ภายในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หานโม่ฉือและเหมียวเจินเจินก็ทำความรู้จักกับผู้คนในเมืองเทียนหยวนจนคุ้นเคยกันพอสมควรแล้ว
ในช่วงที่ผ่านมานี้ โดยส่วนใหญ่แล้วหานโม่ฉือก็ใช้เวลาอยู่กับฉินอวี้โม่โดยที่ไม่ได้บ่มเพาะฝึกวิชาแต่อย่างใด เขาเพียงตรวจดูความเรียบร้อยของสิ่งรอบตัวอย่างสบาย ๆ เท่านั้น
เมื่อผู้นำตระกูลทั้งหลายมาถึง ทั้งสองก็เพิ่งตื่นนอนและหานโม่ฉือกำลังรวบมัดผมให้กับฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางที่อ่อนโยน
เหมียวเจินเจินผู้ซึ่งเดินเข้ามาเรียกทั้งสองก็รออยู่ด้านนอกห้องและแอบลอบมองเข้ามาข้างในเป็นครั้งคราวด้วยความอิจฉา
การได้มีบุรุษที่รูปงามและโดดเด่นมัดผมให้เช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหานโม่ฉือที่แสดงความรักความเอาอกเอาใจทางสายตาอย่างชัดเจนย่อมทำให้เด็กสาวรู้สึกอิจฉาได้ไม่ยาก
หลังจากรอนานหนึ่งก้านธูป ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็เดินออกมาจากห้องเคียงคู่กันและจับมืออย่างแนบแน่น
วันนี้ฉินอวี้โม่สวมอาภรณ์ยาวสีม่วงและหานโม่ฉือสวมเสื้อคลุมสีม่วงเช่นกัน เมื่อยืนเคียงข้างกัน ทั้งสองก็แผ่กลิ่นอายของความสง่างามและความสูงส่งที่ยากจะละสายตาได้
ภายในโถงห้องประชุมของจวน เวลานี้ผู้นำตระกูลหลายคน รวมถึงหลานเผิงก็มารอกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินเข้ามา พวกเขาก็อดตกตะลึงในใจไม่ได้
ต้องกล่าวเลยว่าแม้เคยพบกันหลายครั้งหลายคราแล้ว ภาพของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ที่อยู่เคียงคู่กันก็ยังคงทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างมิอาจควบคุม
คู่รักที่สมบูรณ์แบบราวกับเทพบุตรและเทพธิดาเช่นนี้มิใช่สิ่งที่พบได้ง่าย ๆ แม้ในทั่วทั้งผืนพิภพก็ตาม…
“ขออภัยด้วยที่ทำให้ทุกท่านต้องรอนานเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่จับมือหานโม่ฉือเดินตรงไปนั่งลงบนบัลลังก์หลักและประกบกำปั้นทั้งสองข้างเพื่อทักทายทุกคนและกล่าวเชิงขอโทษขอโพย
“น้องอวี้โม่ ไม่ต้องสุภาพเกินไปหรอก”
โหรวฉิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เสี่ยวอวี้โม่ สาเหตุที่พวกเรามาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะค้นพบบางอย่างแล้ว”
ซ่างสี่ซานกล่าวตรงเข้าประเด็นทันที หลังจากสืบหาเบาะแสติดต่อกันนานหลายวัน ในที่สุดพวกเขาก็พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์และคาดเดาได้ลาง ๆ ว่าอาจเป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นต้องการ
เมืองเทียนหยวนแห่งนี้ซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ไว้อย่างแท้จริง…
“แม่นางอวี้โม่ ลองอ่านข้อมูลเหล่านี้ดูก่อนเถอะ”
หลานเผิงยื่นเอกสารหลายฉบับให้กับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพื่อให้ทั้งสองอ่านดู
ฉินอวี้โม่รับมันมาทันทีและเริ่มไล่อ่านไปพร้อมกับหานโม่ฉือข้างกาย
เอกสารเหล่านี้คือบันทึกประวัติศาสตร์ของเมืองเทียนหยวน นับตั้งแต่มันถูกก่อตั้งขึ้นยาวนานมาจนถึงปัจจุบันนี้และระบุรายละเอียดของเหตุการณ์สำคัญ ๆ ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น
นอกเหนือจากประวัติศาสตร์และเหตุการณ์สำคัญ ข้อมูลของเจ้าเมืองและตระกูลใหญ่ ๆ ของเมืองเทียนหยวนในอดีตก็ถูกบันทึกไว้เช่นกัน
หลังจากไล่สายตาอ่านดูอย่างรวดเร็ว ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็พบกับสิ่งที่น่าสนใจ
ในอดีตเคยเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ในเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ และในสงครามครานั้น จอมยุทธ์ผู้ทรงพลังและอสูรโบราณจำนวนมากก็ล้มตายอยู่ที่นี่ ซึ่งเมืองเทียนหยวนถูกสร้างขึ้นโดยจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าของดินแดนมหาเทพเพื่อปิดผนึกซากศพและกลิ่นอายแห่งความตายเหล่านั้น
ในเวลานั้น จอมยุทธ์ผู้นั้นได้ตัดสินใจวางผนึกไว้เพื่อสะกดซากศพของผู้ทรงพลังและอสูรโบราณที่ล้มตายในเมืองเทียนหยวนเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงในอนาคต
หากพวกเขาเดาไม่ผิด สาเหตุที่จอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นปรากฏตัวขึ้นมาก็น่าจะเป็นเพราะสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้ใต้ดินเหล่านั้น
“จอมยุทธ์ผู้ทรงพลังและอสูรที่ล้มตายไปเหล่านั้นน่าจะทิ้งสมบัติไว้มาก เป็นไปได้รึไม่ว่าพวกจอมยุทธ์ปีศาจกำลังหมายปองสมบัติพวกนั้น ?”
