เมื่อได้รู้ถึงปัญหาทุกข์ใจของโอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น หากเป็นเรื่องอื่นพวกนางก็คงจะสามารถช่วยคิดหาวิธีหรือช่วยกันแก้ปัญหาให้ได้และแน่นอนว่าพวกนางก็จะพยายามอย่างเต็มที่ ทว่ากับปัญหาเช่นนี้พวกนางทั้งคู่ก็มีแต่จนปัญญา และไม่รู้เลยว่าจะช่วยเขาอย่างไรได้บ้าง
แม้ว่าหวนหลิงจะเป็นดินแดนมายา ทว่าธรรมเนียมปฏิบัติในเรื่องการหาคู่ครองให้ลูกหลานรวมถึงการหมั้นหมายล่วงหน้าของที่นี่ก็ไม่ได้ต่างจากยุคโบราณในโลกที่ฉินอวี้โม่ผู้เป็นนักฆ่าจากมาแม้แต่น้อย
แม้ว่าทั้งสองตระกูลต่างก็อยากจะยกเลิกการหมั้นหมายครั้งนี้ แต่หากทำเช่นนั้นพวกเขาก็กลัวว่าจะกลายเป็นฝ่ายที่ผิดสัญญาเสียเอง นั่นทำให้ไม่มีฝ่ายใดริเริ่มเอ่ยปากเรื่องยกเลิกการหมั้น
และในตอนนี้ผู้นำตระกูลโอวหยางก็ไม่ได้บีบบังคับโอวหยางชิงเฟิงอีกต่อไปแล้ว ทว่าเขาก็ให้โอวหยางชิงเฟิงแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง นี่จึงเป็นภาระที่คุณชายรองตระกูลโอวหยางต้องตัดสินใจ ‘และ…มันไม่ง่ายเลย’
“เจ้าเคยพบเยว่ชิงเฉิงบ้างรึเปล่า ?”
ฉินอวี้โม่ถามออกมาด้วยความสงสัย เยว่ชิงเฉิงเองก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงในนครแห่งนี้ ฉะนั้นโอวหยางชิงเฟิงก็น่าจะเคยพบเจอนางมาบ้างแล้ว
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าก่อนส่ายศีรษะ
“จะว่าเคยพบก็เคยอยู่ แต่ตอนที่ข้าเห็นนาง มันเป็นตอนที่ข้าอายุได้หกขวบ ในตอนนั้นพวกเราต่างก็ยังเด็กกันมาก แน่นอนว่าถ้าเป็นตอนนี้เราคงจำกันไม่ได้แล้ว นั่นเป็นความผิดข้าเอง เพราะความดื้อรั้นของข้าที่เอาแต่หลีกเลี่ยงการเจอหน้าเยว่ชิงเฉิงทำให้ข้าไม่รู้เลยว่าตอนนี้นางเป็นอย่างไร”
ตระกูลโอวหยางมีความสัมพันธ์อันดีกับสมาคมช่างหลอม และยิ่งมีเรื่องของการหมั้นหมายเข้ามาเกี่ยวข้องก็ยิ่งทำให้ขุมกำลังทั้งสองกลมเกลียวกันมากจนขุมกำลังอื่น ๆ ยังต้องเกรงกลัว
ด้วยเหตุผลเช่นนั้น ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลจึงไม่อยากจะทำลายความสัมพันธ์ที่ว่านี้ ทว่าลูกหลานที่พวกเขาวาดหวังให้เกี่ยวดองกันกลับไม่ยอมแม้แต่จะเจอหน้า ซึ่งมันก็ทำให้สถานการณ์ระหว่างสองขุมกำลังอยู่ในจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“งั้นเจ้าก็ควรจะลองไปพบเยว่ชิงเฉิงสักครั้งและพูดกับนางตรง ๆ หากเป็นดังที่เขาร่ำลือกัน ข้าว่านางก็คงจะเป็นสตรีเก่งกล้าที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีและมีความภาคภูมิในตัวเอง บางทีนางอาจจะเห็นด้วยกับเจ้าและยอมยกเลิกการหมั้นก็ได้”
ฉินอวี้โม่ทำได้เพียงแค่ให้คำแนะนำไปเท่านั้น
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้า แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่ให้คำแนะนำเช่นนี้ แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าอย่างไรก็ต้องไปพบเยว่ชิงเฉิงสักครั้ง
“อวี้โม่ เหตุใดเจ้าไม่ไปเจอเยว่ชิงเฉิงพร้อมข้าเลยล่ะ ?”
