“ช้าก่อน รบกวนหยุดก่อนครับ! ประธานเย่อย่าเพิ่งไป!”
ประธานเจิ้งรีบก้าวเข้าไปหา แล้วรั้งกลุ่มของเย่หยุนซูเอาไว้
เย่หยุนซูหยุดเดิน แล้วกระพริบตาปริบ ๆ พลางเอ่ยพูดว่า : “ประธานเจิ้ง ยังมีธุระอะไรอีกเหรอคะ?”
ประธานเจิ้งหัวเราะแห้ง ๆ “ประธานเย่ ผมอยากเจรจากับคุณสักครู่เรื่องความร่วมมือกับสมาคมการแพทย์ของพวกเราในครั้งนี้”
เย่หยุนซูแสร้งทำเป็นพูดด้วยความประหลาดใจ : “ประธานเจิ้ง พวกคุณได้เลือกพาร์ทเนอร์ไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
ขณะที่พูด ก็ทำเป็นชำเลืองมองเฉียนโหย่วฉายโดยไม่ได้ตั้งใจแวบหนึ่ง
“ประธานเย่ เมื่อครู่ที่พูดกันก็แค่เป็นเจตนาในการร่วมมือ ยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างจริงจัง ผลเมื่อครู่จึงยังไม่เป็นเอกฉันท์”
ประธานเจิ้งถูมือไปมา ในใจคิดว่าต้องรั้งเซียวหยางเอาไว้ให้ได้ หากมีเซียวหยาง ไม่เพียงแต่จะนำความก้าวหน้ามาให้การแพทย์แผนจีนของเมืองหยินโจวเท่านั้น แต่ยังถือเป็นบุญวาสนาของบรรดาผู้ป่วยเหล่านั้นด้วย
“พวกเราตัดสินใจแล้ว ความร่วมมือครั้งนี้เลือกบริษัทหยุนซูของพวกคุณ!” ประธานเจิ้งพูดอย่างห้าวหาญทรงพลัง
ตอนแรกเฉียนโหย่วฉายยังคิดว่าไม่มีอะไรมากหรอก เพียงแค่อยากจะเหยียบย่ำบริษัทหยุนซูให้ถึงที่สุดเท่านั้น จนเมื่อประธานเจิ้งตามออกไป เขาถึงค่อย ๆ รู้สึกได้ว่าท่าไม่ดีแล้ว
และตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของประธานเจิ้ง เขาก็รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวเป็นอย่างมาก
“จิ๊จิ๊ ดูท่าคนบางคนคงแย่แล้วล่ะ อย่าไปดูถูกใครหรือหาเรื่องใคร เพราะวันข้างหน้าเขาอาจมีบทบาทต่อชีวิตเราหรือเราอาจต้องพึ่งพาเขาก็ได้ ถูกตบหน้าเร็วเกินไปแล้วมั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า”
ตัวแทนในการเจรจาคนหนึ่งของบริษัท โจวซื่อ กรุ๊ป พูดหยอกล้ออย่างเต็มที่
บริษัท โจวซื่อ กรุ๊ปเป็นบริษัทในเครือของโจวเจี้ยนต๋า พวกเขาก็เข้าร่วมการประมูลครั้งนี้ด้วย แต่โจวเจี้ยนต๋ารู้ถึงความน่ากลัวของเซียวหยางแล้ว ครั้งนี้จึงกำชับลูกน้องอย่างดี ไม่ว่ายังไงก็ตามห้ามเป็นปฏิปักษ์กับบริษัทหยุนซูเด็ดขาด
