กล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีที่กฎการคัดเลือกในรอบสุดท้ายเปลี่ยนแปลงไป ในอดีตไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
และก็เป็นจริงดังที่เฉินเซี่ยวลั่วกล่าวไว้ การคัดเลือกในครานี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอย่างแท้จริง
แม้สามสำนักและเก้านิกายจะไม่ได้มีชื่อเสียงในด้านความดีหรือความเที่ยงธรรมทั้งหมด พวกเขาก็เป็นขุมกำลังทรงพลังของดินแดนมหาเทพ แน่นอนว่าพวกเขาทราบดีว่าการวิธีการคัดเลือกเช่นนี้จะเป็นการสังหารจอมยุทธ์รุ่นเยาว์จำนวนมากของดินแดน ทว่ายังตัดสินใจเลือกวิธีการเช่นนี้ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าขุมกำลังเหล่านั้นต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ?
“จากข่าวที่เราได้รับมา ในมิติพิเศษแห่งนั้น จอมยุทธ์คนอื่น ๆ มิใช่ภัยคุกคามที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด ทว่าสิ่งที่ต้องหวาดหวั่นคือภยันตรายอื่น ๆ ที่อยู่ข้างใน เพราะฉะนั้น พวกเราชาวเมืองเทียนหยวนจะต้องร่วมมือกันเพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตเหล่านั้นและผ่านการคัดเลือกนี้ไปให้จงได้”
จ้าวเหลียงและคนอื่น ๆ รู้สึกได้เช่นกันว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทว่ากฎการคัดเลือกรอบสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสามสำนักและเก้านิกาย ในเมื่อพวกเขาตัดสินใจใช้วิธีนี้แล้ว ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมในการคัดเลือกทุกคนก็ไม่อาจปฏิเสธมันได้ เว้นแต่จะยอมถอนตัวจากการคัดเลือกเสียเอง ทว่านั่นจะหมายถึงการหมดโอกาสเข้าร่วมขุมกำลังที่ทรงพลังเป็นอันดับต้น ๆ ของดินแดนเช่นกัน
สำหรับขุมกำลังระดับสองระดับสามเช่นพวกเขาทุกคน หากศิษย์ของพวกเราได้มีโอกาสผ่านเข้าร่วมหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกาย มันจะเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญต่อพลังอำนาจและอิทธิพลของพวกเขาอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางยอมถอนตัวออกไปง่าย ๆ
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะได้เข้าร่วมสามสำนักและเก้านิกายหรือไม่ ทั้งสองสนใจเพียงสิ่งเดียวคือการเข้าไปที่นิกายหมื่นบุปผาและตามหาเบาะแสของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น เพราะเหตุนั้น พวกเขาทั้งสองจะไม่มีทางพลาดการคัดเลือกในครานี้อย่างแน่นอน
“หากคนจำนวนมากถูกฆ่าตายไปในสถานที่ลึกลับแห่งนั้น มันจะส่งผลเสียต่อดินแดนมหาเทพของเราอย่างแน่นอน จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทุกคนที่ผ่านการคัดเลือกมาจนถึงรอบสุดท้ายล้วนเป็นยอดฝีมือมากพรสวรรค์ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของดินแดน หากพวกเขาส่วนใหญ่เสียชีวิตไป มันจะก่อให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ในดินแดนมหาเทพเป็นแน่”
จ้าวตั๋วกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาจินตนาการได้เลยว่าหากสถานการณ์เลวร้ายนั้นเกิดขึ้นจริง มันจะเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวเพียงใด…
มีเพียงผู้ที่เอาตัวรอดจากมิติพิเศษเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติเข้าร่วมสามสำนึกและเก้านิกายต่อไปซึ่งเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง
สามสำนักและเก้านิกายรวมกันเป็นสิบสองขุมกำลัง ต่อให้แต่ละขุมกำลังเลือกศิษย์หนึ่งร้อยคน จำนวนรวมทั้งหมดก็เป็นเพียงหนึ่งพันสองร้อยคนเท่านั้น ทว่าการคัดเลือกในรอบสุดท้ายจะมีผู้เข้าร่วมนับหมื่นคน นั่นหมายความว่าจอมยุทธ์ที่มีอนาคตสดใสนับหมื่นชีวิตจะต้องตายอยู่ในสถานที่ลึกลับแห่งนั้นหรือ ?