แม้ว่าโอวหยางชิงเฟิงจะอายุสิบแปดปีแล้ว ทว่านิสัยและอารมณ์ของเขาก็ยังเหมือนกับเด็ก ๆ แน่นอนว่าการจะให้เขาไปพบหน้าคู่หมายที่ต่างก็หลีกเลี่ยงการพบเจอกันมาโดยตลอดเช่นนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง หนุ่มหน้ามนผู้กำลังหม่นหมองจึงอยากเอ่ยขอให้ฉินอวี้โม่สหายสนิทที่ดูโตกว่าเขามากมายไปเป็นเพื่อน
ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างนุ่มนวล แท้จริงแล้วนางไม่ได้อยากจะไปพบเยว่ชิงเฉิงกับโอวหยางชิงเฟิงเท่าไหร่นัก ทว่าอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูกำลังรู้สึกสนใจ ‘สมาคมช่างหลอม’ เป็นอย่างมากต่างหาก
เพราะมันทำให้เธอนึกถึงนิยายแฟนตาซีที่เคยอ่านในชีวิตก่อน ตัวเอกของเรื่องคือช่างหลอมอาวุธและเขาก็ค่อย ๆ สร้างสุดยอดอาวุธขึ้นมาทีละชิ้น ๆ จนสามารถขึ้นเป็นหนึ่งในใต้หล้าได้ นี่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกอิจฉา
ในชีวิตก่อน เธอเชี่ยวชาญอาวุธแทบจะทุกรูปแบบ และเมื่อมีโอกาสได้มาอยู่ในดินแดนมายาแห่งนี้ เธอจึงมีความสนใจในศาสตร์แห่งการหลอมอาวุธมากเป็นธรรมดา
เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเห็นว่ายังพอมีเวลาอยู่บ้าง โอวหยางชิงเฟิงจึงตัดสินใจที่จะออกไปในตอนนี้ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เขาเดินไปแจ้งท่านปู่ของเขาให้ทราบก่อนจะออกจากจวนไปพร้อมฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว และหลินจิ้งหง
“เชิญพวกเจ้าตามสบาย ข้ายังมีงานต้องไปทำ”
หลังจากเดินพ้นประตูจวนตระกูลโอวหยางและเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นธุระของตนแล้ว หลินจิ้งหงก็ขอตัวกลับไปก่อน เขาบอกลาคนทั้งสามก่อนจะเดินไปยังทิศทางที่สมาคมทหารรับจ้างตั้งอยู่
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าตอบรับและออกเดินไปในอีกทิศทางหนึ่ง พร้อมกับเสี่ยวโร่ว
สมาคมช่างหลอมอยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลโอวหยาง หลังจากเดินทางมาได้หนึ่งก้านธูป อาคารสมาคมช่างหลอมก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ต้องบอกเลยว่าสมาคมช่างหลอมนี้ช่างเหมาะสมจะให้ช่างหลอมทุกคนเข้ามาอยู่อย่างแท้จริงเพราะรูปแบบและโครงสร้างของที่นี่ดูมีเอกลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง ฉินอวี้โม่มองดูอย่างตื่นตาตื่นใจ สาวนักฆ่ารู้สึกว่ามันดูคล้ายกับโรงหลอมอาวุธสไตล์ยุโรปโบราณในโลกก่อนของเธอ
เมื่อสามสหายแห่ง ‘ปฏิบัติการเจรจายุติการหมั้นหมาย’ เดินเข้ามาภายในสมาคมช่างหลอม พวกเขาก็เห็นคนจำนวนมากกำลังมุ่งมั่นจัดการงานของตนอย่างแข็งขัน
“ท่านทั้งสามมีสิ่งใดให้ช่วยหรือขอรับ ?”