เฉียนโหย่วฉายอัดอั้นตันใจจนพูดไม่ออก เมื่อครู่เขาข่มเหงกดดันบริษัทหยุนซูไม่หยุด บริษัทหยุนซูจะไปแล้วแท้ ๆ แต่เขาดันรั้งเอาไว้ เพื่อเย้ยหยันอีกรอบ
แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้
เฉียนโหย่วฉายแทบจะอยากตบหน้าตัวเองสักสองสามฉาด แม่งเอ้ย ทำไมตัวเองถึงได้ปากเสียอย่างนั้นนะ เดิมทีความร่วมมือครั้งนี้ตกเป็นของเขาแล้ว ตอนนี้กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า
ส่วนพวกหมอของสมาคมการแพทย์แห่งเมืองหยินโจว ก็ได้แต่มองเซียวหยางตาปริบ ๆ มองด้วยแววตาขอร้องอ้อนวอน พวกเขาต่างหวังให้เซียวหยางอยู่ต่อ
ความร่วมมือเป็นเพียงเรื่องรอง แต่การรั้งเซียวหยางเอาไว้ต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ
ประธานเจิ้งและคนอื่น ๆ ต่างก็คิดอย่างนี้ เพียงหวังให้เซียวหยางไว้หน้าสักหน่อย ยอมตกลงร่วมมือกับสมาคมการแพทย์
หากไม่ใช่เพราะเซียวหยางมีทักษะการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมล้นฟ้า จนทำให้ทุกคนยอมเลื่อมใสศรัทธา ผลลัพธ์ก็ไม่มีทางออกมาเป็นแบบนี้หรอก
เดิมทีบริษัทใหญ่ ๆ ทั้งหลายต่างต้องร้องขอให้สมาคมการแพทย์ร่วมมือด้วย แต่เมื่อเซียวหยางโผล่มา ทุกอย่างก็กลับตาลปัตรไปหมด
เซียวหยางยักไหล่ แล้วพูดว่า : “พวกคุณมองผมก็ไม่มีประโยชน์หรอก ประธานเย่เป็นผู้ดูแลบริษัทหยุนซู เธอต่างหากเป็นคนตัดสินใจ”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ เย่หยุนซูก็หาทางลงได้โดยไม่รู้สึกเคอะเขิน ไม่ต้องเสแสร้งวางมาดอีกต่อไปแล้ว
“ก็ได้ค่ะ ประธานเจิ้ง ยินดีที่ได้ร่วมมือกันนะคะ” เย่หยุนซูเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปก่อนเพื่อจับมือกับประธานเจิ้ง
ในที่สุดประธานเจิ้งก็โล่งใจได้สักที และคนอื่น ๆ ในที่นี้ต่างก็มีท่าทีดีใจกันใหญ่
ส่วนเฉียนโหย่วฉาย ทำหน้าเหมือนแม่เสียชีวิตไปไม่มีผิด
เรื่องรายละเอียดของความร่วมมือ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เซียวหยางยื่นมือมาช่วยแล้ว ทีมที่เย่หยุนซูพามาจะเจรจากับทางสมาคมการแพทย์ให้เรียบร้อยเอง
ซุนจ้าวเหนียงเดินมาตรงหน้าของเซียวหยาง แล้วทำท่าคารวะแบบจีนพลางพูดว่า : “หมอเทวดาน้อย ผมแก่แล้ว ทำไม่ไหวแล้ว โรงพยาบาลที่พวกคุณเปิด สามารถให้ลูกศิษย์ที่โง่เขลาสองคนของผมไปเรียนรู้ได้ไหมครับ?”
