“เจ้ามนุษย์สามหาว ไปตายซะเถอะ !”
พลังความมืดที่หนาแน่นปกคลุมทั้งร่างของฉินอวี้โม่ และเมื่อเสียงตะโกนกร้าวดังขึ้น พลังมหาศาลก็ปะทุมาจากร่างของวิญญาณร้ายและพลังงานแห่งความตายก็แผ่ออกไปหมายที่จะครอบงำฉินอวี้โม่
“ทำลายมันซะ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ ขณะเปลวเพลิงที่ปลายนิ้วมือร้อนระอุยิ่งขึ้นอย่างกะทันหัน เพลิงลึกลับส่องสว่างไปทั่วบริเวณและพลังสีดำทะมึนที่ปกคลุมในร่างของนางก็ถูกดูดกลืนในทันทีก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เพลิงแห่งชีวิตของซิวสามารถหลอมละลายทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ นับประสาอะไรกับภูตผีวิญญาณ
“ลุย !”
อึดใจต่อมา ปลายนิ้วมือเรียวของฉินอวี้โม่ก็สะบัดเล็กน้อยและเปลวเพลิงพุ่งตรงไปยังร่างของวิญญาณร้าย
สีหน้าของวิญญาณร้ายเปลี่ยนไปทันทีและหันหลังกลับเพื่อพยายามที่จะหลบหนี
“คิดว่าจะหนีรอดรึ ?!”
ด้วยเสียงเย้ยหยัน เพลิงเหล่านั้นก็ราวกับมีจิตวิญญาณเป็นของมันเองและไล่ตามวิญญาณร้ายไปอย่างใกล้ชิด
“อ๊ากกก !”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นเมื่อเปลวเพลิงครอบงำและแผดเผาทั้งร่างของวิญญาณร้ายอย่างรวดเร็ว
เสื้อคลุมสีดำบนร่างของเขาถูกเผาจนสลายกลายเป็นเถ้าถ่านในทันทีและร่างของเขาก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
เขาคือบุรุษวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์ทั่ว ๆ ไป ทว่าในเวลานี้เปลวเพลิงที่ทรงพลังก็กำลังแผดเผาร่างของเขาและสีหน้าของเขาก็เผยให้เห็นถึงความหวาดหวั่นอย่างชัดเจน
“แม่สาว…”
ยินรุ่ยกำลังจะกล่าวบางอย่างทว่าถูกฉินอวี้โม่ขัดไว้เสียก่อน
“ท่านลุง เราซาบซึ้งในน้ำใจของท่าน อย่างไรก็ตาม วิญญาณร้ายนี่หมายจะเอาชีวิตข้า ข้าปล่อยเขาไปไม่ได้หรอก อีกอย่าง…คงจะมีคนมากมายที่ต้องตายไปเพราะเงื้อมมือของวิญญาณร้ายตนนี้ เพราะเหตุนั้น ข้าจะไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน”
หากพิจารณาจากวาจาของวิญญาณร้าย ก่อนหน้านี้ก็คงจะมีจอมยุทธ์จากโลกภายนอกหลายคนที่ผ่านเข้ามาในเมืองแห่งนี้ ทว่าคนเหล่านั้นกลับต้องตายไปเพราะเงื้อมมือของเขา
เห็นได้ชัดว่าวิญญาณร้ายตนนี้เป็นตัวตนที่ชั่วร้ายและโหดเหี้ยมเกินไป อีกทั้งยังก่อกรรมทำชั่วมามากมาย การตายของเขาจึงก็มิใช่สิ่งที่ควรเห็นใจ
“ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรการตายของเขาก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเมืองอู๋เริ่นเช่นกัน”
ยินรุ่ยเพียงกล่าวสั้น ๆ ขณะชายตามองวิญญาณร้ายและส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา
“อ๊ากกก !”
เมื่อสิ้นเสียงร้องโหยหวนอีกครา วิญญาณร้ายก็ไม่ทันได้กล่าวสิ่งใดขณะทั้งร่างหลอมละลายเพราะเปลวเพลิงและสลายหายไปในอากาศ
เพลิงแห่งชีวิตที่ทรงพลังของซิวคือศัตรูตัวฉกาจของวิญญาณร้ายอย่างแท้จริง !
“อวี้โม่ เจ้าสุดยอดไปเลย !”