เมื่อเห็นหนึ่งบุรุษสองสตรีท่าทางดูคล้ายคุณหนูคุณชายตระกูลใหญ่เดินเข้ามา บุรุษหน้าตาอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งก็รีบเข้าไปทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาเป็นพนักงานต้อนรับของสมาคมแห่งนี้
ตามปกติแล้วผู้ที่มายังสมาคมช่างหลอมก็จะมีอยู่สองจุดประสงค์หลักนั่นก็คือการซื้อขายผลิตผลิตภัณฑ์ หรือไม่ก็มาจ้างวานให้ช่างช่วยหลอมในสิ่งที่พวกเขาต้องการ เมื่อเห็นการแต่งกายที่ดูมีชาติตระกูลของคนทั้งสาม พนักงานต้อนรับหนุ่มผู้มีประสบการณ์การทำงานมาหลายเดือนก็คาดเดาว่าผู้มาเยือนสามท่านนี้น่าจะต้องการให้ช่างหลอมสร้างอุปกรณ์ที่มีความพิเศษให้
“ขออภัย เรามาพบเยว่ชิงเฉิง คุณหนูของเจ้าอยู่ด้านในหรือไม่ ?”
เมื่อเห็นว่าโอวหยางชิงเฟิงเอาแต่ยืนอ้ำอึ้ง ฉินอวี้โม่ก็ก้าวออกมาและกล่าวถามแทนด้วยรอยยิ้มสุภาพ
เมื่อได้มองฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน หนุ่มน้อยผู้นั้นก็ชะงักงันไป เขากำลังตกตะลึงในความงดงามของสตรีตรงหน้า แม้จะเคยคิดว่าคุณหนูของพวกเขางดงามมากไม่แพ้ผู้ใด แต่เวลานี้เขากลับคิดว่าความงามของคุณหนูก็ยังดูด้อยกว่าสตรีผู้นี้ถึงขั้นหนึ่ง
“คุณหนูอยู่ด้านใน ท่านทั้งสามมีงานที่จะให้คุณหนูเป็นผู้หลอมใช่หรือไม่ขอรับ ?”
พนักงานต้อนรับผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แม้จะชะงักไปชั่วขณะ ทว่าเขาก็ยังดึงสติตัวเองกลับมาได้อย่างรวดเร็ว บุรุษอ่อนเยาว์ส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่อย่างนอบน้อมแล้วกล่าวถาม
“พวกเรามีเรื่องอยากจะคุยกับนาง ไม่ทราบว่าจะให้พวกเราผ่านเข้าไปได้หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง เดิมทีนางคิดจะให้เหรียญทองเป็นสินบนกับหนุ่มน้อยผู้นี้เพื่อให้ช่วยอำนวยความสะดวก ทว่าเมื่อได้ไตร่ตรองดูดี ๆ แล้ว ที่สมาคมช่างหลอมแห่งนี้คงไม่มีผู้ใดที่ขาดแคลนเงินเป็นแน่ หลังจากคิดเช่นนั้นนางจึงหยิบเอาแกนชีวิตของอสูรมายาขึ้นมาหลายก้อนก่อนจะส่งให้เขา
เมื่อได้เห็นแกนชีวิตที่ผู้มาเยือนสาวยื่นให้ หนุ่มน้อยผู้ทำหน้าที่พนักงานต้อนรับก็เปิดปากเพื่อจะเอ่ยปฏิเสธ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นและมองเห็นรอยยิ้มกระชากใจ จู่ ๆ มือของเขาก็ยื่นออกไปรับของจากมือบางนั้นเองอย่างไม่เชื่อฟัง
“พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบไปเรียนคุณหนูทันที แต่ข้าไม่รับประกันว่านางจะยินยอมให้พวกท่านเข้าพบหรือไม่”
พนักงานผู้นั้นก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนจะหันหลังและเตรียมขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อแจ้งแก่ผู้เป็นนาย
“บอกคุณหนูของเจ้าว่า โอวหยางชิงเฟิงจากตระกูลโอวหยางมาขอพบ”
ในครั้งนี้โอวหยางชิงเฟิงเป็นผู้กล่าวเพิ่มเติมขึ้นมา หากบอกไปเช่นนี้ เขาไม่เชื่อว่าเยว่ชิงเฉิงจะไม่ให้พวกเขาเข้าพบ
พนักงานต้อนรับหนุ่มประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดเขาจึงรู้สึกคุ้นนามโอวหยางชิงเฟิงถึงเพียงนี้กันนะ ?
