สีหน้าของฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปทันที นางจดจ่อกับสถานการณ์ของทุกคนเมื่อครู่และละเลยการป้องกันตัวไปชั่วขณะ เมื่อเห็นกระบี่ของบุรุษผู้นั้นที่ตรงใกล้เข้ามา มันก็สายเกินกว่าจะหลีกเลี่ยงได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น จอมยุทธ์ปีศาจก็หมายมั่นที่จะสังหารนางให้ได้และพลังมายาประหลาดเข้าครอบคลุมทั้งร่างของนางไว้ทันที แม้แต่การหลบหนีเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวก็ไม่อาจทำได้
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต นางก็ทำได้เพียงควบแน่นโล่พลังไว้รอบตัวเพื่อพยายามบรรเทาความเสียหายให้น้อยลงที่สุด
อย่างไรก็ตาม ภาพของกระบี่ยาวที่แทงทะลุเข้ามาในร่างของนางกลับไม่เกิดขึ้น มันไม่สามารถเข้ามาใกล้ตัวนางได้ด้วยซ้ำเนื่องจากถูกขวางไว้โดยพลังมหาศาลบางอย่างและหยุดชะงักอยู่กับที่
ฉินอวี้โม่เพียงสัมผัสได้ถึงสายลมวูบหนึ่งก่อนที่ร่างของนางจะตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น
นางเหวี่ยงกำปั้นออกไปโดยสัญชาตญาณ ทว่าก็หยุดกำปั้นของตนเองได้ทัน
“โม่เอ๋อร์ เจ้าคิดจะฆ่าสามีของเจ้างั้นรึ ?”
น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นและยังฟังดูอบอุ่นไม่เปลี่ยนแปลง
“นั่นใครกัน ?”
ทุกคนในสมรภูมิรบต่างก็กังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างที่สุด เมื่อเห็นบุรุษแปลกหน้าปรากฏตัวและคว้าฉินอวี้โม่ไว้ในอ้อมแขนอย่างกะทันหัน หลายคนก็อดเอ่ยด้วยความสงสัยไม่ได้
“เขาจะต้องเป็นหานโม่ฉือไม่ผิดแน่…สามีของแม่นางอวี้โม่”
หลานเผิงเคยเห็นภาพวาดของหานโม่ฉือมาก่อนและจดจำได้ในทันที แม้แท้จริงแล้วหานโม่ฉือจะมีรูปลักษณ์หล่อเหลากว่าในภาพดังกล่าวมากก็ตาม
“โม่เอ๋อร์ ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้า”
เมื่อก้มลงมองฉินอวี้โม่ในอ้อมแขนของตน หานโม่ฉือก็โน้มลงจุมพิตอย่างไม่ลังเล
ฉินอวี้โม่ไม่พยายามหลบหลีกเช่นกันและตอบสนองต่อหานโม่ฉืออย่างกระตือรือร้น
นับตั้งแต่พบกันครั้งแรก การพลัดพรากแยกจากกันก็เป็นสิ่งที่ทั้งสองมักเผชิญอยู่เสมอ หลังจากสะสางความวุ่นวายทั้งหมด ทั้งสองก็ไม่คิดที่จะแยกจากกันอีกเลย
“ไม่แปลกใจเลยที่น้องอวี้โม่จะเฝ้าคิดคำนึงหาเขาอยู่เสมอ ยากจริง ๆ ที่จะเปลี่ยนใจไปจากบุรุษเช่นนี้ได้…”
โหรวฉิงอดกล่าวพลางถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้ นางเองก็เคยพบบุรุษรูปงามและโดดเด่นมาแล้วมากมาย ทว่าไม่เคยมีผู้ใดโดดเด่นและอุทิศตนเพื่อคนรักอย่างเช่นหานโม่ฉือผู้นี้ สำหรับบุรุษส่วนใหญ่ในดินแดน ยิ่งแข็งแกร่งเพียงใดก็มีโอกาสที่พวกเขาจะออกนอกลู่นอกทางมากเพียงนั้น อย่างไรก็ตาม ความประคบประหงมเอาใจที่เขามีต่อฉินอวี้โม่ก็แสดงอย่างชัดเจนจากแววตา มันเป็นความรู้สึกที่แน่วแน่และร้อนแรงซึ่งน่าอิจฉาเป็นที่สุด
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าโลกนี้มีเพียง ‘ฉินอวี้โม่’ เท่านั้นที่จะคู่ควรกับ ‘หานโม่ฉือ’ !”
เหมียวเจินเจินผู้ซึ่งตามมาอย่างใกล้ชิดเห็นภาพที่เกิดขึ้นและอดกล่าวขึ้นไม่ได้
แรกเริ่มเดิมทีนางก็ยังคงสงสัยและไม่มั่นใจในประโยคนี้เท่าไหร่นัก ทว่าตอนนี้นางเชื่อมั่นอย่างไร้ข้อกังขา ในโลกใบนี้มีเพียงฉินอวี้โม่เท่านั้นที่จะคู่ควรกับหานโม่ฉือ ทั้งสองสวมกอดกันอย่างแนบแน่นโดยที่ไม่สนใจใครราวกับว่าโลกหมุนรอบตัวคนทั้งสองเท่านั้น ความรู้สึกที่ร้อนแรงเช่นนี้เกินกว่าระดับที่คนทั่วไปจะประสบพบเจอได้ง่าย ๆ
“เจ้าเป็นใครจึงริอาจเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของข้า ?!”
จอมยุทธ์ปีศาจฉุนเฉียวทันทีที่เห็นว่ากลยุทธ์ที่ตนเตรียมมาเป็นเวลานานถูกขัดขวางไว้โดยบุรุษผู้มาใหม่นี้ เขาจึงจ้องหน้าหานโม่ฉือตาเขม็งและตะโกนกร้าวออกไป
“เจ้าตาบอดรึไง ?”
มารยาและอสูรอื่น ๆ เหาะตรงเข้ามาขวางหน้าฉินอวี้โม่และจ้องหน้าตอบโต้บุรุษชุดดำ
“เขาจะต้องตาบอดแน่ ๆ มิฉะนั้นเขาก็คงจะเห็นได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายหญิงและนายท่าน !”
เสี่ยวม่านกล่าวด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ผู้เป็นนายของตนและสามีแสดงความรักใคร่กันอย่างชัดเจนเช่นนี้ มีเพียงคนเขลาเท่านั้นที่จะไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง
“หุบปาก !”
จอมยุทธ์ปีศาจเดือดดาลจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ขณะจ้องหน้าบรรดาอสูรและแผ่จิตสังหารอย่างไม่ปิดบัง
“คิดจะทำร้ายภรรยาของข้ารึ ?”
เมื่อการจุมพิตที่ดูดดื่มระหว่างทั้งสองถูกขัดจังหวะโดยเสียงของจอมยุทธ์ปีศาจ นั่นก็ทำให้หานโม่ฉือไม่สบอารมณ์ทันที เขาตวัดสายตาจ้องหน้าบุรุษชุดดำและกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นจนน่าขนลุก
“แล้วอย่างไรกัน !”
จอมยุทธ์ปีศาจก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของบุรุษผู้มาใหม่ได้อย่างชัดเจนซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับฉินอวี้โม่เท่านั้นหรืออาจจะเหนือกว่าเพียงเล็กน้อย เขาจึงไม่แยแสเท่าใดนัก
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ต้องชดใช้สำหรับเรื่องนี้ !”
หานโม่ฉือกล่าววาจาเย็นชา น้ำเสียงของเขาทรงพลังน่าเกรงขามและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“โม่เอ๋อร์ เจ้าหลบออกไปด้านข้างก่อนและรอข้าสักประเดี๋ยว…”
หานโม่ฉือจุมพิตที่หน้าผากของฉินอวี้โม่และกล่าวขึ้นเบา ๆ
“ระวังตัวด้วย”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ อย่างไม่คิดคัดค้าน นางเชื่อมั่นในตัวหานโม่ฉืออย่างไม่เคยมีข้อกังขาใด ๆ ในเมื่อเขากล่าวด้วยความมั่นใจว่าสามารถจัดการกับบุรุษผู้นี้ได้ นั่นก็หมายความว่าเขามีวิธีอย่างแน่นอน
“นายท่าน พวกเราจะช่วยท่านอีกแรง”
เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ กล่าวขึ้นทันที เมื่อครู่พวกมันพลาดท่าและปล่อยให้คู่ต่อสู้มีโอกาสสังหารผู้เป็นนายของตน พวกมันจึงคับแค้นใจและต้องการระบายความแค้นที่มี
“ไม่มีปัญหา”
หานโม่ฉือก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน ความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ปีศาจผู้นี้น่าสะพรึงกลัวจนเกินไป เขาทราบดีว่าการจัดการกับอีกฝ่ายด้วยตัวลำพังคงจะยากไม่น้อย
“เหอะ เป็นแค่มดปลวกตัวเล็ก ๆ ทว่าริอาจท้าทายข้าผู้นี้ ช่างไม่รู้จักประมาณตนเสียเลย !”
บุรุษชุดดำแค่นเสียงในลำคอและยังคงไม่กังวลในการเผชิญหน้ากับหานโม่ฉือ การรวมพลังของอสูรมายาจำนวนมากอาจทำให้เขาหวั่นใจได้เล็กน้อย ทว่าหานโม่ฉือไม่อยู่ในสายตาของเขาเลยสักนิด
“อย่ามัวแต่พูดพล่ามไร้สาระ !”
หานโม่ฉือสบถเพียงสั้น ๆ และเริ่มเปิดฉากโจมตีอย่างรวดเร็ว
จอมยุทธ์ปีศาจก็ไม่อยู่เฉยและแผ่พลังออกไปรอบตัวเช่นกันเพื่อพยายามขัดขวางการโจมตีของหานโม่ฉือ น่าเสียดายที่พลังของเขายังไม่ทันไปถึงตัวคู่ต่อสู้ด้วยซ้ำเมื่อฝ่ามือของหานโม่ฉือฟาดร่างของเขาจนกระเด็นออกไป
“เป็นไปได้อย่างไร ?!”
จอมยุทธ์ปีศาจตกตะลึงทันที เขาสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของหานโม่ฉืออยู่ในระดับที่เหนือกว่าฉินอวี้โม่เพียงเล็กน้อยและอ่อนแอกว่าซ่างสี่ซานเสียอีก ทว่าบุรุษผู้นี้ตอบโต้เขาอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร ?
“มันผู้ใดที่ทำร้ายภรรยาของข้า มันผู้นั้นจะต้องตาย !”
น้ำเสียงทรงพลังดังขึ้นในหูของเขาพร้อมกับพลังทั้งหมดของหานโม่ฉือที่แผ่ตรงออกไปกดข่มพลังของจอมยุทธ์ปีศาจ
อีกด้านหนึ่งของการต่อสู้ เหล่าอสูรรวมพลังกันและปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรงออกไปสู่จอมยุทธ์ปีศาจเช่นกัน
ตูมมม !
หลังจากเสียงระเบิดดังสนั่น จุดที่จอมยุทธ์ปีศาจยืนอยู่ก่อนหน้านี้ก็ถูกบดบังไปด้วยควันจนมองไม่เห็นร่างของเขาอีกต่อไป
“เหอะ วันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน ทว่าครั้งหน้า แม้แต่จิตวิญญาณของพวกเจ้าก็จะต้องแหลกสลายคามือข้า !”
มีเพียงเสียงที่เลือนรางเท่านั้นที่ดังขึ้นมา ทว่าบรรยากาศอึมครึมที่แผ่มาจากจอมยุทธ์ปีศาจก่อนหน้านี้สลายหายไปทั้งหมด
“นายหญิง เขาหนีไปไกลแล้ว”
บรรดาอสูรมายาก็ใช้พลังไปมากและแยกกระจายตัวกลับในสภาพเดิม
“พวกเจ้าเข้าไปพักก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่พอใจในผลงานการแสดงฝีมือของกองทัพอสูรมายาเป็นอย่างมาก นางทราบดีว่าพวกมันต้องใช้พลังไปไม่น้อยจึงสั่งให้กลับเข้าไปพักผ่อนตามสบายในคฤหาสน์เฟิงหัว
“เข้าใจแล้ว เราจะไม่รบกวนนายหญิงและนายท่าน”
เสี่ยวเฮยกล่าวพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัยและนำทางอสูรอื่น ๆ มุ่งหน้าเข้าสู่คฤหาสน์เฟิงหัวทันที
“พลังของเขาแกร่งกล้าจนเกินไป แม้แต่ก็ข้ายังเอาชนะเขาไม่ได้ในตอนนี้”
หานโม่ฉือเดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่และจับมือนางไว้พร้อมกล่าวอธิบายเบา ๆ พลังของจอมยุทธ์ปีศาจผู้นั้นแข็งแกร่งยิ่งนักและหานโม่ฉือคงจะไม่สามารถผลักดันให้อีกฝ่ายถอยกลับไปได้หากไม่มีบรรดาอสูรมายาที่คอยช่วยอีกแรง อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจเต็มเปี่ยมว่าหากมีเวลาเตรียมตัวอีกหนึ่งเดือน เขาจะมีโอกาสคว้าชัยชนะในการประจันหน้ากับจอมยุทธ์ปีศาจผู้นั้นอย่างแน่นอน
“ข้าก็เพียงต้องการกดดันให้เขาล่าถอยไปเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนกล่าว “ทุกคน จอมยุทธ์ปีศาจน่าจะได้รับบาดเจ็บพอสมควรและคงจะไม่กลับมาอีกในอนาคตอันใกล้นี้ ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก”
นางกวาดสายตามองผู้เข้าร่วมการต่อสู้ทุกคนและกล่าวออกไป
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอตัวกลับก่อน”
ทุกคนเข้าใจในทันทีและมุ่งหน้ากลับไปที่ตัวเมืองเทียนหยวนอย่างไม่ลังเล
“น้องอวี้โม่ อย่าลืมพาน้องเขยไปที่จวนของข้าบ้างล่ะ”
โหรวฉิงมองหานโม่ฉือครู่หนึ่งก่อนหันกลับไปสบตากับฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“ได้เลยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับ
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะไม่รบกวนเวลาของเจ้าทั้งสอง”
จ้าวเหลียงและคนอื่น ๆ กล่าวพร้อมรอยยิ้มเช่นกันก่อนหันหลังและมุ่งหน้ากลับเข้าไปในเมือง
“พี่หาน ข้าจะออกไปเตร็ดเตร่เที่ยวชมในเมืองนะเจ้าคะ”
เหมียวเจินเจินกล่าวพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน นางเองก็ไม่ต้องการรบกวนเวลาของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ
“ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
หลานเผิงกล่าวเสนอตัว เขาทราบว่าเหมียวเจินเจินเป็นสหายที่เดินทางมากับหานโม่ฉือ เพราะฉะนั้นนางก็ถือเป็นสหายคนหนึ่งของตนเช่นกันและควรให้การต้อนรับเป็นอย่างดี