เมืองเทียนยง—เมืองหลักระดับหนึ่งของดินแดนมหาเทพที่เต็มไปด้วยขุมกำลังมากมายและผู้คนหลากหลายประเภทที่ปะปนรวมกัน
นอกเหนือจากตระกูลเมิ่ง ในเมืองเทียนยงก็ยังมีตระกูลใหญ่อีกสองตระกูลซึ่งก็คือตระกูลจางและตระกูลเย่
ผู้ที่เรียกเมิ่งเยี่ยว่า ‘พี่เมิ่ง’ เมื่อครู่นี้ก็คือจางซือฉีซึ่งเป็นคุณหนูสามของตระกูลจางและเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของตระกูล
ผู้ที่อยู่ถัดจากนางคือคุณหนูสองของตระกูลจางและเป็นพี่สาวต่างมารดาของจางซือฉีซึ่งมีนามว่าจางซือถง
เมิ่งเยี่ยเองก็เป็นนายน้อยของตระกูลเมิ่งซึ่งมีพร้อมทั้งพรสวรรค์ ความแข็งแกร่งและรูปลักษณ์หล่อเหลา เพราะเหตุนั้นเขาจึงเป็นที่นิยมชมชอบในเมืองเทียนยงอย่างมาก จางซือฉีเองก็ชื่นชอบเมิ่งเยี่ยเช่นกันและมักแสดงท่าทางให้คนอื่น ๆ ได้เข้าใจไปว่านางมีความสัมพันธ์อันดีกับเขา
เดิมทีจางซือฉีนั้นตื่นเต้นกับการได้พบเมิ่งเยี่ย ทว่าเมื่อนางสังเกตเห็นฉินอวี้โม่ที่อยู่ด้านข้างและดูจะสนิทสนมกับเขาอย่างมาก แววตาของนางก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นเย็นชาทันที
“จอมยุทธ์ผู้นี้ไม่ได้มาจากเมืองเทียนยงใช่รึไม่ ?”
จางซือฉีมักที่จะหยิ่งทะนงและมั่นใจว่าตนยอดเยี่ยมที่สุดในเมืองเทียนยง ทว่าเพียงเห็นฉินอวี้โม่แวบแรก ความริษยาและหึงหวงก็ก่อตัวขึ้นในใจทันที อย่างไรก็ตาม นางปิดบังความรู้สึกเหล่านั้นไว้และปรับสีหน้ากลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนคลี่ยิ้มและเอ่ยถาม
“จางซือฉี ไม่ว่าอวี้โม่จะมาจากเมืองใด มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า”
ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะตอบสิ่งใด เมิ่งเยี่ยก็โต้กลับไปอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงแสดงความรังเกียจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบหน้าคนเหล่านี้แม้แต่น้อย
“เมิ่งเยี่ย การที่นางมาจากเมืองใดไม่เกี่ยวกับเราก็จริง อย่างไรก็ตาม ในฐานะหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนยง หากเจ้าใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ที่ไม่คู่ควรจะเทียบเคียงด้วย สถานะของเจ้าก็จะตกต่ำลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง อีกอย่าง…น้องสามเพียงเอ่ยถามอย่างเป็นมิตรเท่านั้น เหตุใดเจ้าจึงกล่าววาจาไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ?”
จางซือถงก็รับรู้ได้ถึงความรังเกียจในน้ำเสียงของเมิ่งเยี่ยและก้าวออกไปยืนตรงหน้าจางซือฉีเพื่อปกป้องนาง
“พี่เมิ่ง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงรู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ช่างงดงามยิ่งนัก ทว่าข้ากลับไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนางมาก่อน ข้าแค่สงสัยก็เท่านั้น”
จางซือฉีกล่าวอธิบายอย่างรวดเร็วและความเยือกเย็นในแววตาหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉินอวี้โม่ซึ่งมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ได้แล้ว
เกรงว่าจางซือฉีผู้นี้คงจะชื่นชอบเมิ่งเยี่ยเป็นอย่างมากและตอนนี้ก็คงจะมองนางเป็นศัตรูหัวใจ
ดูเหมือนว่าเมิ่งเยี่ยจะไม่ชอบหน้าคนเหล่านี้และโดยเฉพาะกับจางซือฉี เขาไม่คิดไว้หน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย หลังจากเดินทางร่วมกันมาหลายวัน ฉินอวี้โม่ก็มองเมิ่งเยี่ยเป็นมิตรสหายที่ดีคนหนึ่งและยินดีช่วยเหลือเมื่อเขาเผชิญกับเรื่องลำบากใจ