อย่างไรก็ตาม หนุ่มน้อยก็ไม่ได้ขบคิดให้มากมาย เขารีบขึ้นไปชั้นบนเพื่อแจ้งข่าวทันที
ทว่าในตอนที่ได้ยินชื่อโอวหยางชิงเฟิง คุณหนูของเขาก็แสดงสีหน้าแววตาเกลียดชังออกมาให้เห็น และเป็นตอนนั้นเองที่หนุ่มน้อยพนักงานต้อนรับจดจำนามโอวหยางชิงเฟิงนี้ได้ในที่สุด
นั่นไม่ใช่คู่หมั้นของคุณหนูหรอกหรือ ?
“พาพวกเขาขึ้นมา”
เยว่ชิงเฉิงยิ้ม ทว่าเป็นรอยยิ้มที่ทำให้หนุ่มน้อยพนักงานต้อนรับรู้สึก… หนาวเหน็บจนขนลุกซู่ !
พนักงานต้อนรับผู้ภักดีพยักหน้าและรีบเดินลงไปพาแขกทั้งสามคนของเจ้านายเข้ามาทันที
สมาคมช่างหลอมแห่งนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามชั้น บนชั้นที่สามเรียกได้ว่าเป็นเสมือนอาณาจักรส่วนตัวของคุณหนูแห่งเหล่าช่างหลอม–เยว่ชิงเฉิง
เมื่อพนักงานต้อนรับพาผู้มาขอพบเจ้านายขึ้นมาจนถึงชั้นสามแล้ว เขาก็หยุดลงตรงหน้าประตูก่อนเอ่ยลา
“เชิญพวกท่านทั้งสามเข้าไปด้วยตัวเอง ข้าต้องขอตัวก่อน“
หลังจากกล่าวจบ หนุ่มน้อยผู้นั้นก็รีบหายตัวไปอย่างว่องไวราวกับว่าเขากำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ! …และทิ้งให้สามสหายแห่งปฏิบัติการเจรจาเพื่อยุติการหมั้นยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นอย่างเคว้งคว้าง ~
เมื่อเห็นเช่นนั้น คนทั้งสามก็ได้แต่ทอแววตางุนงง และเมื่อรู้ว่าคงต้องเข้าไปด้านในห้องของเยว่ชิงเฉิงด้วยตนเองโอวหยางชิงเฟิงจึงเคาะประตู
“เชิญเข้ามาได้”
เสียงที่ไม่ดังไม่เบาของสตรีผู้หนึ่งดังลอดออกมา และทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นโอวหยางชิงเฟิงก็ชะงักไปเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม หนุ่มหน้ามนก็ยังคงผลักประตูและเดินเข้าไป ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเองก็เดินตามเขาเข้าไปด้วย เท่าที่ได้ฟังเสียงของนาง ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าเยว่ชิงเฉิงน่าจะเป็นคนที่พูดคุยด้วยง่ายกว่าที่คิด
เมื่อเข้ามาในห้องแห่งนี้ นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจขึ้นอีกครั้ง ห้องนี้เป็นห้องทำงานของช่างหลอม แม้จะไม่ใหญ่เท่าชั้นล่างแต่ก็นับว่ากว้างขวางไม่น้อย ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ที่ขอบของเตาหลอมนั้นมีโต๊ะขนาดใหญ่วางอยู่ และบนโต๊ะก็มีวัตถุดิบสำหรับสร้างสิ่งหลอม อาวุธหน้าตาแปลกประหลาดทั้งเก่าและใหม่ รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือจำนวนมากวางสุมกันเป็นกอง
อย่างไรก็ตาม เท่าที่นางเห็นอุปกรณ์เหล่านี้ส่วนมากก็ไม่ได้มีคุณภาพสูงมากนักและดูแล้วพวกมันก็คงจะเป็นของคุณหนูเจ้าของห้องนี้
