หลังจากหารือกับฉินอวี้โม่พักใหญ่และไม่พบสิ่งใดพิเศษเพิ่มเติม ทุกคนจึงตัดสินใจสืบหาเบาะแสต่อไปและจะติดต่อกันทันทีที่มีความคืบหน้า จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกลับไปยังจวนตระกูลของตน
ฉินอวี้โม่ก็พูดคุยหารือกับหานโม่ฉือและตัดสินใจกันว่าจะออกไปท่องสำรวจทั่วเมืองเทียนหยวนเพื่อสืบหาดูว่าจะพบพิกัดของผนึกที่ตามหาหรือไม่
ในเมื่อเมืองเทียนหยวนถูกสร้างหลังจากที่สมรภูมิรบโบราณถูกปิดผนึกไป มันก็น่าจะมีแนวทางบางอย่างที่ชี้นำไปสู่การตามหาผนึกนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจอมยุทธ์แกร่งกล้าผู้นั้นปิดผนึกสมรภูมิรบโบราณไว้ เกรงว่าเขาก็คงจะคาดการณ์ถึงสถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว
หลานเผิงและเหมียวเจินเจินก็ไม่มีอะไรที่ต้องทำในส่วนของตน ทั้งสองจึงติดตามไปกับนาง
“พี่อวี้โม่ อีกไม่กี่วันข้างหน้าข้าจะต้องกลับไปที่จวนตระกูลและเราจะได้พบกันอีกครั้งในการคัดเลือกรอบสุดท้าย”
หลานเผิงกล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจนัก แม้เพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่นาน ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฉินอวี้โม่ก็แน่นแฟ้นมากแล้วและในเวลานี้เขาก็มองนางเสมือนพี่สาวที่เคารพรักคนหนึ่ง
สำหรับทายาทสายตรงของตระกูลหลาน ต่อให้ไม่เข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้าย พวกเขาก็สามารถเข้าร่วมหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายเพื่อฝึกฝนพัฒนาตนเองได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม แม้เป็นถึงนายน้อยของตระกูล หลานเผิงก็ต้องการเข้าร่วมขุมกำลังใหญ่เหล่านั้นด้วยความสามารถของตนเอง เขาจึงเลือกเข้าร่วมในการคัดเลือกครานี้
ในช่วงไม่กี่วันหลังจากนี้ เขาจะต้องกลับไปที่ตระกูลหลานเพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ก่อนเดินทางไปที่เมืองซึ่งจัดการคัดเลือกในรอบสุดท้าย
“ว้าว ! เจ้าจะกลับไปที่จวนตระกูลหลานงั้นรึ ?!”
เหมียวเจินเจินอ้าปากค้างและกล่าวด้วยความตื่นเต้น ตระกูลหลานคือหนึ่งในตระกูลอันดับต้น ๆ ของทั้งดินแดนมหาเทพ หากมิใช่เพราะความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับฉินอวี้โม่ นางคงไม่มีทางได้รู้จักและสนิทสนมกับนายน้อยของตระกูลที่ทรงอิทธิพลเช่นนี้ สำหรับการคัดเลือกในรอบสุดท้าย เหมียวเจินเจินก็ไม่คาดหวังว่าตนจะผ่านมันไปได้ อย่างไรก็ตาม หากได้ไปเที่ยวชมที่จวนตระกูลหลานสักครา การออกมาหาประสบการณ์ในครานี้ก็ไม่ถือว่าสูญเปล่าแล้ว
“ทำไมรึ ? เจ้าอยากไปที่จวนตระกูลหลานในฐานะแขกของข้าหรือไม่ ?”
ในช่วงหลายวันที่ได้อยู่ด้วยกัน หลานเผิงก็ได้เรียนรู้นิสัยใจคอของเหมียวเจินเจินพอสมควร เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของนาง เขาก็เข้าใจความหมายได้ในทันทีจึงเอ่ยถามเพื่อเชิญชวนนางไปที่ตระกูลหลานด้วยกัน
“ข้าไปได้จริง ๆ รึ ?!”
เหมียวเจินเจินเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้นและทำสีหน้าราวกับไม่อยากเชื่อ นางต้องการเช่นนั้นจริงทว่าไม่กล้ากล่าวออกไปตรง ๆ ถึงอย่างไรตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลหลานก็มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมายและโดยปกติพวกเขาคงไม่ต้องการให้คนนอกอย่างนางเข้าไปยุ่งเกี่ยว
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ไม่ต้องกังวล ตระกูลหลานของเราไม่ซับซ้อนเท่าใดหรอก ตราบใดที่เป็นแขกของข้า บิดามารดาของข้าและสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลจะให้การต้อนรับเจ้าเป็นอย่างดี”
หลานเผิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มและยืนยันว่าสถานการณ์ในตระกูลของเขาไม่ซับซ้อนอย่างที่คนนอกคาดไว้
“เยี่ยมไปเลย ถ้าอย่างนั้นข้าขอรบกวนด้วย !”
