ภายในห้องพัก ฉินอวี้โม่ก็หารือกับมารยาและกล่าวถึงข้อสันนิษฐานของตน
“นายหญิงหมายถึงพลังลึกลับที่เรียกวิญญาณทั้งหมดไปรวมตัวกันที่ประตูเมืองในตอนกลางคืนรึ ?”
มารยาคือหนึ่งในอสูรพันธสัญญาตนแรก ๆ ของฉินอวี้โม่และมีความคิดความเข้าใจที่ตรงกับฉินอวี้โม่อย่างเห็นได้ชัด
ทันทีที่ฉินอวี้โม่กล่าวเช่นนั้น มันก็เข้าใจความหมายของนางได้ทันที
พลังลึกลับบางอย่างดึงดูดวิญญาณไร้ชีวิตทั้งหมดไปรวมตัวกันที่ประตูเมืองอู๋เริ่นในทุกค่ำคืนและมันเป็นพลังที่ประหลาดพิลึกอย่างแท้จริง
“ใช่ อีกอย่าง…การที่เมืองผีดิบแห่งนี้มีทั้งกลางวันและกลางคืนซึ่งแตกต่างไปจากพื้นที่อื่น ๆ ของสมรภูมิรบเดนตาย มันก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวสิ่งที่ชวนประหลาดใจอีกอย่างหนึ่งของเมืองนี้
นอกเหนือจากเมืองอู๋เริ่น ทั่วทั้งสมรภูมิรบเดนตายก็ไม่มีเวลากลางคืนหรือแสงอาทิตย์ส่อง มีเพียงเมืองแห่งนี้เท่านั้นที่มีการหมุนเวียนของเวลากลางวันและกลางคืน อีกทั้งยังมีพลังบางอย่างที่เรียกวิญญาณเหล่านั้นซึ่งผิดปกติไม่ต่างกัน หากสามารถไขปริศนาทั้งสองประการนี้ได้ คาดว่าการทำลายคำสาปของเมืองก็อาจจะง่ายดายขึ้นมาก
“มันก็แปลกประหลาดอย่างที่ว่าจริง ๆ หากสังเกตดูสถานการณ์ต่อไปอีกสองสามวันและค้นพบความจริงของเรื่องนี้ได้ บางทีท่านก็อาจจะถอนคำสาปของเมืองแห่งนี้ได้สำเร็จ”
มารยาก็เห็นด้วยกับข้อคาดเดาของฉินอวี้โม่ ทว่าถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ เมิ่งเยี่ยและมารยาก็เพิ่งใช้เวลาอยู่ในเมืองนี้ได้เพียงคืนเดียวเท่านั้น จึงต้องสังเกตดูสถานการณ์ต่อไปเพื่อยืนยันสิ่งต่าง ๆ ให้ชัดเจนมากขึ้น
หลังจากพักผ่อนในคืนนั้น เมิ่งเยี่ยก็มาพบกับฉินอวี้โม่ตั้งแต่เช้าตรู่
“จิ๊จิ๊ ในเมืองผีดิบนี่ ข้ารู้สึกว่าข้านอนหลับไม่สนิทเท่าไหร่นัก”
เพียงนึกถึงความเป็นจริงที่เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยวิญญาณไร้ชีวิตมากมาย บรรยากาศก็ชวนให้ขนลุกขึ้นมา แม้เมิ่งเยี่ยจะเป็นคนองอาจกล้าหาญ เขาก็ยังข่มตาหลับแทบไม่ลง
“เจ้ากลัวเกินไปแล้ว”
ฉินอวี้โม่แสดงสีหน้าเยาะเย้ยเล็กน้อย นางไม่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองนี้จะเป็นเรื่องใหญ่จนเกินไป สำหรับนางแล้ว วิญญาณไร้ชีวิตเหล่านั้นไม่น่ากลัวเลยสักนิด อย่างน้อยพวกเขาก็ยังดีกว่าบรรดาจอมยุทธ์ชั่วร้ายของดินแดนอย่างแน่นอน
“เฮ้ ข้าเพียงกล่าวติดตลกไปเท่านั้น ความจริงแล้วข้าหลับปุ๋ยเลยล่ะ !”
เมิ่งเยี่ยกล่าวแก้ตัวและยิ้มกว้าง
ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระกันพักใหญ่ก่อนยินรุ่ยจะเดินเข้ามา
“เมื่อคืนหลับสบายกันรึไม่ ?”
เขาคลี่ยิ้มทักทายและในเวลานี้เขาก็ดูเหมือนกับคนปกติทั่วไป หากไม่ทราบความจริงมาก่อน แม้แต่ฉินอวี้โม่ก็คงคาดเดาไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นวิญญาณที่ตายไปนานแล้ว
“หลับสบายดีเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวตอบ “เจ้าเมืองยิน เหตุใดวิญญาณทั้งเมืองจึงต้องไปรวมตัวกันที่ประตูเมืองในตอนกลางคืนด้วยเล่า ?”