ภายในห้องกว้างนั้นยังมีห้องขนาดเล็กที่อยู่ด้านในอีกห้องหนึ่ง หากอยากจะเข้าไปพูดคุยกับเยว่ชิงเฉิงก็คงต้องเข้าไปยังห้องด้านในเสียก่อน
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงหันมามองหน้ากันก่อนเดินตรงไปที่ประตูห้องเล็กนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องรออยู่ด้านนอก ไม่ว่าดูอย่างไรห้องด้านในก็น่าจะเป็นห้องที่เยว่ชิงเฉิงอยู่อย่างแน่นอน
ทว่าเมื่อประตูแง้มเปิดเพียงครึ่งชุ่น ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“ระวัง !”
จู่ ๆ ก็มีลูกดอกเล็ก ๆ จำนวนมากพุ่งตรงเข้าใส่โอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่สะบัดแขนเสื้อจนเกิดกระแสลมแรงวูบหนึ่งซัดปะทะลูกดอกเหล่านั้นให้กระจายออกไป
เมื่อมองผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ของประตูเข้าไป พวกเขาก็มองเห็นร่างของเยว่ชิงเฉิงที่อยู่ด้านในได้ราง ๆ
เมื่อรอต่อไปอีกครู่ใหญ่ คนทั้งสามก็ไม่พบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติใด ๆ อีก โอวหยางชิงเฟิงจึงตัดสินใจจะเปิดประตูอีกครั้ง ทว่าในตอนที่กำลังจะสัมผัสประตู เขาก็ถูกฉินอวี้โม่รั้งเอาไว้ก่อน
อดีตนักฆ่าสาวดันโอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วให้ถอยห่างออกไป ก่อนที่นางจะใช้เท้าถีบส่วนล่างของบานประตู ทันใดนั้นเอง กะละมังไม้ใบไม่เล็กไม่ใหญ่แต่ใส่น้ำไว้จนเต็มก็ตกลงมาดัง *ปัง* น้ำปริมาณมากสาดกระจายเจิ่งนองไปทั่วพื้นทันที
“หือ ?”
เสียงหวานของสตรีที่ฟังดูประหลาดใจดังออกมาจากภายในห้องหนึ่งครั้งก่อนที่โอวหยางชิงเฟิงจะผลักประตูเข้าไปด้วยความโกรธ
สีหน้าของโอวหยางชิงเฟิงในตอนนี้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ทั้งลูกดอก อีกทั้งยังมีกะละมังน้ำเมื่อครู่อีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งหมดนี้มีไว้เพื่อเล่นงานเขาโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม เขาก็พยายามสงบจิตสงบใจ คุณชายตระกูลโอวหยางสยบอารมณ์โกรธของตัวเองไว้และ… ‘พยายามปั้นหน้าฉีกยิ้ม’
เมื่อเข้ามาภายในห้องเล็กนั้นได้ สามสหายผู้รอดพ้นจากลูกดอกและความชุ่มโชกมาได้อย่างหวุดหวิดก็มองเห็นสตรีงดงามผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง นางกำลังส่งยิ้มให้น้อย ๆ …‘อย่างเป็นมิตร’ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสตรีผู้นี้จะต้องเป็นเยว่ชิงเฉิง บุคคลที่พวกเขาตั้งใจมาพบอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ ร่องรอยแห่งความประหลาดใจและอยากรู้อยากเห็นก็ปรากฏบนใบหน้าและแววตาของเยว่ชิงเฉิงทันที
“เจ้าสินะ โอวหยางชิงเฟิงที่ไม่อยากแต่งงานกับข้าจนต้องหนีออกจากตระกูลไปเมื่อห้าปีก่อน ?”