โจวปิ่งฮุยขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถาม ทว่าเขาสังหรณ์ใจว่าเรื่องจะต้องไม่เรียบง่ายเช่นนั้นอย่างแน่นอน
“ไม่ ข้าคิดว่าคนพวกนั้นคงจะมีจุดประสงค์อื่น”
ฉินอวี้โม่ปฏิเสธในทันที ต่อให้มีสมบัติล้ำค่าที่คงอยู่มายาวนานหลายพันปี เกรงว่าพวกมันคงจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว จอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นหาใช่คนโง่เขลาและพวกเขาจะไม่ทุ่มเทพยายามเช่นนี้เพียงเพื่อสมบัติที่ไร้ค่าอย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไรกันแน่ ?”
โจวปิ่งฮุยพยายามคิดหาคำตอบ ทว่านึกถึงความเป็นไปได้อื่นไม่ได้เลย ภูมิหลังของตระกูลโจวด้อยกว่าตระกูลใหญ่อื่น ๆ และเขาไม่ทราบข้อมูลมากนัก
“หรือพวกเขาต้องการจะฟื้นคืนชีพวิญญาณที่ตายไปแล้วเหล่านั้น !”
หานโม่ฉือกล่าวด้วยวาจาเย็นชาและเป็นประโยคที่ทำให้ทุกคนสั่นสะท้านทันที
สาเหตุที่คนเหล่านั้นได้ชื่อว่าจอมยุทธ์ปีศาจเป็นเพราะพวกเขาฝึกฝนบ่มเพาะพลังที่แปลกประหลาด รวมถึงมีวิธีการที่น่าสะพรึงกลัวมากมาย ในการต่อสู้เมื่อครั้งอดีต จอมยุทธ์ผู้ทรงพลังและอสูรมายาที่น่าหวาดหวั่นล้มตายไปมากมาย ทว่าร่างของพวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ และหากใช้วิธีการพิเศษบางอย่าง การที่จะทำให้ร่างเหล่านั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากเกินไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากการฟื้นคืนชีพ จอมยุทธ์และอสูรมายาเหล่านั้นจะสูญเสียจิตสำนึกไปโดยสิ้นเชิงและกลายเป็นปีศาจที่น่าหวั่นกลัวอย่างที่สุด
เมื่อใดที่จอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นทำได้สำเร็จ เกรงว่าทั่วทั้งดินแดนมหาเทพจะต้องโกลาหลวุ่นวายอย่างแน่นอน
“เวลาก็ผ่านมานานนับพันปีแล้ว ร่างของอสูรและจอมยุทธ์เหล่านั้นยังไม่เสื่อมสลายไปอีกหรือ ?”
เหมียวเจินเจินกล่าวด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ โดยปกติแล้ว ด้วยเวลาที่ล่วงเลยมานับพันปี ซากศพเหล่านั้นควรที่จะแห้งเหี่ยวและสลายหายไปในผืนดิน ร่างเหล่านั้นจะดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างไร ?