เหตุการณ์ประหลาดนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับคำสาปของเมืองแห่งนี้ ฉินอวี้โม่จึงต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับมันให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
“เรื่องนี้…”
ยินรุ่ยชะงักไปเล็กน้อย เขาเองก็ไม่ทราบสาเหตุของเรื่องนี้เช่นกัน นับตั้งแต่ผู้คนในเมืองนี้ตายไป พวกเขาก็กลายเป็นวิญญาณเฝ้าเมือง และในยามค่ำคืน พวกเขาก็มักจะไปรวมตัวกันที่ประตูเมืองและอยู่ที่นั่นพักใหญ่ก่อนแยกย้ายกันกลับไปยังบ้านเรือนของตน
“ดูเหมือนว่าเจ้าเมืองยินจะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ถ้าเช่นนั้นข้าจะถามคำถามที่สอง..เจ้าเมืองยินทราบรึไม่ว่านอกจากเมืองอู๋เริ่น พื้นที่อื่น ๆ ในสมรภูมิรบเดนตายไม่มีเวลากลางวันกลางคืน ?”
วิญญาณที่ตายไปในเมืองอู๋เริ่นออกจากเมืองนี้ไม่ได้และอาจไม่เข้าใจสถานการณ์ของดินแดนภายนอกด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ประหลาดและชวนสงสัยยิ่งนัก เหตุใดเมืองต้องคำสาปแห่งนี้จึงมีเวลากลางคืนซึ่งแตกต่างไปจากพื้นที่อื่น ๆ ของสมรภูมิรบเดนตาย ?
“ข้าพอจะทราบเรื่องภายนอกอยู่บ้าง แม้ไม่เคยออกไปจากเมืองนี้ ข้าก็พอจะทราบสถานการณ์ในดินแดนข้างนอกนั่น ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ทั้งสมรภูมิรบเดนตายไม่มีเวลากลางคืน มีเพียงเมืองอู๋เริ่นเท่านั้นที่มีทั้งกลางวันและกลางคืนตามปกติ ยิ่งไปกว่านั้น ทั่วทั้งสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ก็ไม่มีแสงอาทิตย์ แม้เมืองของเราจะมีเวลากลางวันกลางคืน แต่มันก็ไม่มีแสงแดดและแสงจันทร์เช่นกัน”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ยินรุ่ยก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดเช่นกัน เมืองอู๋เริ่นของพวกเขามีการหมุนเวียนของเวลากลางวันและกลางคืนอย่างที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม หลังจากอยู่ที่นี่มานาน เขาก็ได้รับรู้ถึงความแตกต่างของพื้นที่ข้างนอกเมือง
แม้มีทั้งเวลากลางวันและกลางคืน ทว่าเมืองอู๋เริ่นก็ไม่มีแสงแดดและแสงจันทร์ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้อาจจะไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่ด้วยซ้ำ
“พวกเจ้าทั้งสองคิดว่าจะหาทางทำลายคำสาปของเมืองเราได้จากความผิดปกติเหล่านี้หรือ ?”
ยินรุ่ยเป็นคนที่ชาญฉลาดพอสมควร ในเมื่อฉินอวี้โม่ถามคำถามเช่นนั้น เขาก็พอจะคาดเดาได้
“เจ้าค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพลังลึกลับที่เรียกวิญญาณทั้งหมดในเมืองไปรวมตัวกันที่ประตูเมือง ข้าคิดว่าสิ่งนั้นน่าจะเป็นกุญแจสำคัญ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างไม่ลังเล
“คืนนี้ข้าจะออกไปสำรวจดูกับท่านอีกครั้ง บางทีเราอาจจะพบเบาะแสบางอย่างที่เป็นประโยชน์”
นางตัดสินใจในทันทีและวางแผนที่จะไปที่ประตูเมืองในคืนนี้เพื่อสังเกตการณ์ว่าพลังที่เรียกหาวิญญาณทั่วทั้งเมืองคือสิ่งใดกันแน่
“ตกลง”
แน่นอนว่ายินรุ่ยพยักศีรษะอย่างกระตือรือร้น ความหวังในหัวใจของเขาเพิ่มมากขึ้นและเขาเริ่มมั่นใจว่าฉินอวี้โม่อาจจะทำลายคำสาปของเมืองแห่งนี้ได้สำเร็จจริง ๆ
“จะว่าไปแล้ว…ในเมื่อทุกคนในเมืองนี้ออกไปไหนไม่ได้ แล้วอาหารที่เรากินในภัตตาคารเมื่อวานล่ะ ?”