เซียวหยางหัวเราะแล้วพูดว่า : “ผู้อาวุโสซุน คุณถ่อมตัวเกินไปแล้ว เรื่องนี้คุณต้องถามประธานเจิ้งนะ”
ไม่ทันได้สังเกต ที่จริงเซียวหยางได้ไว้หน้าประธานเจิ้งแล้ว ไม่ได้ทะนงตนจนเกินไป
ซึ่งหมายความว่าเรื่องนี้ประธานเจิ้งเป็นคนดูแล ที่จริงก็เหมือนตอบตกลงซุนจ้าวเหนียงยอมให้ลูกศิษย์ทั้งสองคนมาทำงานที่โรงพยาบาลแล้วนั่นแหละ และประธานเจิ้งเองก็จะดีใจ เพราะความร่วมมือในภายภาคหน้า จะสะดวกสบายยิ่งขึ้น
วันนี้บริษัทมากมายที่อยู่ในงาน ไม่มีบริษัทไหนสักแห่งที่คิดว่าสุดท้ายบริษัทที่เล็กสุดอย่างบริษัทหยุนซูจะเป็นฝ่ายชนะ ทำให้ทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออก
เมื่อเจรจาเสร็จ เย่หยุนซูกับเซียวหยางก็ออกไปจากห้องประชุม
ภายในห้องประชุมบรรยากาศเย็นยะเยือกมาก ต่างจากด้านนอกห้องประชุมที่ตามถนนหนทางกลับมีแดดเปรี้ยง
“หยุนซู ตอนนี้พวกเราจะไปไหนกัน? กลับบริษัทหรือว่ากลับบ้านไปฉลองกันดี?”
เซียวหยางเดินไปพลาง พูดพึมพำคนเดียวไปพลาง เดินไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าเย่หยุนซูไม่ได้เดินตามมา
“หยุนซู ทำไมไม่เดินมาล่ะ?”
เย่หยุนซูเอามือกอดอก แล้วมองสำรวจเซียวหยางตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เป็นอะไรไป หรือว่าไม่สบาย?” เซียวหยางเอ่ยถามด้วยความห่วงใย แล้วลูบหน้าผากของเธอ ก็ไม่ได้ป่วยนี่นา
เย่หยุนซูถอนหายใจออกมา สายตาจ้องมองเซียวหยางอย่างละเอียด แล้วเอ่ยถาม : “เซียวหยาง ตกลงนายเป็นใครกันแน่?”
เซียวหยางอึ้งไปเล็กน้อย “หมายความว่ายังไง ทำไมจู่ ๆ ถึงถามแบบนี้?”
“เมื่อกี้นี้ในห้องประชุม ถึงแม้ฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเข็มสั่นกับเข็มเงินฝังไม้ว่าคืออะไร แต่ฉันดูท่าทีของหมอพวกนั้นออก ทักษะการแพทย์ของนายมันคือศิลปวิทยาการขั้นสูงสุด เก่งกาจมาก”
“นายฝีมือดีมาก อีกทั้งยังมีทักษะการแพทย์ด้วย ทำไมอยู่ต่อหน้าฉันต้องแสดงว่าไม่เอาไหนขนาดนั้นด้วย ทำไมต้องมาเป็นเขยที่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงตระกูลเย่ของฉัน แล้วถูกคนเยาะเย้ยอยู่สามปีเต็ม ๆ?”
“นาย มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
เซียวหยางอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วตีหัวตัวเองหนึ่งที “เฮ้ เธอหมายถึงเรื่องนี้เองเหรอ?”
“นายอย่าบอกฉันนะ ว่าตอนอยู่ต่างประเทศนายทำงานตามโรงพยาบาลอยู่ช่วงหนึ่งอะไรทำนองนั้น เลยทำเป็นหมดทุกอย่าง ฉันไม่เชื่อ!”
เย่หยุนซูเหมือนอ่านความคิดเซียวหยางออกยังไงยังงั้น ทุกครั้งเอาแต่หาเหตุผลงี่เง่าพวกนั้นมาพูด เห็นเธอเป็นคนโง่จริง ๆ หรือไง?