เหมียวเจินเจินพยักหน้าหงึกหงักและรีบกล่าวอย่างมีความสุข
ในขณะที่พูดคุยและหัวเราะกันอย่างสบาย ๆ ทุกคนก็มุ่งหน้ากันออกจากตัวเมือง
“พี่หาน เหตุใดเราจึงต้องออกไปนอกเมืองรึเจ้าคะ? ท่านบอกว่าสมรภูมิรบโบราณนั่นอยู่ใต้ดินของเมืองเทียนหยวนมิใช่รึ ?”
หลังจากเดินไปไกลพอสมควร เหมียวเจินเจินก็อดเอ่ยถามด้วยความงุนงงไม่ได้
ข้อมูลก่อนหน้านี้ก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าสมรภูมิรบจากครั้งอดีตที่เต็มไปด้วยซากศพของจอมยุทธ์และอสูรมายานับไม่ถ้วนนั้นอยู่ใต้ดินของเมืองเทียนหยวน แล้วเหตุใดพวกนางจึงเดินทางออกมานอกเมืองเช่นนี้ ?
“สถานที่ที่มีพลังงานของความตายมากเกินไปไม่เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ แม้จอมยุทธ์แกร่งกล้าผู้นั้นจะวางผนึกสะกดไว้ มันก็จะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในบริเวณใกล้เคียงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะเหตุนั้นข้าจึงคิดว่าเมืองเทียนหยวนอาจไม่ได้อยู่เหนือสมรภูมิรบนั้นเสียทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าจัดวางข่ายอาคมที่ซับซ้อนไว้และเมืองเทียนหยวนเป็นเพียงจุดที่ตั้งของข่ายอาคมนั้น”
หานโม่ฉือไม่กล่าวสิ่งใดทว่าฉินอวี้โม่เป็นคนอธิบายข้อสันนิษฐานของตนออกมา
ไม่ว่าผนึกของจอมยุทธ์แกร่งกล้าผู้นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด การตายของสิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนก็ต้องส่งผลต่อสิ่งรอบข้างอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมืองเทียนหยวนไม่เคยได้รับผลกระทบใดตลอดเวลาที่ผ่านมาและไม่เคยมีผู้ใดได้รับผลกระทบจากพลังงานความตายที่หนาแน่น ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือเมืองเทียนหยวนไม่ได้ตั้งอยู่เหนือสมรภูมิรบโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่รวบรวมมาได้ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่าสมรภูมิรบดังกล่าวอยู่ใต้ดินจริง คาดว่าจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าน่าจะเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมเช่นกันและได้จัดวางข่ายอาคมไว้รอบ ๆ บริเวณนี้ และเมืองเทียนหยวนคือตำแหน่งที่เขาวางข่ายอาคมนั้นซึ่งสามารถสะกดพลังงานจากสมรภูมิรบโบราณได้โดยสมบูรณ์
ส่วนสมรภูมิรบโบราณก็น่าจะอยู่ใกล้กับเมืองเทียนหยวน มิใช่อยู่ในบริเวณตัวเมือง
“นายหญิง ที่นี่มีข่ายอาคมอยู่รอบ ๆ จริง ทว่ามันลึกลับเกินกว่าที่ข้าจะมองทะลุได้”
ร่างของมารยาปรากฏตัวข้างฉินอวี้โม่และกล่าวถึงสิ่งที่ค้นพบ
มันพยายามศึกษามานานหลายวันและระบุได้แล้วว่ามีข่ายอาคมทรงพลังอยู่รอบเมืองเทียนหยวนจริง เพียงแต่มันเป็นข่ายอาคมที่ลึกลับซับซ้อนเกินกว่าที่ขอบเขตของมันจะมองทะลุได้ หากมิใช่เพราะสัมผัสได้ถึงความผันผวนอยู่เล็กน้อย อสูรสาวก็คงไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าจะมีข่ายอาคมอยู่จริง
“เจ้าค้นพบสิ่งใดที่ผิดปกติบ้างรึไม่ ?”
