เมืองต้องคำสาปดำรงอยู่ในสมรภูมิรบเดนตายมานานกว่าพันปี
นับพันปีก่อน วิญญาณไร้ชีวิตของทั้งเมืองติดอยู่ในเมืองแห่งนี้และไม่อาจหลุดพ้นออกไปที่ใดหรือเกิดใหม่ได้ ในเวลากลางวัน วิญญาณส่วนใหญ่จะกลับคืนในสภาพมนุษย์ปกติทั่วไปซึ่งมีสติสัมปชัญญะเป็นของตนเอง ทว่าเมื่อตกกลางคืน วิญญาณเหล่านั้นจะสูญเสียสติการรับรู้ของตนเองไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังมีพลังบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ซึ่งเรียกให้พวกเขาไปรวมตัวกันที่ใกล้ประตูเมืองในทุก ๆ วัน
ในฐานะเจ้าเมืองของเมืองต้องคำสาป แม้แต่ยินรุ่ยเองก็ควบคุมสติสัมปชัญญะของตนเองได้หลังจากกลายเป็นวิญญาณมานานนับร้อยปีเท่านั้น
และสถานการณ์ของวิญญาณร้ายที่ฉินอวี้โม่สังหารก่อนหน้านี้ก็คล้ายคลึงกับยินรุ่ยเช่นกัน
หลังจากควบคุมสติรับรู้ในเวลากลางคืนได้สำเร็จ ยินรุ่ยก็จะปรากฏตัวใกล้กับประตูเมืองในทุกค่ำคืนเพื่อคอยคุ้มกันและดูแลเหล่าวิญญาณไร้ชีวิตของเมือง
อย่างไรก็ตาม วิญญาณร้ายมีความกระหายเลือดเป็นธรรมชาติ ผู้ใดก็ตามที่ย่างกรายเข้ามาในเมืองต้องคำสาปโดยบังเอิญล้วนตกเป็นเหยื่อของเขาในยามค่ำคืนและจิตวิญญาณของคนเหล่านั้นก็ไม่มีโอกาสหลุดพ้นไปจากเมืองต้องคำสาปแห่งนี้โดยที่ต้องตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับประชากรคนอื่น ๆ ของเมือง
ยินรุ่ยไม่ต้องการให้มนุษย์คนใดต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ทุกข์ทรมานเช่นนั้นอีก เพราะเหตุนั้น เขาจึงมักจะแวะเวียนไปทั่วทั้งเมืองอู๋เริ่นในช่วงกลางวันและคอยเตือนบรรดาจอมยุทธ์ที่ผ่านเข้ามาในเมืองนี้มิให้ออกไปนอกพี่พักในยามค่ำคืน
ถึงแม้พลังของวิญญาณร้ายจะแกร่งกล้ามาก ทว่ามันก็ยังมีขีดจำกัดอยู่เช่นกัน ในเวลากลางคืน ตราบใดที่บรรดาจอมยุทธ์ที่เข้ามาในเมืองเก็บตัวภายในที่พักของตนเองโดยที่ไม่ออกมา วิญญาณร้ายก็จะไม่สามารถคร่าชีวิตคนเหล่านั้นได้ตามต้องการ
อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่มักไม่เชื่อฟังคำเตือนของยินรุ่ยและอดที่จะออกมาหาคำตอบด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้
ด้วยการที่คนเหล่านั้นไม่มีความสามารถและพลังที่พิเศษเหมือนกับฉินอวี้โม่ พวกเขาจึงต้องตกกลายเป็นเหยื่อของวิญญาณร้ายและกลายเป็นวิญญาณเฝ้าเมืองไปเช่นกัน แม้ว่ายินรุ่ยจะต้องการหยุดการกระทำอันชั่วร้ายนั้น ทว่าความแข็งแกร่งของเขาก็ด้อยกว่าวิญญาณร้ายพอสมควรและไม่มีวิธีการที่จะหยุดอีกฝ่ายได้สำเร็จ
“ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากพวกเจ้าก็ยังมีจอมยุทธ์นับสิบคนที่เข้ามาในเมืองแห่งนี้และพวกเขาก็ล้วนตายไปทั้งหมด นอกเหนือจากนั้นก็แทบจะไม่มีผู้ใดที่ผ่านเข้ามาที่นี่ตลอดเวลานับพันปี”
หลังจากไตร่ตรองดู ยินรุ่ยก็กล่าวต่อ
สมรภูมิเดนตายแห่งนี้ทั้งมืดหม่นและลึกลับอย่างที่สุด หากมิใช่เพราะวิธีการพิเศษบางอย่าง คนทั่วไปก็คงจะไม่มีทางเหยียบย่ำเข้ามาในมิติลึกลับนี้ได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการเหยียบเข้ามาในเมืองอู๋เริ่น
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เข้ามาในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ได้เพราะการคัดเลือกของดินแดนมหาเทพและค้นพบเมืองผีดิบแห่งนี้โดยบังเอิญ
คาดการณ์ได้ว่าหลายคนที่ผ่านเข้ามาในเมืองก่อนหน้านี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายเช่นกัน เคราะห์ร้ายที่พวกเขาต้องตกกลายเป็นเหยื่อของวิญญาณร้ายตนนั้นไป
“เฮ้อ~ ไม่แปลกใจเลยที่กล่าวกันว่ายากที่จะเอาตัวรอดไปจากสมรภูมิรบเดนตายได้ เพียงบังเอิญก้าวเข้ามาในเมืองต้องคำสาปแห่งนี้ โอกาสรอดชีวิตก็แทบจะมีเพียงริบหรี่”
เมิ่งเยี่ยทอดถอนหายใจยาว หากมิใช่เพราะเพลิงที่ทรงพลังของฉินอวี้โม่ ตัวเขาเองก็คงถูกวิญญาณร้ายสังหารไปแล้วเช่นกัน