ยิ่งไปกว่านั้น จากประสบการณ์ในครั้งที่ผ่าน ๆ มา โดยปกติแล้วสามสำนักและเก้านิกายจะรับศิษย์จากการคัดเลือกเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นและไม่เคยรับในจำนวนที่มากจนเกินไป หากพิจารณาจากปัจจัยนี้ เกรงว่าผู้เข้าร่วมการคัดเลือกมากกว่าเก้าในสิบส่วนจะต้องดับสิ้นอยู่ในมิติพิเศษเป็นแน่
“นายหญิง เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าวิธีการเช่นนี้ของสามสำนักและเก้านิกายแทบไม่ต่างไปจากวิธีการของจอมยุทธ์ปีศาจเลย”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว เสี่ยวม่านอดแสดงความคิดเห็นของตนเองออกไปไม่ได้
วิธีการคัดเลือกที่โหดร้ายเช่นนี้มิใช่วิธีการที่ถูกที่ควรหรือมีศีลธรรมเลยสักนิด เพียงได้ยินว่าพวกเขาตั้งใจจะส่งจอมยุทธ์รุ่นเยาว์มากพรสวรรค์จำนวนมากเข้าไปตายอยู่ข้างในมิติพิเศษนั้นก็เป็นสิ่งที่โหดเหี้ยมอย่างที่สุดแล้ว
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็สบตากันเล็กน้อยโดยไม่กล่าวสิ่งใด
ทว่าทั้งสองก็รู้สึกได้เช่นเดียวกันว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลในการคัดเลือกรอบสุดท้ายนี้จริง อย่างไรก็ตาม ต่อให้มีภูเขาขวากหนามหรือทะเลเพลิงขวางหน้า ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ต้องฝ่าฟันมันไป ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองก็ต้องผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายเพื่อเข้าร่วมหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายให้จงได้ ยิ่งไปกว่านั้น เชื่อว่าฉินเฟิงและสหายคนอื่น ๆ ก็จะเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบนี้อย่างแน่นอนและทั้งสองจะต้องไปที่มิติพิเศษดังกล่าวเพื่อพบปะกับทุกคนอีกครั้ง
“เอาล่ะ วิธีการคัดเลือกในปีนี้เปลี่ยนแปลงไป เวลาก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเช่นกัน จากข้อมูลที่เราได้รับ ดูเหมือนว่าผู้เข้าร่วมแข่งขันไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่เมืองเทียนยงอีกแล้ว เมื่อถึงเวลาจะมีตัวแทนจากเมืองเทียนยงส่งป้ายหยกมาให้ และเพียงทำลายมัน จอมยุทธ์ผู้นั้นก็จะถูกส่งเข้าไปในมิติพิเศษทันที”
แม้ทราบดีว่าการคัดเลือกรอบสุดท้ายในครานี้ไม่เรียบง่ายอย่างที่เห็นภายนอก พวกเขาเหล่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ในฐานะขุมกำลังระดับสอง พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของขุมกำลังใหญ่ ๆ ได้และทราบดีว่าควรทำอย่างไร สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้คือเตรียมไพ่ตายสำหรับเอาตัวรอดให้กับศิษย์ที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกสุดแสนอันตรายที่จะมาถึง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บางทีโอกาสในการที่ทุกคนจะรวมตัวกันก็คงจะมีน้อยมาก ไม่ทราบเลยว่าสถานการณ์ในมิติพิเศษนั้นจะเป็นอย่างไรและมันเป็นสิ่งที่ยากจะรับมืออย่างแท้จริง”
ฉินอวี้โม่คิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง การทำลายแผ่นป้ายเพื่อเข้าสู่สถานที่ลึกลับฟังดูเป็นวิธีการที่แปลกพิกลและไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าผู้ที่สร้างมิติพิเศษเช่นนั้นเป็นผู้ที่ทรงพลังมากเพียงใด
สำหรับป้ายหยกแต่ละแผ่นที่ถูกทำลายโดยแต่ละคน ผู้เข้าแข่งขันก็อาจจะถูกส่งไปปรากฏตัวในจุดที่แตกต่างกันไป และหากมิติแห่งนั้นมีพื้นที่ที่กว้างใหญ่ จอมยุทธ์เหล่านั้นก็ไม่สามารถรวมตัวกันและช่วยเหลือกันในยามวิกฤติได้
“นี่คือสิ่งที่เรากังวลมากที่สุด หรือเราควรลดจำนวนผู้ที่เข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายนี้และส่งศิษย์เพียงไม่กี่คนที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุด ?”
