ฉินอวี้โม่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งนางอยู่ในตระกูลฉินแห่งเมืองหลิงซีให้แก่หานโม่ฉือได้รับรู้
ในเมื่อตอนนี้พวกเขาทั้งสองตัดสินใจที่จะเดินเคียงคู่กัน ดังนั้นจึงไม่สมควรมีเรื่องปิดบังซ่อนเร้นใด ๆ ต่อกันอีก เมื่อครั้งยังอยู่ในศตวรรษที่ 21 ฉินอวี้โม่เหนื่อยหน่ายกับการอ่านนิยายที่คู่รักมีปัญหากันเพราะค้นพบว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปกปิดเรื่องราวบางอย่างไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้มามากแล้ว
เมื่อได้ยินสิ่งที่คนข้างกายบอกเล่า หานโม่ฉือก็พยักหน้า
“วางใจเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าตามหาแม่เอง”
หานโม่ฉือส่งแผ่นป้ายไม่ใหญ่ไม่เล็กแผ่นหนึ่งให้ฉินอวี้โม่แล้วสั่งความ “อวี้โม่ ข้าขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า เจ้าสามารถนำแผ่นป้ายนี้ไปที่ร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของทุกเมืองได้ ขอเพียงเห็นมัน พวกเขาจะฟังคำสั่งของเจ้าทุกอย่าง”
แผ่นป้ายนี้คือป้ายแสดงสถานะที่สามารถใช้ควบคุมหรือสั่งการขุมกำลังของหานโม่ฉือที่มีนามอันแปลกประหลาดว่า—ประตูไร้เงา
หานโม่ฉือผู้นี้มิใช่คนธรรมดา ขุมกำลังของเขามีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย พวกเขาแทรกซึมกระจายอำนาจไปทั่วทั้งดินแดนหวนหลิงไม่ต่างจากอากาศที่อยู่รอบตัวคน ร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของทุกเมืองในดินแดนแห่งนี้ต่างก็อยู่ภายใต้อำนาจของ ‘ประตูไร้เงา’ ทั้งหมด
แผ่นป้ายนี้มีความสำคัญมาก ขอเพียงมีแผ่นป้ายนี้อยู่ในมือ ผู้ถือป้ายจะสามารถควบคุมประตูไร้เงาได้อย่างเบ็ดเสร็จ
การที่หานโม่ฉือมอบของสิ่งนี้ให้แก่ฉินอวี้โม่นั้นก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่มีต่อนาง และที่สำคัญคือเพื่อเป็นสิ่งแสดงความจริงใจที่เขามีต่อสตรีผู้เป็นที่รัก
ฉินอวี้โม่รับแผ่นป้ายมา นางจะไม่สงสัยในการตัดสินใจของเขา ตอนนี้นางวางหัวใจเอาไว้ในมือของเขาแล้ว ดังนั้นนางก็จะเชื่อใจบุรุษผู้นี้ให้ถึงที่สุดและให้สมกับที่เขาวางใจในตัวนางเช่นกัน
“อวี้โม่ ข้าต้องไปก่อน ยังมีบางเรื่องที่รอให้ข้าไปจัดการในเมืองไป๋อวิ๋น”
สองหนุ่มสาวนั่งเคียงข้าง จับมือพูดคุยกันได้เพียงไม่นาน หานโม่ฉือก็เอ่ยปากขอลา
ยามนี้ ดูเหมือนว่าท้องฟ้าภายนอกจะเริ่มสว่างแล้ว แสงรำไรแห่งยามเช้าตรู่ส่องลอดช่องเล็กช่องน้อยบนเพดานถ้ำลงมาให้เห็น
ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับ เรื่องที่หานโม่ฉือต้องไปจัดการนั้น นางเองก็ทราบดี