เมิ่งเยี่ยพุ่งตัวเข้ามาใกล้ฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็วขณะมองไปยังทิศทางที่วิญญาณร้ายหายไปและถอนหายใจเบา ๆ
“บังเอิญว่าเพลิงของข้ามีผลยับยั้งต่ออีกฝ่ายก็เท่านั้น”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวตอบเพียงสั้น ๆ
เมื่อวิกฤตอันตรายของที่นี่ได้รับการสะสางและยินรุ่ยไม่คิดที่จะทำร้ายคนทั้งสอง ฉินอวี้โม่จึงเก็บเพลิงของซิวไว้ตามเดิมและสถานการณ์รอบตัวก็กลับคืนสู่ความปกติอีกครา
“หากพวกเจ้าทั้งสองมีเวลา เชิญไปที่จวนเจ้าเมืองกับข้าเถอะ ข้าจะเล่าความจริงให้ได้ทราบ”
ยินรุ่ยไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนกล่าวเชิญชวนจอมยุทธ์ทั้งสอง
ไม่ว่าฉินอวี้โม่จะมาจากที่ใดและมีจุดประสงค์อย่างไร ในเมื่อนางมาที่เมืองผีดิบแห่งนี้แล้ว นั่นก็หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกลิขิตไว้โดยโชคชะตา อีกทั้งนางยังได้กำจัดภัยร้ายของเมืองไปและเมืองแห่งนี้จะเงียบสงบมากขึ้นในอนาคตข้างหน้า
“ตกลง !”
ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยสบตากันเล็กน้อยก่อนตอบตกลง ทั้งสองสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเมืองผีดิบแห่งนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วและต้องการทราบความเป็นมาก่อนที่มันจะตกอยู่ในสภาพเช่นทุกวันนี้
“ทุกคน แยกย้ายกลับไปเถอะ”
หลังจากรอสองก้านธูป ยินรุ่ยก็กล่าวพร้อมกับโบกมือเบา ๆ จากนั้นวิญญาณทั้งหมดบนท้องถนนก็แยกย้ายกันกลับไปยังที่พักของตนโดยที่ยังคงไร้สติไม่รู้ตัวเช่นเดิม
“เราก็ไปที่จวนเจ้าเมืองกันเถอะ”
ร่างของยินรุ่ยพุ่งตรงออกไปและเหาะไปในทิศทางของจวนเจ้าเมืองโดยมีฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยตามไปอย่างใกล้ชิด
ภายในจวนเจ้าเมืองของเมืองอู๋เริ่น ยินรุ่ยรินน้ำชาให้กับแขกทั้งสองก่อนนั่งลงบนบัลลังก์หลัก
“คาดว่าพวกเจ้าทั้งสองคงจะมีข้อสงสัยมากมายสินะ…”
เขากล่าวขึ้นก่อนและไม่คิดที่จะปกปิดความจริงจากคนทั้งสอง
“เรามีข้อสงสัยอยู่ไม่น้อยเลยจริง ๆ เหตุใดสถานที่แห่งนี้จึงตกอยู่ในสภาพนี้ได้ ?”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยใคร่รู้มากที่สุด
“หากนับคำนวณเวลา พวกเราก็ติดอยู่ที่นี่มานานนับพันปีแล้ว”
ยินรุ่ยกล่าวพลางถอนหายใจราวกับกำลังนึกถึงบางอย่างอยู่ในหัว แววตาของเขาฉายประกายความโหยหา รวมถึงความเจ็บปวดที่ไม่อาจปิดบังและสีหน้ากลายเป็นซับซ้อนเกินเข้าใจ
“อันที่จริง เดิมทีเมืองนี้มิได้มีชื่อว่าเมืองอู๋เริ่น หากแต่เป็นเมืองต้องคำสาป”
เขาเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตและความเป็นมาอย่างช้า ๆ
‘เมืองต้องคำสาป’ เคยเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในดินแดนสาบสูญเมื่อนับพันปีก่อน
“เจ้าทั้งสองอาจจะไม่รู้จักดินแดนสาบสูญ ข้าบอกได้เพียงว่าดินแดนสาบสูญเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ยิ่งนักและผู้คนของที่นั่นก็ทรงพลังอย่างมาก แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังอยู่ในระดับเดียวกับพวกเจ้า”
เนื่องจากทราบว่าฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยไม่เคยได้ยินเรื่องของดินแดนสาบสูญมาก่อน เขาจึงกล่าวอธิบายอย่างใจเย็น
“หากเมืองแห่งนี้เคยตั้งอยู่ในดินแดนสาบสูญ…แล้วเหตุใดตอนนี้มันถึงมาอยู่ในสมรภูมิรบเดนตายได้ ?”