เมิ่งเยี่ยนึกถึงเรื่องประหลาดอีกอย่างหนึ่งและอดเอ่ยถามไม่ได้
เหล่าผีดิบในเมืองอู๋เริ่นออกไปนอกเมืองไม่ได้ ทว่าพวกเขากลับมีอาหารมื้อโอชะในภัตตาคาร เนื้อเหล่านั้นล้วนเป็นเนื้อของอสูรมายาที่สดใหม่ ในเมื่อออกจากเมืองไม่ได้ แล้วพวกเขาออกล่าอสูรมายาเหล่านั้นได้อย่างไร ?
“เจ้าหมายถึงเนื้ออสูรมายาพวกนั้นรึ ?”
เมื่อยินรุ่ยได้ยินคำถามของเมิ่งเยี่ย ประกายบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเขาทว่าเขาก็ไม่ทันได้จับใจความของมัน
“ปกติแล้วจะมีอสูรมายาบางตัวหลุดเข้ามาในเมืองอู๋เริ่นของเรา และหลังจากถูกล่า พวกมันจะถูกส่งไปที่ภัตตาคาร”
เขากล่าวอธิบายและเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ไปชั่วคราว
“โอ้…”
เมิ่งเยี่ยเพียงพยักศีรษะตอบรับเบา ๆ ทว่าในหัวใจของเขากลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติทว่ายังคิดไม่ออกในตอนนี้
“หืม ? มีคนเข้ามาในเมือง…”
ยินรุ่ยกำลังจะกล่าวบางอย่าง ทว่าจู่ ๆ เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมนุษย์ ดูเหมือนว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้
“ออกไปดูกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยมองหน้ากันเล็กน้อยและตัดสินใจในทันที พวกนางก็ต้องการเห็นด้วยตาตัวเองว่าผู้มาใหม่คือผู้ใด
ทั้งสามออกจากจวนเจ้าเมืองไปด้วยกันและมุ่งหน้าไปยังทิศทางของประตูเมืองอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ออกมาบนถนน ทุกคนก็มองเห็นคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกล
ผู้ที่เข้ามาใหม่คือกลุ่มจอมยุทธ์ห้าคนซึ่งเป็นกลุ่มของสามบุรุษสองสตรี พวกเขาดูมีฝีมือมากพอสมควรและอย่างน้อยก็น่าจะอยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นกลาง สตรีสองนางดูมีอายุประมาณยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปีซึ่งมีรูปลักษณ์โดดเด่นและดูมีสง่าราศี คาดการณ์ได้ว่าพวกนางน่าจะมาจากตระกูลใหญ่สักแห่ง
“พวกนางมาที่นี่ได้อย่างไร…”
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของคนเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน สีหน้าของเมิ่งเยี่ยก็เหยเกทันทีและรอยยิ้มบนใบหน้าหายไปอย่างรวดเร็ว
“เมิ่งเยี่ย เป็นเจ้านั่นเอง !”
คนเหล่านั้นจดจำเมิ่งเยี่ยได้ในทันทีและบุรุษหนึ่งในสามคนก็กล่าวขึ้นมาพร้อมกับจิตสังหารที่ฉายวาบในแววตาครู่หนึ่ง
“พี่เมิ่ง ที่แท้ท่านก็อยู่ที่นี่นี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่เราไม่พบร่องรอยของท่านก่อนหน้านี้”
สตรีนางหนึ่งกล่าวด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานและแววตามีความสุขขณะเดินตรงเข้ามาหาเมิ่งเยี่ย
“พวกเจ้าตามหาข้าไปเพื่ออะไรกัน ?”
เมิ่งเยี่ยก้าวถอยหลังเพื่อออกห่างจากสตรีนางนั้นทันทีและกล่าวตอบอย่างเย็นชา
“พี่เมิ่ง เราทั้งหมดต่างก็มาจากเมืองเทียนยงเหมือน ๆ กัน เราต้องคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นธรรมดา นอกเหนือจากท่าน จอมยุทธ์จากเมืองเทียนยงคนอื่น ๆ ที่เข้ามาในรอบสุดท้ายก็รวมตัวกันแล้ว หลังจากนี้ท่านไปกับเราเถอะนะ”
สตรีนางนั้นรับรู้ได้ถึงความเย็นชาไม่แยแสจากเมิ่งเยี่ย ทว่านางดูจะคุ้นชินกับมันแล้วและสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ทว่าเมื่อสายตาของนางหยุดลงที่ฉินอวี้โม่ จู่ ๆ ใบหน้างามที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มก็กลับกลายเป็นบึ้งตึงและเย็นชาทันที