืนนิ่งๆ สั่นไปสั่นมาจนกลายเป็นตัวอะไรแล้ว นายเต้นโพลแดนซ์แบบนี้หรือ ลำแขนยกตึง บริเวณเอวต้องแข็งแรง!”
เซียวหยางเดินขึ้นมา ใช้มือข้างหนึ่งฟาดลงไปยังส่วนต่างๆบนร่างกายของจูเจียนเฉียง
จูเจียนเฉียงถูกฟาดเสียจนหน้าตาบูดเบี้ยวไม่น่าดู แต่ในไม่ช้า สีหน้าของเขากลับแข็งค้างไป
เหมือนกับว่าผ่านการฟาดของอาจารย์ ร่างกายของเขามีกำลังวังชาใหม่ๆเกิดขึ้นมา ทั่วทั้งร่างกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
แม้ว่าจะฝัน เขาก็คิดไม่ถึงว่า เซียวหยางไม่ได้ฟาดไปบนตัวเขาสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เป็นการช่วยผ่อนคลายระบบหมุนเวียนเลือด สร้างเสริมการหมุนเวียนของโลหิต
ถ้าหากว่าฝึกแบบนี้จริงๆล่ะก็ วันที่สองจูเจียนเฉียงจะต้องลงจากเตียงไม่ไหวอย่างแน่นอน กลับกันผลลัพธ์จากการฝึกจะตรงข้ามกับที่คาดหวังเอาไว้ ดังนั้นการที่เซียวหยางทำแบบนี้ ก็เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อของเขา
เวลาสองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
การฝึกของจูเจียนเฉียงนั้นไม่หยุดเลยแม้แต่ครู่หนึ่ง แม้ว่าจะเป็นการพักผ่อน ก็ใช้การฝึกท่านั่งควบม้าเป็นการพักผ่อน
แต่ระดับความเชี่ยวชาญในการพลิกแพลงของเซียวหยางก็เหมาะพอดีทีเดียว แม้ว่าร่างกายจะถึงขีดจำกัดแล้ว แต่กำลังวังชาของจูเจียนเฉียงกลับดียิ่งขึ้น
เมื่อฝึกจบแล้ว ทั้งสองคนก็ออกไป มองดูเวลาก็เห็นว่าถึงเวลาเลิกงานแล้ว
“อาจารย์ ผมเชิญคุณออกไปทานข้าวนะครับ”
เซียวหยางโบกมือ “ไม่ต้องหรอก นายกลับไปก่อนเถอะ ฉันยังมีธุระอีกหน่อย”
จูเจียนเฉียงก็ไม่พูดอะไรให้มากความ เดินจากไปคนเดียว เขากลับไปแล้วยังต้องแช่น้ำตามที่อาจารย์บอกด้วย
ธุระที่เซียวหยางพูดนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นการรอคุณภรรยาผู้ยิ่งใหญ่เลิกงาน
เขากลับไปยังฝ่ายขาย ก็ว่างเปล่าไร้ผู้คน
เขาที่อยู่เบื่อๆคนเดียวก็เริ่มเล่นเกมส์ เวลาก็ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
รอถึงตอนที่เซียวหยางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูอีกครั้ง ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว
“ผู้หญิงคนนี้เล่นกับชีวิตหรือไงกัน ขึ้นไปดูสักหน่อยน่าจะดีกว่า”
เซียวหยางปิดคอมพิวเตอร์ ขึ้นลิฟต์โดยสารไปยังห้องทำงานประธานบริษัทที่อยู่ชั้นบนสุด
เดินไปถึงหน้าประตูห้องทำงานของเย่หยุนซูแล้วก็เคาะสองสามครั้ง หลายวินาทีผ่านไปก็ไม่มีใครตอบรับ
เซียวหยางคิ้วขมวด แง้มประตูให้มีช่องเล็กน้อย ก็เห็นเย่หยุนซูที่สมาธิจดจ่ออยู่กับการทำงานบนโต๊ะทำงานอยู่พอดี โดยไม่ได้รู้สึกถึงหน้าประตูแม้แต่น้อย ถึงได้โล่งใจ
เย่หยุนซูสวมแว่นสีทอง เธอไม่ได้สายตาสั้น แต่เป็นแว่นตาที่ป้องกันแสงสีฟ้า ตอนที่ทำงานเย่หยุนซูจะต้องสวมแน่นอน
เพียงแต่เมื่อสวมแว่นสีทอง เข้าคู่กับผมยาวสีดำที่แผ่สยายอยู่บนไหล่ ก็ทำให้เกิดความรู้สึกยั่วยวนต่อผู้อื่นเป็นอย่างมาก
แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเธอเป็นนักธุรกิจผู้มากความสามารถ มีความรู้ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ประธานสาวผู้มีฐานะสูงส่ง มองได้อย่างเดียวแต่จับต้องไม่ได้
สีหน้าของเย่หยุนซูจริงจังอย่างหาที่เปรียบมิได้ ใบหน้ารูปไข่ที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ เผยบรรยากาศสูงส่งออกมา ผ้าคลุมไหล่สีเหลืองห่าน กลับเสริมความฉลาดหลักแหลมอันอ่อนโยนออกมาให้เด่นชัดยิ่งขึ้น
เซียวหยางตะลึงค้างไปเล็กน้อยกับช่วงเวลานี้
ภายในครอบครัว ผู้หญิงที่แสดงบทบาทเป็นภรรยาของตัวเองก็คือเธอ เป็นประธานผู้สูงส่งที่บริษัทก็คือเธอ ไหล่บอบบางที่ต่อต้านตระกูลเย่ก็ยังคงเป็นเธอ
ในตอนนี้ เซียวหยางเพิ่งจะเข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าการปกป้องหญิงอันเป็นที่รัก ครอบครัวจะสงบและมีความสุข!