“เมิ่งเยี่ย ในเมื่อนางอยากทราบนักก็บอกไปเถอะ ข้าเป็นจอมยุทธ์จากตระกูลเล็ก ๆ ในเมืองเทียนหยวนและเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายนี้ได้เพราะโชคช่วยเพียงเท่านั้น ในสายตาของพวกเจ้า ข้าอาจต่ำต้อยเกินไป ทว่าการที่เมิ่งเยี่ยยินดีผูกมิตรและร่วมเดินทางกับข้า แค่นั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ทว่านั่นทำให้จางซือฉีกัดฟันกรอด
ถึงแม้ว่านางจะมาจากหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนยง เมิ่งเยี่ยก็แสดงความรังเกียจและไม่ต้องการสุงสิงกับนางอย่างชัดเจนมาตลอด แม้จางซือฉีมั่นใจว่าตนโดดเด่นที่สุดในตระกูลจาง นางก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของเมิ่งเยี่ยเลยสักนิด นี่เป็นสิ่งที่คุณหนูสามของตระกูลจางชิงชังเป็นที่สุด ทว่านางก็รู้สึกจนปัญหาและไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้เลย
บิดาของนางเคยเตือนไว้ว่าความแข็งแกร่งของตระกูลเมิ่งนั้นสูงกว่าตระกูลจางมากนัก เขาจึงคาดหวังให้นางเอาชนะใจเมิ่งเยี่ยและแต่งงานกับเขาให้ได้ ซึ่งมันจะช่วยส่งเสริมให้อิทธิพลของตระกูลจางเพิ่มสูงขึ้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จางซือฉีก็จงใจแสดงตนว่าสนิทสนมใกล้ชิดกับเมิ่งเยี่ยเพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและเพื่อที่สตรีอื่นจะได้ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวหมายปองนายน้อยของตระกูลเมิ่งผู้นี้ แม้ว่าแท้ที่จริงแล้วตัวนางก็ไม่ได้ชื่นชอบเมิ่งเยี่ยเท่าไรนัก ทว่านางก็ไม่ปล่อยให้เขาได้ใกล้ชิดกับสตรีอื่นนอกจากตนเช่นกัน
“เฮอะ ก็แค่ตระกูลเล็ก ๆ ในเมืองเทียนหยวน กล้าดีอย่างไรถึงคิดจะมาเทียบชั้นกับพวกเรา ? เมิ่งเยี่ย…เจ้ามิใช่คนโง่เขลา ที่เจ้าดูสนิทสนมกับสตรีผู้นี้ เกรงว่าจะเป็นเพราะหลงใหลในความงามของนางสินะ”
บุรุษหนึ่งในสามคนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาเป็นศิษย์จากตระกูลหนึ่งในเมืองเทียนยงและมักติดตามผูกมิตรกับพี่น้องตระกูลจางอยู่เสมอ เขาริษยาในความสามารถและรูปลักษณ์หล่อเหลาของเมิ่งเยี่ยเป็นทุนเดิม ดั้งนั้นเมื่อสบโอกาสเขาจึงอดกล่าววาจาถากถางเมิ่งเยี่ยไม่ได้
ต้องยอมรับเลยว่ารูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่งดงามกว่าคุณหนูตระกูลจางทั้งสองมากนัก อย่างไรก็ตาม ความงามอย่างเดียวไม่เพียงพอ มีเพียงผู้แกร่งกล้ามากความสามารถเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพ สองพี่น้องตระกูลจางตรงหน้ามีทั้งความงามและพรสวรรค์ อีกทั้งยังมีต้นกำเนิดมาจากตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนยง กล่าวได้ว่าอนาคตของทั้งสองกว้างไกลไร้ขีดจำกัด หากเปรียบเทียบกัน ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งมาจากตระกูลเล็ก ๆ ในเมืองเทียนหยวนไม่มีค่าพอให้ชายตามองด้วยซ้ำ
“หุบปาก มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า อย่าว่าแต่คนจากเมืองเทียนหยวนเลย ต่อให้เป็นจอมยุทธ์จากสถานที่ทุรกันดาร ตราบใดที่ข้ารู้สึกถูกชะตาด้วย ข้าก็ยินดีผูกมิตรกับคนเหล่านั้น”
เมิ่งเยี่ยแสดงท่าทางไม่สบอารมณ์ขณะกวาดสายตามองจางซือฉีและคนอื่น ๆ ก่อนกล่าวต่อ “จางซือฉี เหตุใดเจ้าจึงหน้าด้านหน้าทนยิ่งนัก ? ข้าเคยบอกแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่าพี่เมิ่งอีก ข้าไม่ได้สนิทสนมกับเจ้าและเจ้าไม่มีสิทธิ์มาตีซี้เรียกข้าเช่นนั้น เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ ?”