“ข้าจะรอเจ้าที่นครไป๋อวิ๋น”
แม้ว่าจะลังเลอยู่นาน แต่ในที่สุดหานโม่ฉือก็กล่าวคำอำลาอีกครั้งพร้อมให้คำมั่น เขามองใบหน้างดงามของสตรีผู้อยู่ในหัวใจอีกครู่ใหญ่ก่อนจะหักใจแล้วหันหลังเดินจากไป
ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับ แม้จะมีความรู้สึกอันแสนหนักอึ้งเจือปนกับความโศกเศร้าอยู่ในหัวใจดวงน้อย แต่นางก็ต้องรีบหักห้าม พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ยังมีภารกิจหลายอย่างที่ต้องจัดการ
หลังจากหานโม่ฉือจากไปแล้ว ฉินอวี้โม่ก็จัดเครื่องแต่งกายของตัวเองอีกครั้ง
ต้องบอกเลยว่า ‘ปฏิบัติการถอนพิษร้าย’ ของหนุ่มสาวทั้งสองก่อนหน้านี้นั้นค่อนข้างจะ…เข้มข้น สภาพของฉินอวี้โม่ในตอนนี้จึงดูน่าอายสักเล็กน้อย
โชคดีที่นางได้เตรียมอาภรณ์สำรองไว้ภายในแหวนมิติหลายชุด หลังจากจัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเรียบร้อย อดีตคุณหนูก็รีบมุ่งหน้ากลับไปยังจุดพักแรมในคืนที่ผ่านมา
เมื่อโอวหยางชิงเฟิงตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าฉินอวี้โม่หายตัวไปก็ทำให้เขากังวลใจอยู่ไม่น้อย
หากไม่ใช่เพราะการกลับมาของเสี่ยวจิ่วและข้อความที่ฉินอวี้โม่ฝากไว้กับม่อเสีย เขาและเสี่ยวโร่วก็คงจะรีบร้อนออกไปตามหานางแล้ว
“คุณชายโอวหยาง ทำไมคุณหนูถึงยังไม่กลับมา ?”
เมื่อเห็นท้องฟ้าสว่างแล้ว แต่ยังไร้เงาของฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วก็ถามอย่างกระวนกระวาย
ในตอนที่โอวหยางชิงเฟิงกำลังจะตอบ เขาก็รู้สึกถึงสายลมที่เคลื่อนไหวรอบ ๆ ตัว ไม่นานนักฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
“คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว”
เมื่อเห็นตัวฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วก็รีบวิ่งเข้ามาจับมือฉินอวี้โม่อย่างโล่งอก ทว่าไม่ทราบเพราะเหตุใด สาวใช้น้อยจึงรู้สึกราวกับว่าคุณหนูของนางแตกต่างไปจากเดิม
“คุณหนู เมื่อคืนไปที่ไหนมาหรือเจ้าคะ ? ทำไมเหมือนข้าจะรู้สึกว่าคุณหนูดูต่างไปจากเมื่อวาน ?”
เสี่ยวโร่วคือเด็กซื่อ เมื่อนางไม่รู้อะไรก็จะถามออกไปตรง ๆ เด็กสาวมองสำรวจฉินอวี้โม่ทั้งตัวพลางกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ต่างตรงไหนกัน ?”
ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อย นางไม่คิดว่าเสี่ยวโร่วจะมีความรู้สึกที่ว่องไวเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม สาวงามก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด
“คุณหนูดู… น่าหลงใหลกว่าแต่ก่อนเจ้าค่ะ !”
