กลางอากาศ จอมยุทธ์ปีศาจที่ถูกเรียกว่า ‘หัวหน้า’ เหวี่ยงฝ่ามือโจมตีหานโม่ฉืออีกครั้ง
“เหอะ ข้าจะจดจำเรื่องในวันนี้ไม่มีลืม ! ต่อให้พวกเจ้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับผนึกได้สำเร็จ แล้วอย่างไรเล่า ? รอดูเถอะ…ท้ายที่สุดพวกเราจอมยุทธ์ปีศาจจะต้องเป็นขุมกำลังที่ได้ปกครองทั่วทั้งดินแดนนี้ !”
หลังจากกล่าวทิ้งท้าย ร่างของเขาก็พุ่งออกไปยังทางออกอย่างรวดเร็ว
จอมยุทธ์ปีศาจคนอื่น ๆ ก็ไม่รอช้าและรีบตามออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“พวกเราจะไล่ตามไปรึไม่ ?”
เฉินเซี่ยวลั่วมองตามไปยังจุดที่จอมยุทธ์ปีศาจหายไปและกล่าวลองเชิงเพื่อถามความเห็นของคนอื่น ๆ
“ท่านคิดว่าจะเอาชนะพวกเขาได้รึ ?”
โหรวฉิงก็ถามกลับไปพร้อมทำหน้ามุ่ยเล็ก ๆ เนื่องจากรู้สึกว่าผู้นำตระกูลเฉินถามสิ่งที่ไร้สาระยิ่งนัก
หากสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ปีศาจและควบคุมคนพวกนั้นได้ มีที่ไหนที่สถานการณ์จะยุ่งยากวุ่นวายเช่นนี้ ทว่าในเมื่อเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ การไล่ตามไปก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
“เอ่อ…คิดว่าข้าคงเอาชนะไม่ได้จริง ๆ”
เฉินเซี่ยวลั่วเกาศีรษะและกล่าวยอมรับอย่างไม่เต็มเสียงนัก
ทุกคนมองท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของเขาและอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ เวลานี้บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงมาก
“ผนึกได้รับการซ่อมแซมแล้วและมีความแข็งแกร่งประมาณเก้าในสิบส่วนจากเดิม อีกประเดี๋ยวข้าและมารยาจะช่วยกันวางข่ายอาคมจำนวนหนึ่งไว้รอบ ๆ พวกจอมยุทธ์ปีศาจที่กล้าคิดย่างกรายเข้ามาที่นี่จะต้องยอมแลกด้วยต้นทุนที่สูง คาดว่าจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสามปีข้างหน้า”
ฉินอวี้โม่กำหมัดขึ้นมาพลางคำนวณวันเวลา ด้วยความช่วยเหลือของข่ายอาคมรวมวิญญาณและพลังมายาของทุกคนที่ผสานรวมกัน ความแข็งแกร่งของผนึกขวางกั้นตรงหน้าจึงฟื้นฟูขึ้นมาถึงเก้าในสิบส่วนจากความแข็งแกร่งเดิมแล้ว ต่อให้จอมยุทธ์ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดมาที่นี่ด้วยตัวเองก็ไม่มีทางทำลายผนึกลงได้ง่าย ๆ
อย่างไรก็ตาม แม้จะฟื้นฟูจนมีพลังเก้าในสิบส่วนจากเดิม ความแข็งแกร่งในตอนนี้ก็ถือว่าห่างจากตอนแรกเริ่มมากพอสมควรและฉินอวี้โม่รับประกันได้เพียงว่ามันจะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดในระยะเวลาสามปีเท่านั้น
หลังจากสามปี ผนึกจะค่อย ๆ อ่อนแอลงอีกครั้งและบางทีวันหนึ่ง แม้แต่จอมยุทธ์ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงก็อาจทำลายมันได้อย่างง่ายดาย
“สามปี…”
จ้าวเหลียงและคนอื่น ๆ ใช้ความคิดอย่างหนักและคิดไปในทางเดียวกัน นั่นคือพวกเขาไม่มั่นใจเลยว่าระยะเวลาสามปีจะมากพอหรือไม่
“หลังจากนี้โม่ฉือกับข้าจะเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้าย จากนั้นเราก็จะไปที่นิกายหมื่นบุปผาเพื่อตามหาใครบางคน ระยะเวลาสามปีน่าจะเป็นช่วงที่พลังของเราพัฒนาขึ้นมากพอและจะสะสางปัญหานี้ได้ไม่ยาก”
ฉินอวี้โม่คาดเดาความคิดของทุกคนได้และกล่าวเสริมขึ้นมา
ทางที่ดีที่สุดคือการเข้าไปในสมรภูมิรบเก่าแก่หลายพันปีและจัดการกับซากศพที่หลงเหลือข้างในเพื่อยุติปัญหาความวุ่นวายทั้งหมด มิฉะนั้น ตราบใดที่จอมยุทธ์ปีศาจยังคงอยู่ พวกเขาก็คงจะหาทางฝ่าทะลวงผ่านผนึกและเข้าไปข้างในได้ในสักวัน
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ไม่มีจอมยุทธ์ปีศาจ ในดินแดนแห่งนี้ก็อาจจะมีคนอื่น ๆ ที่มีเจตนาชั่วร้ายเช่นกัน เรียกได้ว่าการดำรงอยู่ของสมรภูมิรบเก่าแก่แห่งนี้หมายถึงโอกาสของภัยร้ายที่อาจมาถึงได้ทุกเมื่อ
“หากเจ้ายืนยันเช่นนี้ เราก็โล่งใจได้ ไม่ต้องห่วง…ในช่วงสามปีนี้ ข้าและตระกูลใหญ่ทั้งหลายจะร่วมมือกันคุ้มกันที่นี่ไว้เพื่อมิให้พวกจอมยุทธ์ปีศาจฉวยโอกาสได้ !”