ความรังเกียจในน้ำเสียงของเขาชัดเจนอย่างไม่ปิดบัง หากมิใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นสตรี เขาก็คงจะประเคนหมัดใส่อีกฝ่ายเพื่อระบายความไม่พอใจไปแล้ว
“พี่เมิ่ง…”
จางซือฉีถึงกับอ้ำอึ้งและพูดไม่ออกเมื่อได้ยินวาจาของเมิ่งเยี่ยขณะมองตอบด้วยแววตาน้อยอกน้อยใจ
“เมิ่งเยี่ย เจ้านี่มันน่ารังเกียจยิ่งนัก คุณหนูสองเพียงแค่ชื่นชอบเจ้าก็เท่านั้น เหตุใดเจ้าจึงต้องปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ ?”
บุรุษอีกคนในกลุ่มก้าวออกมาข้างหน้าและจ้องหน้าเมิ่งเยี่ยตาเขม็งขณะกล่าววาจาปกป้องจางซือฉี
“กัวชง หากเจ้าชื่นชอบจางซือฉีอยู่ก็ดูแลนางให้ดีเถอะ อย่าให้นางมายุ่งเกี่ยวกับข้าอีก มันน่ารำคาญชะมัด จางซือฉี…ไม่ต้องมาเสแสร้งอยู่ที่นี่หรอก ข้ารู้ว่าธาตุแท้ของเจ้าเป็นอย่างไร ไม่ว่าเจ้าจะพยายามแสดงละครตบตาเพียงใด ข้าก็ไม่มีทางหลงเชื่อและไม่มีทางที่จะอยากใกล้ชิดกับเจ้า”
เมิ่งเยี่ยกล่าวตอบโต้อย่างตรงไปตรงมา เขาเป็นคนอารมณ์ดุดันเลือดร้อนเป็นทุนเดิม หากต้องการกล่าวสิ่งใด เขาก็จะกล่าวออกไปโดยไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น
เขาไม่ชอบหน้าคนจากตระกูลจางแม้แต่น้อย ทว่าเมื่ออยู่ในเมืองเทียนยง เขาก็ต้องยับยั้งชั่งใจตนเองและเห็นแก่ตระกูลจึงไม่สามารถฉีกหน้าอีกฝ่ายได้โดยตรง ทว่าเมื่ออยู่ในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าผู้ใดอีกต่อไปและกล่าวความคิดของตนออกไปอย่างชัดเจน
“พี่เมิ่ง อะไรกันที่ทำให้ท่านเข้าใจข้าผิดไปเช่นนี้ ?”
วาจาของเมิ่งเยี่ยทำให้ใบหน้าของจางซือฉีแดงก่ำและโทสะคุกรุ่นในหัวใจขณะกำชายเสื้อของตนโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม นางยังมีความเจ้าเล่ห์เสแสร้งเป็นทุนเดิม ใบหน้าของนางจึงไม่เผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่แท้จริงในใจและเพียงแสดงสีหน้าเศร้าโศกน้อยใจเท่านั้น
“เมิ่งเยี่ย พอกันที ! น้องสามของข้าชื่นชอบและมีแต่ความหวังดีให้กับเจ้า เหตุใดจึงกล่าววาจาหยาบคายเช่นนี้ เพื่อสตรีต่ำต้อยจากตระกูลเล็ก ๆ คนหนึ่ง เจ้ากล้าหักหน้าตระกูลจางของเราเลยงั้นรึ ?”
จางซือถงตะโกนเสียงดังและจ้องหน้าฉินอวี้โม่อย่างโกรธแค้น ดูเหมือนว่านางจะต้องการถือโทษกับฉินอวี้โม่สำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้
“เหอะ ด้วยความเคารพ…ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเข้ามาเพื่อให้ถูกดูหมิ่นเสียเอง พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มากล่าวโทษว่าเป็นความผิดของเมิ่งเยี่ย”
ฉินอวี้โม่กล่าวเย้ยหยันออกมาและไม่สนใจวาจาของจางฉือถงแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องแสดงมาละครว่าโศกเศร้าเสียใจไปหน่อยเลย ไม่มีใครหลงกลเจ้าหรอก ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรก็หลีกทางไปเสีย เรายังมีธุระอื่น ๆ ที่ต้องจัดการ ไม่มีเวลามาดูละครตบตาของพวกเจ้าหรอก”
นางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ฉินอวี้โม่ไม่สนใจคนเหล่านี้เลยสักนิด แทนที่จะเสียเวลากับกลุ่มคนตรงหน้า นางใช้เวลานี้เพื่อไขปริศนาความลับของเมืองอู๋เริ่นจะดีกว่า