ในเวลานี้ คฤหาสน์เฟิงหัวก็ดำดิ่งลงไปสู่ทะเลสาบลึกและมองเห็นสถานการณ์รอบตัวได้อย่างชัดเจน
ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นแสงประหลาดส่องมาจากจุดศูนย์กลางที่ก้นทะเลสาบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นจะต้องเป็นทางเข้าของสมรภูมิรบจากครั้งอดีตอย่างแน่นอน
ด้วยการที่ซ่อนอยู่อย่างมิดชิดใต้ทะเลสาบที่เหม็นเน่าจนทุกคนต้องเบือนหน้าหนีเช่นนี้ หากมิใช่เพราะประสบการณ์ก่อนหน้านี้และการสัมผัสรับรู้ที่พิเศษของมารยา เกรงว่าฉินอวี้โม่และคณะคงจะไม่มีทางตามหาทางเข้าได้พบอย่างแน่นอน
หลังจากคฤหาสน์เฟิงหัวดำดิ่งต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าทางเข้า ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นว่าจุดที่ส่องแสงสลัวออกมาคือช่องทางใต้ดิน น้ำในทะเลสาบนี้ก็ประหลาดมากเช่นกัน มันไม่ไหลทะลักเข้าไปในทางเดินนั้นราวกับมีพลังบางอย่างขวางกั้นน้ำไว้
ฉินอวี้โม่จึงขับเคลื่อนคฤหาสน์หลังน้อยเข้าไปในช่องทางเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล จากนั้นภายใต้ความคิดแวบเดียว ทุกคนก็ถูกส่งตัวออกมาและปรากฏในช่องทางแห่งนี้
ช่องทางแห่งนี้มีทางเดินที่ลาดชันลงไปเรื่อย ๆ โดยไม่อาจมองเห็นปลายทางได้เลย
ทุกคนไม่รีบร้อนและค่อย ๆ เดินลงไปตามทางด้วยกัน
ข้างหน้าทางเดินนี้คงจะมีผนึกพิเศษบางอย่างวางไว้เพื่อมิให้สายน้ำไหลลงมาและแม้แต่กลิ่นเหม็นเน่าก่อนหน้านี้ก็ไม่สามารถแทรกซึมผ่านเข้ามาได้
หลังจากเดินเท้านานประมาณหนึ่งก้านธูป แสงสลัวก่อนหน้านี้ก็สว่างจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และทุกคนเริ่มสัมผัสได้ถึงสายลมอ่อน ๆ
ฉินอวี้โม่และคณะทราบได้ทันทีว่าใกล้ถึงปลายทางเต็มทีและทุกคนก็เฝ้าระวังมากขึ้นโดยอัตโนมัติ
หานโม่ฉือจับมือบางของนางไว้แน่นในขณะที่หลานเผิงและเหมียวเจินเจินเดินตามหลังทั้งสองอย่างใกล้ชิดพร้อมกับมีท่าทีที่ระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา
ในที่สุดเมื่อมองเห็นปลายทางของทางเดินลาดชัน ทุกคนก็หันมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนก้าวออกไปอย่างช้า ๆ
เมื่อก้าวออกมา ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็มิใช่สรวงสวรรค์แต่อย่างใด
ตรงหน้าทุกคนในตอนนี้คือพื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่ไร้ที่สิ้นสุด ท่ามกลางดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยซากศพของมนุษย์ ซากอสูรมายาไร้ชีวิตและสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นๆ แม้แต่รอยคราบเลือดก็ยังคงปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ทุกสิ่งล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเคยมีสงครามครั้งใหญ่อุบัติขึ้นที่นี่…
ฉินอวี้โม่และทุกคนต่างก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตายและบรรยากาศหดหู่ที่กระจายไปทั่วอากาศ
“ที่นี่จะต้องเป็นสมรภูมิรบจากเมื่อพันปีก่อนแน่ ๆ !”
น้ำเสียงของเหมียวเจินเจินแสดงถึงความหดหู่และความหวาดหวั่นอย่างที่รู้สึกได้ แม้ไม่เคยประสบพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ด้วยตัวเอง เพียงเข้ามาเหยียบดินแดนผืนนี้ ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความสยดสยองของสงครามครานั้นได้อย่างชัดเจน
ยอดฝีมือที่ทรงพลังจำนวนนับไม่ถ้วน อสูรมายาทรงพลังมากมายและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ล้วนล้มตายอยู่บนดินแดนผืนนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับสงครามครั้งประวัติศาสตร์เช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่แกร่งกล้าเพียงใดก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากมดตัวเล็ก ๆ ที่ไม่อาจพลิกผันสถานการณ์ตรงหน้าได้
“เมื่อนับพันปีก่อน เหตุใดถึงได้เกิดสงครามสะท้านฟ้าขึ้นในดินแดนมหาเทพและสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากมายต้องล้มตายไปเช่นนี้ ?”