“ข้าก็ไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม หากความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์บรรลุถึงระดับหนึ่ง ร่างกายของพวกเขาจะคงอยู่ได้นานนับพันปีเลยล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น จอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าผู้นั้นก็สร้างผนึกเพื่อสะกดร่างเหล่านั้นไว้ก่อนสร้างเมืองเทียนหยวน ข้าเชื่อว่าซากศพของจอมยุทธ์และอสูรมายาเหล่านั้นจะต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แน่ อีกอย่าง…มันก็น่าจะมีเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้นที่จะดึงดูดให้จอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นมาที่เมืองเทียนหยวน”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวตามความจริง อย่างไรก็ตาม นางมั่นใจพอสมควร
หากมิใช่เพราะเหตุผลนี้ การที่จอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นแอบลักลอบเข้ามาในเมืองเทียนหยวนและวางแผนการชั่วร้ายเหล่านี้ พวกนางก็ไม่พบความเป็นไปได้หรือคำอธิบายอื่นใด
“หากผนึกอยู่ใต้ดิน…นั่นหมายความว่าเรากำลังเหยียบอยู่บนซากศพจำนวนมากงั้นรึ ?!”
เหมียวเจินเจินก้มลงมองพื้นและขนลุกซู่ขึ้นมา เพียงแค่คิดว่ากำลังเหยียบย่ำอยู่เหนือซากศพเก่าแก่จำนวนมาก นางก็อดกังวลและอึดอัดใจไม่ได้
“เจินเจิน มันไม่เรียบง่ายเช่นนั้นหรอก ในเมื่อถูกปิดผนึกไว้ใต้ดิน มันก็ต้องอยู่ลึกลงไปมากและไม่ได้หมายความว่าจะต้องอยู่ใต้เท้าของเราโดยตรง”
หลานเผิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม พวกเขายังไม่มั่นใจว่าผนึกดังกล่าวอยู่ที่ใด เพียงกล่าวได้ว่ามันจะต้องอยู่ใต้เมืองเทียนหยวนอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้เขาก็ลองแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจดูแล้วเช่นกัน ทว่าไม่พบเบาะแสใด ๆ
ผู้นำตระกูลคนอื่น ๆ ก็ลองทดสอบเช่นเดียวกันและไม่สามารถระบุตำแหน่งของผนึกหรือสิ่งผิดปกติใดได้เลย
หากพบตำแหน่งของผนึกที่ว่านั่นและเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างแน่ชัด พวกเขาก็จะสามารถวางแผนได้อย่างเหมาะสม
“ในเมื่อจอมยุทธ์ปีศาจพวกนั้นมาที่นี่ เกรงว่าพวกเขาคงจะมีวิธีการบางอย่างในการทำลายผนึกของจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าแน่ ด้วยความแข็งแกร่งของเรา…เกรงว่าคงจะหยุดยั้งคนพวกนั้นไม่ได้”
ซ่างสี่ซานขมวดคิ้วเล็กน้อย จอมยุทธ์ปีศาจเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีก่อนเดินทางมาที่นี่ และต่อให้พวกเขาและชาวเมืองเทียนหยวนร่วมมือกันก็อาจไม่สามารถขัดขวางอีกฝ่ายได้เลย
“พี่รอง เราควรจะบอกพี่ใหญ่หรือไม่ ?”
จ้าวตั๋วเอ่ยถาม พี่ใหญ่ของพวกเขาทั้งสองก็มีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเช่นกันและแข็งแกร่งกว่าทั้งสองมากนัก อย่างไรก็ตาม เมืองของพี่ใหญ่ของพวกเขานั้นตั้งอยู่ในภูมิภาคกลางของดินแดนมหาเทพซึ่งติดต่อได้ยากพอสมควร
“อวี้โม่ โม่ฉือ พวกเจ้าคิดว่าเราควรแจ้งสามสำนักและเก้านิกายเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ ?”
สายตาของจ้าวเหลียงเลื่อนไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ตัวเขาไม่อาจตัดสินใจได้เลยว่าควรจะทำอย่างไร
“สถานการณ์ตอนนี้ยังคลุมเครืออยู่ ข้าคิดว่าเราอย่าเพิ่งนำคนมากมายเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้จะดีกว่าเจ้าค่ะ”
หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่แค่เพียงสบตากันก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้ทันที
หากใจร้อนส่งข่าวแจ้งเตือนสามสำนักและเก้านิกายโดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน เกรงว่าจะทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม ในดินแดนแห่งนี้ นอกเหนือจากจอมยุทธ์ปีศาจก็ยังมีขุมกำลังที่ไร้ศีลธรรมอีกไม่น้อย หากคนเหล่านั้นมีความคิดชั่วร้ายขึ้นมา เกรงว่าดินแดนมหาเทพจะตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น การแจ้งข่าวให้สามสำนักและเก้านิกายได้ทราบก็อาจเป็นตัวกระตุ้นให้จอมยุทธ์ปีศาจทำสิ่งที่คาดไม่ถึงซึ่งถือว่ามิใช่การตัดสินใจที่ชาญฉลาดนัก
ตอนนี้ภารกิจสำคัญที่สุดคือการตามหาพิกัดของผนึกนั้นให้พบเสียก่อน !