เมิ่งเยี่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย จากวาจาของยินรุ่ย ดินแดนสาบสูญน่าจะทรงพลังกว่าดินแดนมหาเทพ อย่างไรก็ตาม ตัวเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับดินแดนที่ทรงพลังกว่าดินแดนมหาเทพมาก่อน เพราะเหตุนั้น มันก็น่าจะเป็นดินแดนคู่ขนานของดินแดนมหาเทพ เพียงแต่เขาก็ไม่มั่นใจนักว่ามันอยู่ที่ใด
“เมื่อนับพันปีก่อน เมืองต้องคำสาปเจริญรุ่งเรืองอย่างมากและมีจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้ามากมายนับไม่ถ้วน ข้าก็เป็นเจ้าเมืองของเมืองแห่งนั้น ส่วนวิญญาณร้ายที่ถูกเจ้าฆ่าตายก่อนหน้านี้ก็เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองต้องคำสาป”
สีหน้าของยินรุ่ยแสดงความรู้สึกที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะกล่าวถึงเรื่องราวในอดีต
“สาเหตุที่มันถูกเรียกว่าเมืองต้องคำสาปก็เป็นเพราะในอดีตมีผู้แกร่งกล้าเคยทำนายไว้ว่าเมืองของเราจะถูกสาปและสักวันมันจะจมอยู่ในความมืดมิด ในตอนนั้นเราก็ไม่ได้เชื่อคำทำนายเหล่านั้นและได้เปลี่ยนชื่อกลายเป็นเมืองอู๋เริ่นในภายหลัง ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจหลบหนีไปจากคำสาปนั้นได้”
เมื่อนึกย้อนกลับไปในตอนนั้น ยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าผู้นั้นก็ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง สิ่งที่เขาเคยทำนายไว้ค่อย ๆ กลายเป็นจริงทีละอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสิ่งหนึ่งที่มีเพียงยินรุ่ยเท่านั้นที่ทราบมัน
ผู้แกร่งกล้ากล่าวไว้ว่าในภายหลังจะมีใครบางคนที่สามารถลบล้างคำสาปของเมืองแห่งนี้และช่วยให้ทุกคนไปผุดไปเกิดได้ โดยกล่าวว่าคนผู้นั้นมีพลังที่เหนือธรรมชาติและจะปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
มีเพียงยินรุ่ยเท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้และก็คอยเฝ้ารอมาตลอด ในตอนนี้เขาก็มีความรู้สึกอยู่อย่างเลือนรางว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้อาจจะเป็นผู้ที่ถูกลิขิตไว้ในคำทำนายของผู้แกร่งกล้าก็เป็นได้
“เหตุใดเมืองจึงถูกสาปรึ ?”
เมิ่งเยี่ยก็สงสัยถึงเหตุผลที่ทำให้เมืองอู๋เริ่นแห่งนี้ถูกสาป เขาจึงเอ่ยถามออกไปทันที
“เมื่อนับพันปีก่อน เกิดสงครามการต่อสู้ขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อนในดินแดนสาบสูญ ตระกูลทั้งเล็กใหญ่ในเมืองอู๋เริ่นก็ล้วนชื่นชอบสงครามการต่อสู้และความรุนแรง พวกเขาร่วมมือกันพิชิตเมืองโดยรอบทั้งหมดและสังหารผู้คนไปมากมายเกินกว่าจะนับได้ แม้แต่ผู้บริสุทธิ์ก็ไม่ได้รับการยกเว้น คาดว่าการเข่นฆ่าเหล่านั้นจะกลายเป็นบาปที่หนักหนาเกินไป…เมืองของเราจึงถูกสาปในที่สุด”
ยินรุ่ยไม่คิดปิดบังคนทั้งสองและกล่าวตามความเป็นจริง นี่คือสาเหตุที่เขาเตือนมิให้วิญญาณร้ายลงมือสังหารคนเพิ่มอีก หากมิใช่เพราะการสังหารผู้คนมากมายอย่างไม่ปรานีในอดีต เมืองอู๋เริ่นก็คงไม่เผชิญกับคำสาปและต้องทุกข์ทรมานมาจนถึงปัจจุบันนี้
“คำสาปของเมืองอู๋เริ่นคือวันหนึ่งทั้งเมืองจะจมอยู่ในความมืดมิด วิญญาณของผู้ที่ตายไปจะไม่สูญสลายไปจากที่นี่และไม่มีวันได้เข้าสู่วัฏจักรการเกิดใหม่ ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเมื่อนับพันปีก่อนได้ทำให้เมืองอู๋เริ่นเข้ามาอยู่ในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ ทุกชีวิตในเมืองก็กลายเป็นวิญญาณผีดิบและคำทำนายทุกอย่างก็กลายเป็นจริง วิญญาณทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ไม่สามารถก้าวเข้าสู่วัฏจักรการเกิดใหม่ได้และทำได้เพียงติดอยู่ในเมืองต้องคำสาปแห่งนี้ตลอดไป”
จนถึงปัจจุบันนี้ เวลาก็ผ่านมานับพันปีแล้วและเขาเองก็ต้องทนทุกข์ทรมานมานานนับพันปีเช่นกัน ‘คำสาป’ นั้นทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นอย่างแท้จริง