เสี่ยวโร่วมองฉินอวี้โม่ สาวน้อยรู้สึกว่าหากนางเป็นบุรุษ นางก็คงจะตกหลุมรักคุณหนูไปแล้วเป็นแน่แท้
ฉินอวี้โม่โล่งใจไปเล็กน้อย แท้จริงแล้วนางไม่อยากปิดบังเรื่องราวใด ๆ กับเสี่ยวโร่วเลย เพียงแต่ผู้เป็นอดีตคุณหนูเกรงว่าหากสาวใช้น้อยรู้เรื่องที่นางใช้กายเทพมายานี้ช่วยหานโม่ฉือ เด็กสาวอาจจะรู้สึกกลัว เรื่องเช่นนี้หนักหนาเกินไป และเด็กอายุน้อยอย่างเสี่ยวโร่วก็คงไม่อาจยอมรับได้โดยง่าย
“เด็กกะล่อน ปากเจ้าหวานขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ”
ฉินอวี้โม่หยิกแก้มเสี่ยวโร่วเบา ๆ พร้อมกับยิ้มเอ็นดู
“โอวหยางชิงเฟิง ข้ากับเสี่ยวโร่ววางแผนว่าจะอยู่ในป่าแสงจันทร์แห่งนี้ต่ออีกหน่อยเพื่อฝึกวิชา จากนั้นค่อยเดินทางไปที่นครไป๋อวิ๋น หากเจ้ามีเรื่องที่ต้องทำ เจ้าก็ล่วงหน้าไปก่อนได้เลย”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับโอวหยางชิงเฟิง เวลานี้นางถือว่าเขาคือสหายผู้หนึ่ง ดังนั้นอดีตคุณหนูจึงเลือกที่จะกล่าวกับเขาอย่างตรงไปตรงมาในสิ่งที่นางต้องการ ตอนนี้นางและเสี่ยวโร่วยังไม่มีเรื่องเร่งด่วนต้องทำไปที่นครไป๋อวิ๋น และที่นั่นมีก็เรื่องราวมากมายหลายอย่างที่ไม่ทราบว่าร้ายหรือดีรอพวกนางอยู่ ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่าหากได้ฝึกฝนพลังมายาและทักษะร่างกายภายในป่าแสงจันทร์ก่อนไปเยือนนครไป๋อวิ๋น เพราะถ้ามีเรื่องร้ายแรงใดเกิดขึ้นที่นั่น พวกนางทั้งคู่จะได้มีพลังพอจะป้องกันตัวเองได้
โอวหยางชิงเฟิงนั้นต่างจากพวกนาง เขามาจากตระกูลโอวหยาง บางทีเขาอาจจะมีเรื่องที่ต้องไปทำ การให้เขามาคอยอยู่เฝ้าพวกนางในป่าแห่งนี้อย่างเปล่าประโยชน์ไม่เป็นผลดีใด ๆ และมันก็รังแต่จะทำให้งานของเขาล่าช้าเท่านั้น
“อวี้โม่ เจ้าเห็นข้าเป็นคนไม่รักษาสัญญาอย่างนั้นหรือ ?”
โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าเพียงแต่กลัวจะทำให้เจ้าเสียงานเท่านั้นเอง”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างอับจนหนทาง โอวหยางชิงเฟิงอายุเพียงสิบแปดปี เขายังมีความเป็นเด็กอยู่บ้างจึงทำให้ความรู้สึกในด้านเหตุผลของเขาค่อนข้างช้า
เมื่อได้ฟังคำพูดของฉินอวี้โม่ โอวหยางชิงเฟิงก็คิดได้ หนุ่มหน้าใสหัวเราะเบา ๆ อย่างเก้อเขิน แล้วตอบสหาย
“แหะ ๆ เรื่องนั้นอย่าห่วงเลย ข้าไม่มีงานอะไรต้องไปทำที่ตระกูลทั้งนั้น ที่สำคัญข้าสัญญากับเจ้าแล้วว่าจะพาเจ้าเที่ยวชมป่าแสงจันทร์ อีกประมาณครึ่งปีหลังจากนี้จะมีการสอบคัดเลือกผู้ที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนัก ข้าอยากจะบอกเจ้าเอาไว้ก่อนเผื่อว่าเจ้าจะสนใจ ข้าเองก็มีความคิดที่จะลงสอบคัดเลือกด้วย บางทีเราอาจจะไปคัดเลือกด้วยกันได้”
โอวหยางชิงเฟิงบอกเล่าสิ่งที่เขาคิดอย่างไม่ปิดบัง บนใบหน้าใสประดับรอยยิ้มกว้าง มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะได้พบเจอกับสหายที่ดีถึงสองคนเช่นนี้ โอวหยางชิงเฟิงยังไม่อยากกลับไปที่ตระกูลของเขาในตอนนี้ เขาสนุกที่ได้พวกนางมาเป็นสหายและยังอยากจะใช้เวลาร่วมกับสหายของเขาก่อน
“ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็ใช้ป่าแสงจันทร์เป็นที่ฝึกฝนกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าแล้วเชิญชวนและไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีกหลังจากนั้น