เซียวหยางยักไหล่ แล้วพูดว่า : “ฉันมีทักษะการแพทย์จริง ๆ แต่ฉันไม่ค่อยได้รักษาคนอื่น เมื่อหลายปีก่อนฉันได้รู้จักกับแพทย์แผนจีนแก่ ๆ คนหนึ่ง เขาสอนทักษะการแพทย์ให้กับฉันอยู่ระยะหนึ่งจากนั้นก็เสียชีวิต”
“ก่อนเขาตายได้บอกไว้ว่าอย่าเปิดเผยทักษะการแพทย์ของตัวเองให้คนอื่นเห็นง่าย ๆ แต่วันนี้สถานการณ์มันจำเป็น ฉันเลยต้องเผยทักษะของตัวเองออกมานิดหน่อย ทักษะการแพทย์ของฉันมีที่มาที่ไปแบบนี้ล่ะ”
“เป็นแบบนี้จริง ๆ เหรอ?” เย่หยุนซูรู้สึกสับสนเล็กน้อย เซียวหยางพูดอย่างจริงจังมาก แต่เจ้าหมอนี่เชื่อถือไม่ค่อยได้ ลูกเล่นแพรวพราวพูดจากลับกลอกเก่งนัก
“จริงสิ เมื่อกี้นี้นายพูดว่า หลังจากเปิดโรงพยาบาลแล้วจะก่อตั้งศูนย์ฝึกอบรม แต่นายกลับพูดอีกว่าเปิดเผยทักษะการแพทย์ให้คนอื่นรู้ง่าย ๆ ไม่ได้……”
เซียวหยางรู้สึกหมดคำพูดทันที “หยุนซู ปกติเธอค่อนข้างฉลาดนี่นา ทำไมวันนี้ถึงได้สับสนอย่างนี้ล่ะ?”
“ศูนย์ฝึกอบรมที่พูดถึง ที่จริงก็แค่พูดให้ฟังดูดีเท่านั้น ถึงเวลาที่เธอสร้างโรงพยาบาลเสร็จ ฉันก็แค่ไปสอนเทคนิคการรักษาในบางเรื่องให้กับหมอพวกนั้น ให้พวกเขาได้เรียนรู้วิธีการรักษาพยาบาลง่าย ๆ ก็เพียงพอแล้ว”
เมื่อได้ยินเซียวหยางชี้แนะ เย่หยุนซูก็เข้าใจได้ทันที วันนี้ตัวเองรู้สึกว่าสมองไม่ทำงานแล้วจริง ๆ อาจเป็นเพราะช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมากเกินไป
เย่หยุนซูนวดหัวตัวเอง สีหน้าดูเหนื่อยล้า
“พวกเราไปกันเถอะ ด้านนอกอากาศร้อนเกินไปแล้ว ขึ้นรถแล้วค่อยพูดต่อ” เซียวหยางจูงเย่หยุนซูมาที่รถ
เย่หยุนซูหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเครื่องคิดเลขแล้วคำนวณอะไรบางอย่างไม่หยุด
“หยุนซู กำลังคำนวณอะไรเหรอ?” เซียวหยางเอ่ยถาม
“คำนวณค่าคอมมิชชั่นครั้งนี้ของนายยังไงล่ะ นายไม่อยากรู้เหรอ ว่านายทำงานใหญ่ขนาดนี้ได้สำเร็จ จะได้ค่าคอมมิชชั่นเท่าไหร่?” เย่หยุนซูยิ้มพลางเอ่ยถาม
เซียวหยางอึ้งไปเล็กน้อย เขาโบกปัดมือแบบผ่าน ๆ แล้วพูดว่า : “เป็นธุรกิจของครอบครัวตัวเอง จะคิดค่าคอมมิชชั่นอะไรกัน ให้แค่ประมาณแปดล้านถึงสิบล้านก็พอแล้ว”
“ไปให้พ้นเลย แปดล้านสิบล้าน นายนี่มันโลภจริง ๆ” เย่หยุนซูทำจมูกย่น แล้วทำเสียงไม่พอใจออกมา
“แต่ว่า คราวก่อนนายเชิญดาราดังมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับบริษัทได้ ครั้งนี้ก็ทำให้ความร่วมมือสำเร็จลุล่วงได้อีก ทำได้ดีมากเลยนะ”
เซียวหยางมีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา “หยุนซู ฉันมีอะไรจะเสนอล่ะ!”
“เสนออะไร?”
“เงินรางวัลตอบแทนอะไรพวกนั้นฉันไม่ต้องการแล้ว พวกเราไปฮันนีมูนด้วยกันดีกว่านะ”