ซ่างสี่ซานขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวออกไป ในเวลานี้มีศิษย์มากกว่ายี่สิบคนของเมืองเทียนหยวนที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายได้ ทว่าท่ามกลางคนทั้งหมดนั้นก็มีเพียงไม่กี่คนที่มีความแข็งแกร่งที่โดดเด่น เกรงว่าแต่ละตระกูลคงจะมีศิษย์เพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่จะรับมือกับอันตรายที่ร้ายแรงได้
“เป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน ข้าขอเสนอให้แต่ละตระกูลส่งศิษย์ไปเพียงสามคนเท่านั้น หากส่งไปมากกว่านั้น มันจะเป็นการส่งพวกเขาไปตายเสียเปล่า ๆ”
โหรวฉิงเห็นด้วยกับวาจาของซ่างสี่ซานและกล่าวข้อเสนอของตนออกมา
“ข้าว่าสองคนก็เพียงพอแล้ว และเมื่อรวมอวี้โม่ โม่ฉือ เฝิงเยี่ยและฉื่อไท่หลางก็เป็นจำนวนไม่เกินสิบคน พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ฝีมือดีที่สุดในเมืองเทียนหยวนของเรา หากต้องเผชิญภยันตรายและต้องหาทางเอาตัวรอด พวกเขาก็จะมีโอกาสมากกว่าคนอื่น ๆ”
ซ่างสี่ซานก็คำนวณถึงความเป็นไปได้และเสนอเพิ่มเติม
“ข้าเห็นด้วยกับสหายซ่าง การคัดเลือกในรอบสุดท้ายนี้ไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย ไม่จำเป็นต้องส่งคนของตระกูลเราเข้าไปหาความตายโดยไม่จำเป็น เพียงส่งศิษย์ฝีมือดีที่สุดสองคนของแต่ละตระกูลก็พอ จากนั้นก็เตรียมไพ่ตายสำหรับเอาตัวรอดให้กับพวกเขามากยิ่งขึ้นซึ่งจะช่วยให้พวกเขามีโอกาสเอาตัวรอดได้มาก เรามิใช่ขุมกำลังระดับหนึ่งและมีไพ่ตายไม่มากนัก หากจะส่งคนเข้าไปมากเกินไป มันมิใช่เรื่องดีแน่”
เฉินเซี่ยวลั่วพยักศีรษะเห็นด้วยและกล่าวเสริม
“ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้าจะไปหาศิษย์คนอื่น ๆ และชี้แจงให้พวกเขาเข้าใจตรงกัน”
ซ่างสี่ซานตัดสินใจอย่างแน่วแน่และศิษย์สองคนที่เขาจะส่งไปเป็นตัวแทนของตระกูลซ่างก็อยู่ในใจของเขาแล้วเช่นกัน
ทั้งเฉินเซี่ยวลั่วและโหรวฉิงก็ตัดสินใจได้แล้วเช่นกัน จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปเพื่อเตรียมความพร้อม
“เดิมทีข้าคิดจะหารือกับสมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลโจวว่าจะส่งศิษย์ไปสักคนสองคนได้รึไม่ ทว่าตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ศิษย์ตระกูลโจวอ่อนแอมากและเจ้าแก่โจวเฉียนนั่นก็ขโมยของสำคัญหลายอย่างไปด้วย ตอนนี้เราไม่มีไพ่ตายหลงเหลืออยู่และข้าก็ไม่อยากให้ตระกูลโจวเผชิญความสูญเสียอีกต่อไป”
ในทางตรงกันข้าม โจวปิ่งฮุยถอนหายใจด้วยความโล่งอกและล้มเลิกความคิดเดิมของตน ตระกูลโจวจะถอนตัวจากการคัดเลือกในครานี้และเชื่อว่าตระกูลจะฟื้นฟูกลับคืนมาได้ภายในไม่กี่ปี ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้มีศิษย์ที่สามารถเข้าร่วมกับสามสำนักและเก้านิกายได้ ด้วยการที่มีฉินอวี้โม่ผู้น่าหวาดหวั่นอยู่ที่นี่ ตระกูลโจวของพวกเขาก็ไม่มีทางขึ้นเป็นใหญ่ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ โจวปิ่งฮุยก็ไม่ต้องการมีเรื่องบาดหมางใจกับฉินอวี้โม่อีกต่อไป
หลังจากการหารือและเข้าใจตรงกัน ทุกคนก็แยกย้ายกลับไปที่ตระกูลของตน
หลังจากนั้นไม่นาน แต่ละตระกูลก็ส่งคนไปแจ้งฉินอวี้โม่เกี่ยวกับศิษย์ผู้ถูกเลือกของแต่ละตระกูลซึ่งจะเข้าร่วมในการคัดเลือกรอบสุดท้าย
เจ็ดวันต่อมา ในที่สุดป้ายหยกจำนวนนับสิบป้ายก็ถูกส่งมาจากเมืองเทียนยง