พรสวรรค์ของมารยาในด้านการวางข่ายอาคมไม่ด้อยไปกว่าฉินอวี้โม่เลย กอปรกับความสามารถในการรับรู้ที่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป มันอาจจะค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติก็เป็นได้
“นายหญิง ข้าจำได้ว่ามีทะเลสาบไร้นามอยู่นอกเมือง ที่นั่นไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ก่อนหน้านี้เราเคยพบทางเข้าของชนเผ่าเอลฟ์ใต้ทะเลสาบมาก่อน บางทีอาจมีทางเข้าอยู่ใต้ทะเลสาบนั่นก็เป็นได้”
มารยาไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนนึกได้ถึงทะเลสาบที่แปลกประหลาดแห่งนั้น
มันและอสูรอื่น ๆ เคยสำรวจสิ่งแวดล้อมโดยรอบมาแล้วหลายคราและไม่เคยพบสิ่งใดที่ผิดปกติ เพราะเหตุนั้น ความเป็นไปได้เดียวที่เหลือในตอนนี้ก็คือสถานที่ที่พวกมันไม่อาจสัมผัสถึง
ก่อนหน้านี้มารยาได้สืบทราบมาว่ามีทะเลสาบไร้นามอยู่นอกเมืองเทียนหยวน ไม่เพียงแต่ไม่มีผู้คนไปที่นั่นเท่านั้น ทว่ามันยังไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใด ๆ แม้แต่น้อย และสิ่งที่สำคัญก็คือมันส่งกลิ่นเหม็นโชยออกมาตลอดเวลา…
แม้จะไม่มั่นใจเต็มร้อย ทว่ามันก็มั่นใจมากพอสมควร หากไปที่ทะเลสาบแห่งนั้น อย่างน้อยที่สุดพวกนางก็น่าจะค้นพบเบาะแสบางอย่างเป็นแน่
“ถ้าเช่นนั้นเราไปดูกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ก็พอจะคาดเดาได้เช่นกันว่าที่นั่นน่าจะมีบางอย่างซ่อนอยู่และวาจาของมารยาก็ช่วยให้นางรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น
จากนั้นทั้งคณะก็มุ่งหน้าตรงไปในทิศทางของทะเลสาบไร้นามอย่างรวดเร็ว
ทะเลสาบไร้นามตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองเทียนหยวน ทะเลสาบแห่งนี้มีขนาดใหญ่พอสมควรทว่ามีน้ำที่ไม่ใสนัก ทันทีที่มาถึงกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ก็แตะจมูกทุกคน มันเป็นเหมือนกับกลิ่นเน่าเปื่อยของบางอย่างและแน่นอนว่าทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
“นี่มันกลิ่นอะไรกัน ?”
เหมียวเจินเจินยกมือขึ้นปิดจมูกและเผยท่าทางที่ขยะแขยง กลิ่นเหม็นที่โชยออกมานี้รุนแรงจนนางแทบทนไม่ไหว ไม่แปลกใจเลยที่จะไม่มีใครมาที่นี่ กลิ่นมันเหม็นและน่าขยะแขยงที่สุดเลย !
“ไม่แปลกใจเลยที่จะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดปรากฏอยู่ที่นี่ หากอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ได้ก็คงจะเป็นปาฏิหาริย์ชัด ๆ”
หลานเผิงกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจเช่นกัน ทะเลสาบแห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิตใด ๆ อย่างแท้จริง แม้แต่แมลงสาบที่สกปรกก็คงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ไม่เกินหนึ่งวัน
“พี่อวี้โม่ อย่าบอกนะว่าเราต้องกระโดดลงไปในทะเลสาบเหม็น ๆ นั่น…”
เหมียวเจินเจินกล่าวอย่างหวาดหวั่นใจ หากต้องกระโดดลงไปในนั้นจริง จินตนาการไม่ได้เลยว่ามันจะน่าขยะแขยงมากเพียงใด
“มีทางเลือกอื่นด้วยรึ ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและจงใจหยอกเย้าเด็กสาวผู้นี้
“หึ ! ต่อให้ต้องลงไปในทะเลสาบเน่านี่ เหมียวเจินเจินผู้นี้ก็ไม่เกรงกลัว !”
แววตาของเหมียวเจินเจินยังคงแสดงถึงความหวาดหวั่น ทว่านางก็กัดฟันแน่นและตัดสินใจที่จะแสดงความกล้าหาญโดยการกระโดดลงไปก่อน
“เจ้าเด็กทึ่มเอ๋ย เจ้าคิดที่จะกระโดดลงไปจริง ๆ รึ ?”
ฉินอวี้โม่คว้าแขนของเด็กสาวไว้ได้ทันก่อนที่ทุกคนจะปรากฏตัวขึ้นมาในคฤหาสน์เฟิงหัวภายใต้ความคิดแวบเดียว หลังจากนั้น นางก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวลงไปในทะเลสาบเบื้องหน้าและดำดิ่งลงไปอย่างไม่ลังเล