โอวหยางชิงเฟิงยังไม่ทันจะได้อ้าปากกล่าวสิ่งใดก็เป็นเยว่ชิงเฉิงที่ลุกยืนขึ้นมาและสาดวาจาเข้าใส่เสียก่อน คุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมไล่สายตามองอดีตคู่หมายตั้งแต่หัวจรดเท้า
เมื่อโอวหยางชิงเฟิงได้ยินคำพูดของเยว่ชิงเฉิง ความโกรธของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดไปในทันที
เรื่องที่นางกล่าวเป็นความจริงทุกประการ ที่เขาหนีไปเมื่อห้าปีก่อนเป็นเพราะไม่อยากแต่งงานกับนาง วันนี้ถึงแม้คุณชายรองตระกูลโอวหยางจะไม่ทราบว่าสตรีตรงหน้าจะเล่นงานเขาด้วยวิธีใด แต่อย่างไรเรื่องนั้นเขาก็เป็นคนผิดเต็มประตู
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้า เขายอมรับอย่างลูกผู้ชาย
“เป็นเพราะนางใช่ไหม ?”
เยว่ชิงเฉิงจ้องมองโอวหยางชิงเฟิง ขณะชี้นิ้วไปที่ฉินอวี้โม่พร้อมกับเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“อวี้โม่เป็นแค่สหายของข้าเท่านั้น ที่ข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้าก็เพราะว่าข้าไม่ได้ชอบเจ้า”
โอวหยางชิงเฟิงรีบส่ายศีรษะ เป็นความสัตย์จริงที่คุณชายรองตระกูลโอวหยางกล่าว เขาไม่อยากแต่งงานกับเยว่ชิงเฉิงก็เพราะว่าเขาไม่ได้ชอบนางและเขาไม่เห็นด้วยเลยกับการหมั้นหมายโดยพลการของผู้ใหญ่
เยว่ชิงเฉิงพยักหน้า ทว่า จู่ ๆ นางก็ยิ้มออกมาก่อนจะสาดวาจาด่าทอเขาอย่างก้าวร้าว “โอวหยางชิงเฟิง เจ้าคนโง่เง่า แล้วเจ้าคิดงั้นหรือว่าข้าคนนี้อยากจะแต่งงานกับเจ้า ! ”
“ห๊ะ… ?”
เมื่อจู่ ๆ เยว่ชิงเฉิงก็ดูจะเดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โอวหยางชิงเฟิงก็ได้แต่ยืนโง่งมมองตาปริบ ๆ ดูเหมือนว่าเวลานี้หัวสมองที่ขบคิดเรื่องนี้มาอย่างหนักหน่วงตั้งแต่กลับเข้ามาในตระกูลของเขาจะ ‘กลายเป็น…ว่างเปล่า…ไปเสียแล้ว’
เมื่อเห็นสถานการณ์ในตอนนี้ ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างขบขัน
แท้จริงแล้วเรื่องราวระหว่างสองคนนี้อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่พวกนางคิดไว้แต่แรก เยว่ชิงเฉิงผู้นี้แท้จริงแล้วก็ไม่ได้หยิ่งยโสอย่างที่ฉินอวี้โม่เคยจินตนาการ อันที่จริงนางนับเป็นสตรีที่น่าสนใจมากผู้หนึ่งเลยทีเดียว
การที่คุณหนูแห่งตระกูลช่างหลอมสามารถกล่าววาจาเช่นนั้นออกมาได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องชั่งใจอะไรมาก มันทำให้ฉินอวี้โม่คิดว่าสตรีผู้นี้มีส่วนที่คล้ายคลึงกับตัวเองอยู่บ้าง
“อวี้โม่ ? เจ้าคือฉินอวี้โม่งั้นหรือ ?”
แม้ว่าปกติแล้วเยว่ชิงเฉิงจะแทบไม่ได้ออกไปจากอาณาจักรของนางในสมาคม ทว่าเรื่องราวและข่าวคราวต่าง ๆ ทั่วทั้งนครไป๋อวิ๋นนางก็ล้วนได้รับรู้มาทั้งสิ้น และเมื่อได้ยินโอวหยางชิงเฟิงเอ่ยนามของสตรีงดงามในชุดสีม่วงผู้อยู่ตรงหน้านางไปเมื่อครู่ เยว่ชิงเฉิงจึงคาดเดาตัวตนของฉินอวี้โม่ได้
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางคิดว่าเยว่ชิงเฉิงเป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว
“เฮ้ ! ฉินอวี้โม่ เมื่อครู่เจ้าดูกับดักของข้าออกได้อย่างไร ช่วยบอกข้าหน่อยสิ ?”
จู่ ๆ เยว่ชิงเฉิงก็กระโดดข้ามโต๊ะมา ก่อนจะเดินไปจับมือฉินอวี้โม่และลากนางไปนั่งที่เก้าอี้ แม้ท่าทางเช่นนั้นของคุณหนูช่างหลอมจะห้าวหาญเยี่ยงบุรุษแต่ก็แสดงให้เห็นว่านางกำลังถูกใจคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้มาก
เมื่อวานนางได้ยินว่ามีคนลงมือสั่งสอนหวังรั่วจวินกลางถนนเสียจนหมอบ อีกทั้งยังไม่ไว้หน้าหวังรั่วอีที่เดินเข้ามาจัดการเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้นางก็รู้สึกสะใจมากและอยากรู้เหลือเกินว่าเป็นฝีมือของผู้ใด ซึ่งหลังจากให้คนหาข่าว นางก็ได้รู้จักนามฉินอวี้โม่–คุณหนูแห่งตระกูลฉินผู้มาจากหลิงซี เยว่ชิงเฉิงจดจำได้อย่างขึ้นใจในทันที
วันนี้ ในตอนที่รู้ว่าสตรีงดงามผู้มาพร้อมโอวหยางชิงเฟิงมอง ‘ของขวัญต้อนรับอดีตคู่หมาย’ ทั้งสองอย่างของนางออกอีกทั้งยังปัดป้องทั้งลูกดอกและกะละมังน้ำนั้นได้ มันก็ยิ่งทำให้คุณหนูผู้ชื่นชอบการช่างรู้สึกสงสัยในตัวสตรีผู้นี้มากจนกระทั่งเมื่อได้ทราบว่านางคือฉินอวี้โม่ผู้เก่งกล้า ความสงสัยของเยว่ชิงเฉิงก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น !
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็มีสติปัญญาหลักแหลม รูปลักษณ์งดงาม ท่าทางดูดีมีชาติตระกูลและเมื่อได้ดูจากทั้งสีหน้าแววตาก็พบว่าคุณหนูฉินผู้นี้น่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง เยว่ชิงเฉิงเป็นคนตรง ๆ ทันทีที่คิดเห็นเช่นนี้นางก็ต้องการให้ฉินอวี้โม่มาเป็นสหาย
แม้จะถูกเยว่ชิงเฉิงลากตัวไป แต่ฉินอวี้โม่กลับไม่มีอาการต่อต้านเลยสักนิด นี่เป็นเรื่องน่าแปลกเพราะตามปกติหากถูกคนแปลกหน้าหรือไม่เคยรู้จักกันมาแตะเนื้อต้องตัวเช่นนี้ คนอย่างฉินอวี้โม่จะต้องปัดป้องและรู้สึกขุ่นเคืองไปแล้ว
นี่จึงชัดเจนเลยว่า สตรีตรงไปตรงมาอย่างคุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมผู้นี้เป็นคนในแบบที่ฉินอวี้โม่ถูกชะตาด้วยทำให้นางเองก็คิดอยากจะให้อีกฝ่ายมาเป็นสหายเช่นกัน