“ตอนนี้เราก็กำจัดวิญญาณร้ายนั่นไปแล้ว ต่อให้จอมยุทธ์คนอื่น ๆ เข้ามาและเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองอู๋เริ่นในตอนกลางคืน ชีวิตของพวกเขาก็คงจะไม่ตกอยู่ในอันตรายอีก”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากวาจาของยินรุ่ย ในเมื่อวิญญาณร้ายถูกกำจัดไปแล้ว เมืองอู๋เริ่นแห่งนี้ก็ไม่น่าจะเป็นภัยต่อผู้ใดอีกต่อไป
“ไม่ เมืองต้องคำสาปแห่งนี้ไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้นหรอก”
ยินรุ่ยส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา หากทุกอย่างเรียบง่ายไม่ซับซ้อนเช่นนั้น เขาก็คงพยายามฝึกฝนฝีมือและกำจัดวิญญาณร้ายด้วยตนเองไปนานแล้ว
“ตราบใดที่วิญญาณร้ายตนหนึ่งตายไป วิญญาณร้ายตนใหม่ก็จะถูกปลุกขึ้นมาแทนที่และทำในสิ่งเดียวกัน พวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และสนใจเพียงการเข่นฆ่าเท่านั้น หลังจากที่พวกเจ้าไปจากที่นี่ จอมยุทธ์ที่ผ่านเข้ามาในเมืองนี้ก็จะไม่มีโอกาสกลับออกไปเช่นเดิม”
ในเมืองต้องคำสาปแห่งนี้มีกฎที่พิเศษอยู่ นั่นก็คือเมื่อวิญญาณร้ายตนหนึ่งตายไปก็จะมีตนใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนและเดินหน้าสังหารมนุษย์ทุกคนที่ผ่านเข้ามาอย่างไม่จบไม่สิ้น
นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ยินรุ่ยไม่คิดสังหารวิญญาณร้ายด้วยตนเอง เพราะต่อให้จะสังหารได้สำเร็จ มันก็จะมีตนใหม่เข้ามาแทนที่ และหากวัฏจักรนี้ดำเนินต่อไป เขาคงไม่อาจตามสังหารวิญญาณร้ายได้ในทุกครั้ง
“จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งสอง ข้ามีเรื่องที่อยากจะขอร้องพวกเจ้า หากเป็นไปได้…โปรดช่วยพวกเราทำลายคำสาปของเมืองต้องคำสาปแห่งนี้ด้วยเถิด เพื่อที่เราทั้งหมดจะได้มีโอกาสไปผุดไปเกิดเสียที”
จู่ ๆ ยินรุ่ยก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“ข้าจะต้องทำอย่างไรจึงจะทำลายคำสาปนี้ได้ ?”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงทว่ายื่นมือออกไปประคองให้ยินรุ่ยลุกขึ้นยืน
ความเป็นความตายของจอมยุทธ์คนอื่น ๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับฉินอวี้โม่ อย่างไรก็ตาม นางยินดีช่วยยินรุ่ยและรู้สึกว่าชีวิตของประชากรเดิมของเมืองต้องคำสาปแห่งนี้น่าเห็นใจจนเกินไป การที่ทั้งคนชราและคนเยาว์วัยที่บริสุทธิ์มากมายต้องทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่มานานนับพันปีเป็นสิ่งที่โหดร้ายยิ่งนัก
ไม่ว่าประชากรของเมืองต้องคำสาปแห่งนี้จะสังหารเข่นฆ่าผู้คนไปมากมายเพียงใดในอดีต บทลงโทษที่แสนเจ็บปวดนานนับพันปีนี้ก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว…
“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน เมื่อพันปีก่อน ยอดฝีมือผู้แกร่งกล้ากล่าวไว้ว่าจะมีจอมยุทธ์จากโลกภายนอกเข้ามาในเมืองแห่งนี้และลบล้างคำสาปเพื่อปลดปล่อยเราทั้งหมดไปสู่อิสรภาพ แต่ข้าก็ไม่ทราบเลยว่าจะต้องทำอย่างไร”
ยินรุ่ยส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาอีกครา หากเขาทราบถึงวิธีถอนคำสาป เขาก็คงจะทำมันไปนานแล้ว
สำหรับฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ย เขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าทั้งสองใช่จอมยุทธ์ที่ยอดฝีมือผู้แกร่งกล้ากล่าวไว้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการกำจัดวิญญาณร้ายได้อย่างง่ายดายด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียวและการถือครองเปลวเพลิงบริสุทธิ์เช่นนั้นก็ทำให้เขาเชื่อมั่นพอสมควรว่าคนผู้นั้นที่อยู่ในคำทำนายจะต้องฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน
“ท่านต้องการให้อวี้โม่ใช้เพลิงทรงพลังเผาเมืองต้องคำสาปแห่งนี้จนราบเป็นหน้ากลองรึ ?”
เมิ่งเยี่ยกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ขณะเลียริมฝีปากและแววตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
“ถ้าทำเช่นนั้น ทุกอย่างก็จะดับสูญไป”
มารยาออกมาจากมิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่และมองเมิ่งเยี่ยด้วยแววตาเย็นชา
เปลวเพลิงของผู้เป็นนายทั้งร้อนระอุและทรงพลังที่สุดในใต้หล้า ด้วยพลังในการกลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า หากใช้เพลิงเช่นนั้นเผาเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้ วิญญาณทั้งหมดในเมืองแห่งนี้จะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านและไม่มีโอกาสได้เกิดใหม่อีก
แม้นั่นเป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถทำลายคำสาปของเมืองต้องคำสาปแห่งนี้ได้ มันก็มิใช่สิ่งที่ยินรุ่ยและฉินอวี้โม่ต้องการ
“ไม่…เพลิงของเจ้าทรงพลังจนเกินไปและวิญญาณอย่างพวกเราไม่มีทางต้านทานได้แน่ เมืองแห่งนี้มีผู้บริสุทธิ์อยู่มากเกินไป ข้าเพียงหวังว่าพวกเขาจะหลุดพ้นจากคำสาปและมีโอกาสได้เกิดใหม่อีกครั้ง ข้าไม่อยากให้พวกเขาต้องดับสลายไปตลอดกาล…”
ยินรุ่ยรีบกล่าวขึ้นทันทีด้วยกังวลว่าฉินอวี้โม่จะคิดเผาทั้งเมืองด้วยเพลิงทรงพลังนั่นจริง ๆ
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าไม่ทำเช่นนั้นแน่”
ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มบางเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางกังวลของยินรุ่ย
นางทราบดีว่าเมิ่งเยี่ยเพียงกล่าวติดตลกเท่านั้นและไม่ได้คิดจริงจัง
หากเมืองอู๋เริ่นเต็มไปด้วยวิญญาณร้าย นางก็ไม่ลังเลที่จะเผาพวกเขาให้ราบ ทว่าแท้จริงแล้วเมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้บริสุทธิ์และฉินอวี้โม่ไม่ต้องการทำร้ายพวกเขาไปมากกว่าที่เป็นอยู่
“หากไม่ขัดข้องก็เชิญเจ้าทั้งสองพักในเมืองของเราต่ออีกสักหน่อยเถิด หากมีจอมยุทธ์จากภายนอกผ่านเข้ามา ข้าก็จะคอยเตือนพวกเขาเช่นเดิม วิญญาณร้ายตนใหม่จะปรากฏตัวในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอนและมีเพียงเจ้าทั้งสองเท่านั้นที่จะจัดการได้”
ยินรุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในเมื่อเขาไม่ทราบวิธีทำลายคำสาปของเมืองนี้ การที่ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยพักอยู่ที่นี่ต่อไป ทั้งสามจะได้ช่วยกันหาคำตอบที่ต้องการ หากฉินอวี้โม่ใช่ผู้ที่ถูกลิขิตไว้ให้เป็นคนถอนคำสาปของเมืองแห่งนี้จริง เชื่อว่านางจะหาทางทำลายมันได้อย่างแน่นอน
“ข้าก็คิดไว้เช่นนั้น”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและตอบตกลงในทันที เมิ่งเยี่ยก็ไม่กล่าวสิ่งใดและเพียงพยักศีรษะเบา ๆ เท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็ตัดสินใจที่จะติดตามฉินอวี้โม่ไปด้วยทุกที่ หากนางอยู่ในเมืองอู๋เริ่นต่อไป เขาก็จะอยู่ที่นี่เช่นกัน
“เยี่ยมเลย ถ้าเช่นนั้นก็เชิญเจ้าทั้งสองไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ ข้าจะออกไปตรวจดูความเรียบร้อยรอบ ๆ เมือง”
จวนเจ้าเมืองอู๋เริ่นกว้างใหญ่พอสมควร ยินรุ่ยจึงปล่อยให้แขกทั้งสองเลือกห้องพักตามต้องการ ส่วนตัวเขาก็มุ่งหน้าออกไปเพื่อสำรวจรอบ ๆ เมือง
หลังจากที่ฉินอวี้โม่พบที่พักของตนเอง นางก็เริ่มหารือกับมารยาทันที “หากข้าเดาไม่ผิด มันจะต้องเกี่ยวข้องกับพลังที่ลึกลับนั่น”