จ้าวเหลียงกล่าวด้วยสีหน้าแววตาจริงจัง จอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไปและพวกเขามิใช่คู่มือของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในฐานะเจ้าเมืองเทียนหยวน การจัดกำลังคนและวางแผนคุ้มกันที่นี่น่าจะไม่ยุ่งยากจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ผนึกรอบล้อมสมรภูมิรบได้รับการซ่อมแซมแล้ว เพราะฉะนั้นจึงคาดการณ์ได้ว่าจอมยุทธ์ปีศาจจะไม่ปรากฏตัวในอนาคตอันใกล้นี้และเมืองเทียนหยวนจะกลับคืนสู่ความสงบสุขไปอีกพักใหญ่
“เยี่ยมเลย !”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสบตากันเล็กน้อยและไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติมอีก
จากนั้นทุกคนก็เดินออกจากทางเข้าสมรภูมิรบไปก่อนในขณะที่ฉินอวี้โม่และมารยาร่วมกันวางข่ายอาคมหลากหลายประเภทและตามออกไปเช่นกัน
เมื่อปรากฏตัวริมทะเลสาบอีกครั้ง กลิ่นเหม็นรุนแรงที่ถาโถมเข้ามายังคงทำให้ทุกคนแทบอาเจียนไม่เปลี่ยนแปลง
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและตัดสินใจวางข่ายอาคมลวงตาจำนวนหนึ่งไว้เหนือทะเลสาบเช่นกัน เว้นแต่จะเป็นจอมยุทธ์ระดับสูงผู้แกร่งกล้า ไม่มีทางที่ผู้ใดจะมองทะลุข่ายอาคมลวงตาของนางได้ในเวลาสั้น ๆ อย่างแน่นอน นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันมิให้จอมยุทธ์ปีศาจผ่านเข้ามาได้ง่าย ๆ
หลังจากเตรียมความพร้อมทุกอย่างเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไป
ในตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว ทั้งเมืองเทียนหยวนจึงเงียบสงัดและการเคลื่อนไหวของพวกนางก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ใด
ตลอดช่วงไม่กี่วันต่อมา เมืองเทียนหยวนก็ยังคงเงียบสงบอย่างมากและไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดเกิดขึ้น
ในวันที่สองหลังจากซ่อมแซมผนึกเสร็จสิ้น หลานเผิงก็พาเหมียวเจินเจินเดินทางกลับไปที่จวนตระกูลหลานด้วยกัน
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยังคงพักอยู่ในจวนตระกูลฉินเช่นเดิม
ความแข็งแกร่งของทั้งสองในตอนนี้เข้าสู่สภาวะคอขวดแล้วและไม่สามารถทะลวงพลังได้ในช่วงเวลาอันใกล้นี้
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ฉินอวี้โม่ก็หลอมอุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งในขณะที่ใช้เวลาสอนวิชาและชี้แนะแนวทางให้กับบรรดาศิษย์ของตระกูลฉิน
หานโม่ฉือเองก็มีส่วนร่วมเช่นกัน เขาช่วยสอนวิชาให้คนเหล่านั้นส่งผลให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาพัฒนาขึ้นมากในเวลาเพียงไม่กี่วัน
ในตอนนี้ก็เหลือเวลาเพียงไม่ถึงสี่สิบวันก่อนถึงการคัดเลือกในรอบสุดท้าย
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหารือกันก่อนหน้านี้แล้วและวางแผนที่จะเดินทางไปยังเมืองที่จัดการคัดเลือกในรอบสุดท้ายก่อน
ทั้งสองรู้จักฉินเทียน ฉินเฟิงและสหายคนอื่น ๆ เป็นอย่างดี ด้วยเชื่อว่าตราบใดที่มีโอกาสและคุณสมบัติเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้าย พวกเขาจะต้องไปที่เมืองเทียนยงโดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเองก็เสียเวลาอยู่ในเมืองเทียนหยวนมานานพอสมควรแล้วและถึงเวลาต้องออกเดินทางเสียที
อย่างไรก็ตาม เพียงสามวันหลังจากการตัดสินใจเกี่ยวกับวันออกเดินทาง ผู้นำตระกูลใหญ่ทั้งสามก็มาเยือนจวนตระกูลฉินพร้อมข่าวที่ไม่ดีนัก