ในเมื่อโอวหยางชิงเฟิงเลือกที่จะอยู่ นางก็ไม่มีความเห็นอื่น อย่างไรเสียการมีโอวหยางชิงเฟิงอยู่ด้วยก็ทำให้การเดินทางภายในป่าแสงจันทร์สะดวกมากยิ่งขึ้น
หลายวันหลังจากนั้น พวกเขาทั้งสามคนก็พากันท่องไปทั่วผืนป่าเพื่อหาประสบการณ์และฝึกฝนพลังมายาไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาร่างกาย
แน่นอนว่าในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูร ฉินอวี้โม่ก็ช่วยสยบอสูรมายาให้ทั้งโอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่ว
ตอนนี้ระดับพลังของนางพัฒนาไปไกลมาก และเมื่อบวกรวมกับการที่นางมีราชาอสรพิษเก้าเศียรแล้ว การจะกำราบอสูรเทวะราชันให้อยู่หมัดก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกแล้ว
ทว่าสถานที่บางแห่งในป่าแสงจันทร์นั้นมีทั้งความลึกลับและอันตรายที่น่าหวาดหวั่นแฝงอยู่ แม้ว่าฉินอวี้โม่จะคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมากแล้ว แต่บางจุดนางก็ยังไม่กล้าจะเหยียบย่างเข้าไป
ดังนั้นส่วนมากพวกเขาจึงมุ่งเน้นตามหาอสูรมายารอบ ๆ ผาทรนงเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม อสูรเทวะราชันก็หาได้ยากอย่างยิ่ง ผ่านไปกว่าครึ่งปี พวกเขาทั้งสามยังพบอสูรมายาระดับเทวะราชันเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น
โอวหยางชิงเฟิงไม่ลังเลเลยที่จะให้เสี่ยวโร่วทำพันธสัญญากับอสูรระดับเทวะราชันตัวนั้น
และเป็นเพราะได้ทำพันธสัญญากับอสูรเทวะราชันบวกกับการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงกว่าครึ่งปีทำให้เวลานี้เสี่ยวโร่วกลายเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวนางก็จะข้ามไปถึงขอบเขตนภมายาและกลายเป็น ยอดฝีมือที่แท้จริง อย่างเต็มตัวแล้ว
ในครึ่งปีที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของโอวหยางชิงเฟิงเองก็ก้าวหน้าไปมาก ส่วนผู้ที่พัฒนาระดับพลังไปได้น้อยที่สุดก็คือฉินอวี้โม่
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่อยู่ขอบเขตนภมายาหกดารา หากนางต้องการจะให้พลังของตัวเองก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงหนทางเดียวนั่นคือ นางจะต้องทำพันธสัญญากับอสูรเทวะราชันที่มีดาราสูงๆ อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีที่ผ่านมานางยังไม่พบเจออสูรเทวะราชันดาราสูงเลยแม้แต่ตัวเดียว
ดังนั้นแม้จะผ่านมาหลายเดือนแล้ว ฉินอวี้โม่ก็เพียงแต่ก้าวหน้าจากขอบเขตนภมายาหกดาราขึ้นมาเป็นนภมายาเจ็ดดาราเท่านั้น
ในเรื่องนี้นับว่าไม่แปลกเพราะขอบเขตนภมายาเป็นขอบเขตที่ยากที่จะก้าวหน้าได้ ในช่วงที่ผ่านมาสาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูจึงทดลองปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ โดยการจับอสูรมายาในทุกระดับและหลากหลายชนิดมาทำพันธสัญญาแล้วปล่อยพวกมันไปในภายหลัง ทว่าแม้จะทำเช่นนี้ไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่นางก็ยังคงก้าวหน้าได้ช้ามาก
อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีที่ผ่านมาก็นับว่าไม่ได้สูญเปล่า เพราะฉินอวี้โม่ได้สำเร็จทักษะอสูรเสริมร่างเรียบร้อยแล้ว ในขณะเดียวกันนางยังได้วิชานภายุทธ์ของตัวเองมาแล้วด้วย
ในตอนที่ฉินอวี้โม่ได้ลองปลดปล่อยนภายุทธ์ครั้งแรก เสี่ยวโร่วและโอวหยางชิงเฟิงก็ต้องผงะไปด้วยความตกตะลึง ซึ่งก็เป็นเพราะพลังทำลายล้างและความรุนแรงของนภายุทธ์ของฉินอวี้โม่นั้นน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
หกเดือนผ่านไปราวกับชั่วพริบตา ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น การสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักที่โอวหยางชิงเฟิงพูดถึงก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในวันนี้ สมาชิกทั้งสามแห่งคณะท่องไปในไพรกว้างจึงยุติภารกิจสำรวจป่าแห่งนี้ลง ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว และโอวหยางชิงเฟิงต่างก็เก็บข้าวของเพื่อจะมุ่งหน้าเดินทางไปยังนคราใหญ่ไป๋อวิ๋นอย่างไม่ลังเล
ในบรรดาอสูรมายาของพวกเขาทั้งหมด อสูรที่มีความเร็วสูงที่สุดคืออสูรมายาของฉินอวี้โม่ เสี่ยวจิน–เหยี่ยวปีกทองเทวะราชัน
หลังจากทั้งหมดขึ้นไปนั่งบนหลังของเสี่ยวจินแล้ว เหยี่ยวตัวยักษ์สีทองอร่ามก็บินตรงไปยังที่ตั้งแห่งนครไป๋อวิ๋นทันที หลายวันแห่งการเดินทาง โอวหยางชิงเฟิงก็บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองหลวงของจักรวรรดิให้ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วฟังอย่างคร่าว ๆ
นครไป๋อวิ๋นคือเมืองใหญ่ที่เก่าแก่และเจริญที่สุดแห่งหนึ่งของดินแดนหวนหลิง แม้ว่าในดินแดนมายาแห่งนี้จะมีแคว้นอยู่หลายแคว้นหรือมีจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่พอ ๆ กับจักรวรรดิไป๋อวิ๋นอย่างจักรวรรดิชิงเฟิงอยู่ แต่ถ้าหากเทียบกันเพียงแค่เมืองเมืองหนึ่ง นครไป๋อวิ๋นนั้นนับเป็นหนึ่งในเมืองที่ยิ่งใหญ่และดีที่สุดในดินแดน
นครใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่พิเศษ ศูนย์บัญชาการใหญ่แห่งสมาคมที่ทรงอิทธิพลต่างก็ตั้งอยู่ภายในเมืองแห่งนี้ นอกจากนั้นยังเป็นที่ตั้งของสามตระกูลที่ทรงอำนาจมาก และเมื่อรวมเข้ากับโรงเรียนราชสำนักที่มีชื่อเสียงไปทั่วดินแดนแล้ว นครไป๋อวิ๋นจึงเป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญที่สุดในแผ่นดินนี้
แม้แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแคว้นอื่นๆ ก็ล้วนเคยเดินทางมายังนครไป๋อวิ๋นด้วยจุดประสงค์ที่หลากหลาย บ้างก็มาเพื่อสมัครเข้าร่วมกับสามสมาคมใหญ่และอีกมากมายมาเพื่อคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนัก
บนดินแดนหวงหลิงแห่งนี้มีแคว้นใหญ่น้อยอยู่นับไม่ถ้วน ทว่าแทบจะทุกแคว้นก็ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์อันดีกับนครไป๋อวิ๋นทั้งสิ้น ซึ่งนั่นก็รวมถึงจักรวรรดิชิงเฟิง อาณาจักรข้างเคียงที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้จักรวรรดิไป๋อวิ๋น แต่ทว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น และด้วยเหตุผลที่ไป๋อวิ๋นเป็นเมืองใหญ่ แทบทุกแคว้นจึงส่งคนของตัวเองเข้ามาแทรกซึมอยู่ในนครแห่งนี้จำนวนมาก และเป็นผลให้จักรวรรดิไป๋อวิ๋นเองก็ควบคุมอำนาจภายในเมืองหลวงแห่งนี้ได้ยากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