หลานเผิงกล่าวด้วยความฉงนสงสัย จากการสืบหาข้อมูลของเขา เขาไม่เคยพบบันทึกข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับสงครามครั้งใหญ่ของดินแดนมหาเทพเมื่อนับพันปีก่อนเลย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมันเกิดขึ้นจริงและหลักฐานของมันก็ประจักษ์อยู่ตรงหน้า เกรงว่าสาเหตุที่จุดชนวนสงครามที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นคงจะมิใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน
“ข้าเองก็คิดไม่ออกเช่นกัน ทว่าหลังจากที่กลับออกไป เราลองไปสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด การมายืนอยู่ที่นี่ในตอนนี้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่งและเจ็บปวดในหน้าอกอย่างประหลาด เพียงนึกถึงสงครามที่เคยเกิดขึ้น หัวใจของนางก็รู้สึกต่อต้านโดยไม่รู้ตัวซึ่งเป็นสิ่งที่ประหลาดยิ่งนัก…
หานโม่ฉือก็ไม่กล่าวสิ่งใด เขาเพียงกระชับมือที่จับสตรีคนรักไว้แน่นมากขึ้น…
“นายหญิง ข้างหน้าเรามีผนึกบางอย่างซึ่งขวางกั้นมิให้เราผ่านเข้าไปได้”
มารยาชี้ออกไปข้างหน้าในบริเวณที่ห่างจากทุกคนห้าก้าวพร้อมกล่าวถึงสิ่งที่ตนรับรู้ได้
ห่างไปข้างหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ประมาณห้าก้าวคือผนึกบางอย่างที่ปิดกั้นพื้นที่ไว้ หากเข้าไปใกล้มัน พวกนางจะถูกขัดขวางและไม่สามารถก้าวต่อไปได้อีก
หากต้องการทำลายมัน พวกนางก็จะเผชิญกับพลังสะท้อนกลับจากผนึกนี้
“เกรงว่าจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าที่สร้างผนึกนี้คงจะมีพลังที่บรรลุระดับที่เหนือจินตนาการของพวกเรา ไม่เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่ผนึกนี้จะคงอยู่ได้นานนับพันปีโดยที่ไม่สลายหายไปเช่นนี้”
หากเป็นผนึกที่สร้างขึ้นโดยจอมยุทธ์ทั่วไป เมื่อเวลาผ่านไป ผนึกเหล่านั้นจะค่อย ๆ อ่อนแอลงจนกระทั่งสลายหายไปในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผนึกข้างหน้าทุกคนในตอนนี้ยังคงดูแข็งแกร่งทนทานมากแม้ผ่านมานับพันปีแล้วก็ตาม คาดการณ์ว่าผู้ที่สร้างมันขึ้นมาจะต้องเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงอำนาจที่สุดของดินแดนอย่างแน่นอน
หลานเผิงก้าวออกไปข้างหน้าและพยายามที่จะทดสอบมันดู ทว่าก่อนจะแตะถึงผนึกตรงหน้า เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่กำลังต้านทานเขาไว้และขัดขวางมิให้ตนเดินหน้าต่อไปได้อีก
เมื่อเขาพยายามใช้พลังมายาในร่าง จู่ ๆ พลังมหาศาลกลางอากาศก็พุ่งกระแทกร่างของเขาจนกระเด็นออกไปโดยตรง
“ช่างเป็นพลังสะท้อนที่รุนแรงยิ่งนัก”
หลานเผิงหมุนตัวกลางอากาศหลายตลบก่อนทรงตัวยืนได้อีกครั้ง เขามองตรงไปยังจุดหนึ่งท่ามกลางความว่างเปล่าตรงหน้าและอดถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้
พลังการสะท้อนกลับเมื่อครู่นี้กระแทกเขาจนกระเด็นออกไป หากมิใช่เพราะเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้าแล้ว เกรงว่าเขาอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส ผนึกตรงหน้านี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
ไม่แปลกใจเลยที่จอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นจะไม่รีบร้อนบุกเข้ามาที่นี่ทั้งที่ทราบเกี่ยวกับมันก่อนแล้ว พวกเขาน่าจะรอเวลาให้พลังของผนึกอ่อนแอลงและร่วมมือกันหาทางทำลายผนึกนี้ก่อนเข้าไปในสมรภูมิรบเบื้องหน้า