“เสี่ยวอวี้โม่ เราเพิ่งทราบข่าวว่ารูปแบบการคัดเลือกในรอบสุดท้ายของปีนี้จะแตกต่างไปจากเดิม”
ภายในโถงประชุมของจวนตระกูลฉิน ทุกคนนั่งลงตรงข้ามกันและเฉินเซี่ยวลั่วกล่าวเป็นคนแรกด้วยใบหน้าที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในการคัดเลือกรอบสุดท้ายครั้งก่อน ๆ ใช้วิธีคล้ายคลึงกับการคัดเลือกในรอบของเมืองเทียนยินก่อนหน้านี้ นั่นคือผู้เข้าร่วมแข่งขันทุกคนจะได้ต่อสู้กันตัวต่อตัวเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของแต่ละบุคคล ในตอนนั้น ตัวแทนจากสามสำนักและเก้านิกายก็จะจับตาดูการแสดงฝีมือของศิษย์เหล่านั้นและเลือกผู้ที่มีศักยภาพที่น่าสนใจ และผู้ถูกเลือกเหล่านั้นจะได้เข้าร่วมเป็นศิษย์ของหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกาย
นั่นคือระบบการคัดเลือกในครั้งก่อน ๆ ที่ผ่านมา เพียงแต่ตัวแทนจากตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวนไม่เคยมีโชคที่มากพอจึงไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมกับหนึ่งในขุมกำลังใหญ่เหล่านั้น
ด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับการคัดเลือกครานี้มากกว่าที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ซ่างสี่ซานกลับได้รับข่าวเป็นคนแรกและทราบว่ากฎของการคัดเลือกในครานี้จะเปลี่ยนแปลงไป
เฉินเซี่ยวลั่วและโหรวฉิงเองก็ได้รับข่าวหลังจากนั้นไม่นานเช่นกัน หลังจากใช้เวลาตรวจสอบตลอดทั้งวัน พวกเขาก็ได้รับการยืนยันว่ากฎเกณฑ์ในการคัดเลือกรอบสุดท้ายประจำปีนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจริง ๆ
“ครานี้ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายทั้งหมดจะถูกส่งไปในสถานที่ลึกลับและหาทางเอาตัวรอดอยู่ที่นั่น กล่าวกันว่าสถานที่แห่งนั้นอันตรายมาก มันมีทั้งอสูรมายาระดับสูงจำนวนมากและภัยร้ายอื่น ๆ อีกมากมาย ตราบใดที่เอาตัวรอดจากที่นั่นได้ก็ถือว่าผู้เข้าแข่งขันมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมสามสำนักและเก้านิกาย”
ข่าวเรื่องนี้ถูกส่งมาจากศิษย์ตระกูลซ่างที่เดินทางไปเมืองเทียนยงเป็นการล่วงหน้าและเชื่อมั่นได้ว่าเป็นความจริงอย่างแน่นอน
กล่าวได้ว่าการคัดเลือกในครานี้ทั้งเรียบง่ายและโหดหินกว่าก่อน และที่สำคัญคือมันอันตรายกว่าเดิมมากเช่นกัน…
ศิษย์ซึ่งเป็นตัวแทนจากเมืองต่าง ๆ จะถูกส่งไปยังมิติพิเศษและผู้ที่เอาตัวรอดจนถึงท้ายที่สุดจะได้เข้าร่วมสามสำนักและเก้านิกายซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนมหาเทพ
“ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่าการคัดเลือกในครานี้จะมีแผนการสมคบคิดบางอย่างอยู่เบื้องหลัง”
เฉินเซี่ยวลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย จากวิธีการคัดเลือกในครานี้ มีแนวโน้มว่าผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายจะต้องตายในสถานที่ลึกลับดังกล่าว
ต้องกล่าวเลยว่าคนเหล่านั้นล้วนเป็นศิษย์ยอดฝีมือจากทั่วทั้งดินแดน ต่อให้ไม่ถูกเลือกให้เป็นศิษย์ของหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกาย พวกเขาก็ยังมีความหวังที่จะได้เป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าของดินแดน ทว่าหากเข้าไปในมิติพิเศษลึกลับนั่น สิ่งที่เฝ้ารอคนส่วนใหญ่ก็คือความตาย…