แต่ในสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด โรงเรียนราชสำนักถือเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ในทุก ๆ เดือนเก้าของแต่ละปี โรงเรียนแห่งนี้จะมีการจัดสอบคัดเลือกครั้งใหญ่
ที่กล่าวว่าครั้งใหญ่นั้นก็เป็นเพราะผู้ที่มาเข้ารับการคัดเลือกจะมาจากทั่วทุกสารทิศในหวนหลิง และเนื่องจากจำนวนคนที่มาเข้ามาสอบนั้นมีอย่างมหาศาล กฎกติกาในการสอบจึงต้องเข้มข้นมากตามไปด้วย
ผู้ที่จะสอบผ่านเข้าเป็นนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ไม่เพียงแต่จะต้องมีพรสวรรค์สูงส่งเท่านั้น แต่ยังต้องมีคุณสมบัติด้านอื่น ๆ ที่ดีพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลิกลักษณะและอุปนิสัยเฉพาะตัว
หากมีเพียงพรสวรรค์แต่มีแนวโน้มว่าจะทำให้สถาบันเสื่อมเสีย ทางโรงเรียนราชสำนักก็จะไม่รับคนผู้นั้นเข้ามา
หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนราชสำนักแล้ว เหล่าบัณฑิตทั้งหลายผู้เป็นผลผลิตอันดีเลิศของโรงเรียนแห่งนี้ก็จะกลายเป็นความหวังของทั้งตระกูลได้เลยทีเดียว เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขาจะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แม้แต่ชื่อเสียงก็จะขจรขจายไปไกลภายในนามศิษย์แห่งโรงเรียนราชสำนัก
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้คนจำนวนมากมายหลั่งไหลเข้ามาสมัครรับคัดเลือกเข้าเรียนในสถาบันมีชื่อเสียงแห่งนี้
ในเรื่องนี้ ฉินอวี้โม่ไม่มีข้อสงสัยเลยเพราะระหว่างทางที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนครไป๋อวิ๋น พวกเขาก็พบเห็นผู้คนจำนวนมากกำลังเดินทางหลั่งไหลเข้าสู่นครใหญ่ที่เป็นจุดมุ่งหมายเดียวกันกับพวกเขา ผู้คนเหล่านั้น บางคนก็ยังหนุ่มสาวไม่ต่างจากฉินอวี้โม่ บางคนก็พอมีอายุบ้างแล้ว แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นผู้ที่ต้องการมาสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักทั้งสิ้น
เดิมทีโอวหยางชิงเฟิงเคยได้รับการคัดเลือกให้เข้าเรียนที่โรงเรียนราชสำนักเมื่อห้าปีก่อน แต่เป็นเพราะเขามีปัญหากับตระกูลเสียก่อนจึงทำให้ไม่มีโอกาสได้เข้าเรียน แต่ในครั้งนี้ หนุ่มหน้าใสก็หมายใจแล้วว่าจะต้องเข้าเรียนโรงเรียนในฝันแห่งนี้ให้ได้
อย่างไรก็ตาม ทั้งโอวหยางชิงเฟิงและฉินอวี้โม่ไม่ได้มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าหากถึงกับว่าพวกเขาทั้งสองยังสอบไม่ผ่าน แล้วจะมีผู้ใดสอบผ่านได้อีก ?
เสี่ยวโร่วนั้นมีความกังวลอยู่เล็กน้อย ทว่าหลังจากฉินอวี้โม่พูดปลอบใจสาวน้อยไปสองสามประโยค เสี่ยวโร่วน้อยก็ดูจะมั่นใจขึ้นมาในทันที
ระดับพลังของเสี่ยวโร่วในตอนนี้ไม่นับว่าต่ำต้อยเลย และนางยังมีอสูรเทวะราชันอยู่ด้วย หากไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น นางก็น่าจะสามารถเข้าโรงเรียนราชสำนักได้อย่างไร้ปัญหา
คณะเดินทางกลุ่มไม่เล็กของสามคนกับอีกหลายตัวมุ่งหน้าไปยังนครไป๋อวิ๋นอย่างมุ่งมั่น พวกเขาบินบ้าง พักบ้าง เดินคุยกันบ้าง หลังจากผ่านไปเจ็ดวันเจ็ดคืน ในที่สุดภาพของเมืองขนาดใหญ่โตมโหฬารก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา