ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปทางของตนจนมีเหลือเพียงฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่อยู่นอกเมืองเทียนหยวน
หานโม่ฉือดึงร่างบางเข้าสู่อ้อมกอดและประกบปิดปากนางไว้อย่างแผ่วเบา
ฉินอวี้โม่ก็ตอบสนองด้วยความกระตือรือร้นและรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏในแววตา
นางเคยคิดว่าจะไม่ได้พบเขาจนกระทั่งถึงการคัดเลือกในรอบสุดท้าย ทว่าหานโม่ฉือกลับมุ่งหน้ามาหานางเสียก่อน
โดยปกติแล้วฉินอวี้โม่มักแสดงตัวองอาจกล้าหาญและไม่โอนอ่อนต่อสิ่งใด มีเพียงเมื่ออยู่ต่อหน้าหานโม่ฉือเท่านั้นที่นางจะเผยให้เห็นด้านอ่อนโยนของสตรีตัวเล็ก ๆ
“โม่ฉือ…ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
หลังจากจุมพิตเนิ่นนานและเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวด้วยกัน ฉินอวี้โม่ก็กล่าวด้วยความรู้สึกโหยหาจนสัมผัสได้ขณะจับมือบุรุษคนรักไว้แน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปอีกครั้ง
“ข้าก็เช่นกัน ข้าพยายามตามหาเจ้ามาตลอดและรีบมาทันทีที่ได้รับข่าว โชคดีจริง ๆ ที่ข้ามาได้ทันเวลา”
หานโม่ฉือดึงร่างฉินอวี้โม่ลงมานั่งบนตักของเขาและกล่าวด้วยความหวั่นใจเล็กน้อย หากเขามาช้าไปเพียงเสี้ยวอึดใจ เกรงว่าฉินอวี้โม่ก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว จอมยุทธ์ปีศาจผู้นั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ทว่าวันหนึ่งเขาจะต้องปลิดชีวิตบุรุษผู้นั้นด้วยมือของตัวเองให้ได้
“ก่อนหน้านี้ที่ข้าติดอยู่ในข่ายอาคม ข้าเห็นเจ้าใกล้ชิดสนิทสนมกับสตรีนางหนึ่ง จากที่ดูแล้วก็คงจะเป็นสตรีตัวน้อยที่ติดตามมากับเจ้าด้วย”
เมื่อครู่นี้ฉินอวี้โม่ก็สังเกตเห็นเหมียวเจินเจินทว่ายังไม่มีโอกาสได้กล่าวทักทายกัน ในภาพลวงตาก่อนหน้านี้ นางมองเห็นหานโม่ฉือและเหมียวเจินเจินที่พูดคุยกันอย่างสนิทสนม และเมื่อไตร่ตรองดูแล้ว นางเชื่อว่ามันคงจะมิใช่เป็นเพียงภาพลวงตา ในเมื่อหานโม่ฉือพานางมาด้วย นั่นก็หมายความว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่มิใช่คนหึงหวงอย่างไร้เหตุผล เมื่อฟังจากน้ำเสียงและวาจาของเหมียวเจินเจิน สตรีอ่อนเยาว์ผู้นั้นก็ดูจะเคารพหานโม่ฉือและนางซึ่งเป็นภรรยาของเขา อีกฝ่ายคงจะมองหานโม่ฉือเป็นดั่งพี่ชายคนหนึ่งมากกว่า
“ก่อนหน้านี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งข้าไปที่เมืองเทียนยิน เจินเจินก็ช่วยข้าที่หมดสติอยู่และพาข้ากลับไปที่จวนตระกูลเหมียว ช่วงที่ผ่านมานี้ ข้าก็พักอาศัยอยู่ที่นั่นมาตลอด ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเหมียวก็ช่วยส่งคนไปสืบหาเบาะแสของเจ้าและท่านพ่อตาอีกด้วย…”
หานโม่ฉือกล่าวอธิบายอย่างเรียบง่ายก่อนเล่าถึงสถานการณ์ที่พบเจอเมื่อมาถึงที่ดินแดนมหาเทพแห่งนี้
“ถ้าเช่นนั้นเราก็ควรต้องขอบคุณตระกูลเหมียว”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม หากมีโอกาสในภายภาคหน้า นางจะต้องไปที่จวนตระกูลเหมียวด้วยตัวเองและขอบคุณพวกเขาสำหรับการที่ช่วยดูแลสามีของนางเป็นอย่างดี
“เจินเจินมีลักษณะนิสัยที่คล้ายคลึงกับฉีฉี นางสงสัยใคร่รู้และอยากรู้จักพี่สะใภ้มากและอยากติดตามข้ามาพบเจ้า ข้าเองก็คิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่นางจะได้สั่งสมประสบการณ์ในโลกภายนอก ข้าจึงพานางมาด้วย”
หานโม่ฉือกล่าวต่อและไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่เข้าใจตนเองผิดไป
“อืม…ทั้งสองก็ดูคล้ายกันจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ ในดินแดนเทพมายาก่อนหน้านี้ ฉีฉีก็เปรียบเสมือนน้องสาวของพวกเขา ซึ่งในสายตาของหานโม่ฉือเอง เหมียวเจินเจินผู้นี้ก็เป็นเหมือนกับน้องสาวของเขาเช่นกัน
“ภรรยาที่รักของข้า ที่นี่คงจะเกิดเรื่องราววุ่นวายมากมายใช่รึไม่ ?”
เมื่อนึกถึงจอมยุทธ์ปีศาจที่ทรงพลัง หานโม่ฉือก็อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ ประสบการณ์ที่ฉินอวี้โม่พานพบในเมืองเทียนหยวนจะต้องน่าตื่นเต้นระทึกขวัญมากกว่าตัวเขาอย่างแน่นอน
“แม้จะเกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย โชคดีที่ข้าจัดการสะสางมันได้ทั้งหมดแล้ว ข้าก็ได้ป้ายจ้าวสมุทรจากตระกูลหลานมาโดยบังเอิญและมีขุมกำลังที่ไม่แข็งแกร่งมากนักเป็นของตัวเอง”
ฉินอวี้โม่อธิบายเพียงสั้น ๆ พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่สบาย ๆ และผ่อนคลาย
หานโม่ฉือก็รับรู้ได้ถึงอันตรายที่นางต้องเผชิญจากวาจาเหล่านั้น ทว่าในเมื่อฉินอวี้โม่ไม่ต้องการกล่าวถึงมัน เขาก็จะไม่คะยั้นคะยอแต่อย่างใด
“ท่านพ่อตาและคนอื่น ๆ คงจะกำลังหาทางเข้าร่วมในการคัดเลือกรอบสุดท้ายเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น เราจะได้พบกับพวกเขาอย่างแน่นอน”
เนื่องจากทราบดีว่าฉินอวี้โม่คงจะกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของบิดาและสหายคนอื่น ๆ เขาจึงแตะมือนางอย่างแผ่วเบาและกล่าวปลอบใจให้คลายกังวล
“ข้ารู้ ข้าวางแผนที่จะจัดการทุกอย่างที่นี่ให้เสร็จสิ้นก่อนและรีบเดินทางไปที่เมืองเทียนยงโดยเร็ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวอย่างไม่กังวลมากนัก
ไม่ว่าบิดาของตน ศิษย์พี่ อวิ๋นซื่อเทียนหรือคนอื่น ๆ ทุกคนที่เดินทางมาที่ดินแดนมหาเทพพร้อมกับนางในครานี้ล้วนมีพรสวรรค์และมีความสามารถในการเอาตัวรอด ไม่ว่าจะถูกส่งไปที่มุมใดของดินแดนนี้ พวกเขาจะต้องเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน นางจึงไม่กังวลมากจนเกินไป
“อีกอย่าง…ไปพบใครสักคนกับข้าก่อนเถอะ”
เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ฉินอวี้โม่ก็จับมือหานโม่ฉือและมุ่งหน้าเข้าไปหาเฝิงรุ่ยเฉิง
อดีตผู้นำตระกูลเฝิงยังคงทำหน้าที่เติมเต็มหลุมขนาดใหญ่ในคฤหาสน์เฟิงหัวอย่างไม่เต็มใจนัก รอบตัวเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยอสูรมายาหลายตัวที่รายล้อมไว้และจับตาดูอย่างใกล้ชิดซึ่งทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างยิ่ง
“เฝิงรุ่ยเฉิง เมื่อครู่นี้เจ้าเห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นข้างนอกรึไม่ ?”
เสียงของฉินอวี้โม่ดังขึ้นในโสตประสาทส่งผลให้เฝิงรุ่ยเฉิงสั่นสะท้านโดยอัตโนมัติ ทุกวันนี้เขาหวาดกลัวต่อสตรีผู้นี้อย่างที่สุด ด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าระดับพลังที่ควรจะเป็น กอปรกับวิธีการจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเด็ดขาด ไม่มีทางเลยที่เขาจะใจแข็งและไม่หวาดกลัวต่อนาง
เขาพยักศีรษะเบา ๆ ขณะเหลือบไปมองหานโม่ฉือที่อยู่ถัดจากฉินอวี้โม่และก้าวถอยหลังออกไปโดยสัญชาตญาณ
สำหรับผู้ที่สามารถกดดันจอมยุทธ์ปีศาจที่ทรงพลังผู้นั้นจนต้องล่าถอยออกไป แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของบุรุษหนุ่มผู้นี้เหนือกว่าฉินอวี้โม่เสียอีก ปัจจุบันนี้ตัวเขาก็ฟื้นคืนชีพใหม่ในร่างของอสูรมายาธรรมดา ๆ เท่านั้นและไม่มีความแข็งแกร่งดังที่เคยมี แน่นอนว่าตัวเขาในตอนนี้มิใช่คู่มือของหานโม่ฉือแม้แต่น้อย
“จอมยุทธ์ปีศาจเมื่อครู่ใช่คนที่ติดต่อเจ้าก่อนหน้านี้รึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่สอบถามข้อสงสัยของตนออกไปทันที นางรู้สึกสังหรณ์ใจมาตั้งแต่ต้นว่าบุรุษชุดดำที่ประจันหน้ากับพวกตนอาจมิใช่คนที่ติดต่อกับเฝิงรุ่ยเฉิงก่อนหน้านี้
ความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ปีศาจผู้นั้นแกร่งกล้าจนเกินไปและคาดว่ามีพลังอำนาจอยู่ในอันดับต้น ๆ ของบรรดาจอมยุทธ์ปีศาจทั้งหมด และการที่พวกเขาติดต่อเจรจากับเฝิงรุ่ยเฉิงก่อนหน้านี้ ไม่มีทางที่ตัวตนในระดับนั้นจะมาด้วยตัวเอง นอกจากนี้เฝิงรุ่ยเฉิงก็เคยกล่าวเป็นนัย ๆ ว่าผู้ที่มาติดต่อกับตนก่อนหน้านี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก
“ไม่ใช่”
ด้วยความหวาดกลัวที่มีในตอนนี้ แน่นอนว่าเฝิงรุ่ยเฉิงไม่กล้าโกหกและรีบส่ายศีรษะทันที
จอมยุทธ์ปีศาจที่ต่อสู้กับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ นอกเมืองเทียนหยวนเมื่อครู่นี้คือคนละคนกับที่ติดต่อเขาก่อนหน้านี้
สำหรับจอมยุทธ์ปีศาจสองคนที่ติดต่อกับเขาก่อนหน้านี้ แม้จะไม่ได้อ่อนแอ ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งจนเกินไปและน่าจะอยู่ในระดับที่ไม่แตกต่างไปจากจ้าวเหลียง—เจ้าเมืองเทียนหยวน เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะมีพลังมหาศาลเหมือนกับจอมยุทธ์ปีศาจเมื่อครู่
“หากมิใช่เขา…แล้วจอมยุทธ์ปีศาจที่ติดต่อเจ้าก่อนหน้านี้อยู่ที่ใดกัน ?”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบยืนยัน นางเคยคิดว่าจอมยุทธ์ปีศาจทั้งสองคนนั้นจะมาด้วยตัวเองและน่าจะหาทางติดต่อกับตระกูลใหม่ ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะถูกแทนที่ด้วยผู้ที่ทรงพลังถึงระดับนั้น
จอมยุทธ์ปีศาจที่ปรากฏตัวในวันนี้น่าจะมีสถานะที่สูงพอสมควรในหมู่จอมยุทธ์ปีศาจ ในเมื่อเขาเดินทางมาด้วยตัวเองเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นให้ความสำคัญกับนางมากเพียงใด
“ข้าไม่ทราบเลยจริง ๆ จอมยุทธ์ปีศาจพวกนั้นแปลกประหลาดเกินไปและไม่เคยทิ้งช่องทางติดต่อไว้ เว้นแต่พวกเขาจะติดต่อมาก่อน ข้าก็ไม่มีหนทางที่จะตามหาเบาะแสของพวกเขาได้”
เฝิงรุ่ยเฉิงส่ายศีรษะและไม่ทราบเลยว่าจอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นอยู่ที่ใด เขาได้บอกทุกอย่างที่ทราบให้กับฉินอวี้โม่ไปแล้วและไม่กล้าปิดบังสิ่งใด
“หวังว่าเจ้าจะไม่โกหก”
ฉินอวี้โม่ไม่สงสัยในวาจาของเฝิงรุ่ยเฉิงและเชื่อว่าเขาไม่กล้าปิดบังสิ่งใดจากตนอีกต่อไป ทว่านางเลือกที่จะกล่าวออกไปด้วยท่าทางสบาย ๆ
“นายหญิง ไม่อาจทราบได้เลยว่าจอมยุทธ์ปีศาจผู้นั้นหลบหนีไปที่ใด ข้าสั่งให้เหล่าอสูรตามรอยแล้วทว่าไม่ได้รับเบาะแสเกี่ยวกับเขาเลย”
มารยาเดินเข้ามาจากระยะที่ห่างออกไป ก่อนหน้านี้มันได้สั่งให้อสูรมายาโดยรอบตามหาเบาะแสว่าจอมยุทธ์ปีศาจหนีไปในทิศทางใด น่าเสียดายที่ไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใด ๆ มาเลย
“ตอนนี้ยังไม่ต้องห่วงเรื่องของเขาหรอก”
ฉินอวี้โม่โบกมือเล็กน้อยก่อนจับมือหานโม่ฉือและออกไปจากคฤหาสน์เฟิงหัวด้วยกัน จากนั้นทั้งสองก็มุ่งหน้าตรงไปยังตัวเมืองเทียนหยวน