เซียวหยางไม่อยากทำลายบรรยากาศอันงดงามนี้ทิ้ง จึงผลักประตูเข้าไปเงียบๆ ยืนอย่างเงียบเชียบไร้เสียงอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เฝ้ามองหญิงสาวที่ตัวเองรัก
ผ่านไปประมาณ 5 นาที เย่หยุนซูก็รู้สึกอิดโรย สะบัดศีรษะงามไปมา บิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน จู่ๆก็เห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้า
เย่หยุนซูสะดุ้งตกใจจนแทบจะกระโดดตัวลอย ถอยไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ
เมื่อพิจารณามองชัดเจนแล้วว่าเป็นเซียวหยาง คิ้วงามก็ขมวดเข้าหากัน เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า
“คุณมาทำอะไรที่นี่ เข้ามาก็ไม่เคาะประตู ทำให้ผู้อื่นตกใจแทบตาย”
เซียวหยางยิ้มน้อยๆ “เห็นคุณตั้งใจทำงานขนาดนี้ ก็ทำใจที่จะรบกวนคุณไม่ได้ เป็นอย่างไรบ้าง เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ ผมจะช่วยนวดให้คุณเป็นไง”
เย่หยุนซูขยับไหล่ไปมา เก็บเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ เอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่อยากถูกคุณแต๊ะอั๋ง มือเท้าของคุณอยู่ไม่สุข ฉันจะไม่รู้เชียวหรือ”
“ถ้าหากว่าคุณเหนื่อยแล้วก็กลับไปเถอะ อย่ามารบกวนฉัน ฉันยังต้องใช้เวลาอีกชั่วโมง สองชั่วโมงถึงจะจัดการเสร็จ”
เซียวหยางยักไหล่ หมดคำพูด
คราวนี้เขาก็เห็นว่าบนโต๊ะมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางอยู่ชามหนึ่ง จะพูดอย่างไรเย่หยุนซูก็มีครอบครัวรวยมากกว่าร้อยล้าน อาหารมื้อเย็นกลับกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นการแก้ไข อีกอย่าง การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ไม่ดีต่อสุขภาพ
“ผู้หญิงคนนี้ ทำงานอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆ”
สีหน้าของเซียวหยางขรึมลง หยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมา
“เฮ้ คุณทำอะไรน่ะ นี่เป็นอาหารเย็นของฉันนะ”
เย่หยุนซูยังนึกว่าเซียวหยางจะแย่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับเธอ ก็ลนลานขึ้นมาในทันที
“เซียวหยาง จะละอายสักหน่อยได้ไหม กระทั่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคุณก็ยังจะแย่ง คุณนี่มีอนาคตจริงๆ”
เซียวหยางไม่พูดอะไร ถือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเอาไว้ แล้วเดินจากไป
เย่หยุนซูมองแผ่นหลังของเซียวหยางที่ไกลออกไป ก็กัดริมฝีปาก ใบหน้างามปรากฏความไม่พอใจอย่างที่สุด
จ๊อกๆ…….
ในตอนนี้เองที่ท้องมีเสียงประท้วงลอยออกมา
ที่จริงเธอหิวตั้งนานแล้ว เมื่อพบว่าในห้องทำงานเหลือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชามหนึ่ง ก็ตั้งใจจะทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแก้หิว
สุดท้ายเพิ่งจะต้มเสร็จ ก็ถูกเซียวหยางเอาไปแล้ว
“คนเลวสมควรตาย ทำเกินไปแล้วจริงๆ กระทั่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ยังแย่ง ไม่มีความเป็นคนเลยจริงๆ!”
เย่หยุนซูแหงนหน้ามองฟ้า พลางถอนหายใจ…….