“หลังจากนี้เราจะต้องเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายและอาจได้เข้าร่วมหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกาย ในช่วงเวลานี้เรายังจัดการกับเรื่องของเมืองเทียนหยวนไม่ได้ ข้าคิดว่าเราควรเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผนึกนี้ก่อนและข้าจะจัดวางข่ายอาคมไว้รอบ ๆ เพื่อมิให้พวกจอมยุทธ์ปีศาจพบทางเข้าได้ง่าย ๆ หลังจากเราเข้าไปอยู่ที่สามสำนักและเก้านิกายได้สักระยะ เชื่อว่าความแข็งแกร่งของเราจะพัฒนาขึ้นมากและในตอนนั้นเราจะมีหนทางรับมือกับกลุ่มคนชั่วร้ายพวกนั้นได้”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและตัดสินใจแน่วแน่
เวลานี้พวกนางมีทางเลือกเพียงสองทาง ทางหนึ่งคือทำลายผนึกตรงหน้าเพื่อเข้าไปในสมรภูมิรบโบราณและเผาทำลายซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนนี้ให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
ส่วนทางที่สองคือการถ่วงเวลาจอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นไว้ชั่วคราวและหาทางทำให้พวกเขาไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่าม
ในสมรภูมิรบแห่งนี้ ร่างไร้วิญญาณทั้งหมดล้วนเคยเป็นผู้ที่แกร่งกล้าและทรงพลังของดินแดน รวมถึงเป็นบุคคลที่สำคัญในประวัติศาสตร์ ในเมื่อร่างกายของพวกเขาถูกปิดผนึกสงวนไว้ในดินแดนนี้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาเป็นตัวตนที่มีความพิเศษอย่างมาก การเผาทำลายให้ร่างไร้วิญญาณทั้งหมดกลายเป็นเถ้าถ่านถือเป็นการกระทำที่ดูหมิ่นต่อพวกเขาอย่างที่สุดและอาจนำไปสู่ปัญหาในอนาคตได้
ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้คือเสริมผนึกให้แข็งแกร่งมากขึ้นเพื่อขัดขวางมิให้จอมยุทธ์ปีศาจย่างกรายผ่านเข้าไปได้ เมื่อความแข็งแกร่งของพวกนางพัฒนามากขึ้น ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็จะมีหนทางจัดการกับจอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน
“อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเรา เราไม่สามารถซ่อมแซมหรือเสริมพลังให้กับผนึกได้ในเวลาสั้น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาจอมยุทธ์ปีศาจก็ยังคงซ่อนตัวและยากที่จะตามหาพวกเขาได้พบ เมื่อพวกเขาทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ พวกเขาจะต้องเข้ามาขัดขวางเราอย่างแน่นอน คนพวกนั้นฝึกวิชายุทธ์และพลังที่ประหลาดเกินเข้าใจ พวกเขาอาจจะมาถึงที่นี่ก่อนที่พวกเราจะซ่อมแซมผนึกได้อย่างสมบูรณ์”
หลานเผิงกล่าวถึงสิ่งที่กังวลในใจ จอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากอย่างยิ่ง ต่อให้จอมยุทธ์ปีศาจที่ต่อสู้กับหานโม่ฉือจะยอมถอยกลับไปก่อนก็ไม่อาจทราบได้เลยว่าในเวลานี้เขาและคนอื่น ๆ กำลังซ่อนตัวอยู่ที่ใด
สำหรับการเสริมความแข็งแกร่งและซ่อมแซมผนึกทรงพลังให้สมบูรณ์ มันย่อมมีการเคลื่อนไหวที่คนนอกจะรับรู้ได้ หากพวกจอมยุทธ์ปีศาจค้นพบการเคลื่อนไหวของที่นี่ เกรงว่าพวกเขาเหล่านั้นจะนำพาปัญหาครั้งใหญ่มาอีกแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นเราต้องหารือกันอย่างจริงจังเสียก่อน”
เป็นเพราะสาเหตุนี้เช่นกันที่ทำให้ฉินอวี้โม่ไม่รีบร้อนทำสิ่งใดลงไปทว่าวางแผนที่จะกลับไปยังเมืองเทียนหยวนเพื่อหาหรือกับบรรดาเจ้าเมืองและผู้นำคนอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจ
บางทีการซ่อมแซมผนึกนี้อาจต้องพึ่งพาพลังของพวกเขาทุกคนเช่นกัน…
เมื่อถึงตอนนั้น ฉินอวี้โม่ก็จะวางข่ายอาคมหลายชนิดไว้โดยรอบ เว้นแต่จะเป็นจอมยุทธ์ฝีมือดีอันดับต้น ๆ ของดินแดน จะไม่มีผู้ใดไขปริศนาของที่นี่ได้ในเวลาสั้น ๆ อย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นเรากลับไปที่เมืองกันก่อนเถอะ”
หลังจากได้ยินแผนการของฉินอวี้โม่ หลานเผิงก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง
การอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ขึ้นมา ทางที่ดีคือการกลับไปที่เมืองเทียนหยวนเพื่อปรึกษาหารือกับคนอื่น ๆ ก่อน