ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยเพิกเฉยต่อจางซือฉีและคนอื่น ๆ ขณะเดินไปยังประตูเมืองเพื่อจัดการธุระของตน
ยินรุ่ยก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิดและไม่คิดที่จะสนใจการแสดงละครของจางซือฉีเช่นกัน
“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ !”
จางซือถงไม่คิดที่จะปล่อยคนทั้งสามไปง่าย ๆ จึงเดินออกไปขวางหน้าและตะโกนกร้าวทันที
“เจ้าเป็นแค่คนต่ำต้อยจากเมืองรองเท่านั้น เหตุใดจึงริอาจวางท่าโอหังเช่นนี้ ? วันนี้เจ้าจะต้องขอโทษพวกข้าซะ มิฉะนั้น…เจ้าอย่าหวังว่าจะไปจากที่นี่ได้ !”
นางจ้องหน้าฉินอวี้โม่ตาเขม็งและชักกระบี่ยาวของตนออกมาก่อนกล่าววาจาข่มขู่
“ถูกต้อง พวกเราไม่ได้ทำอะไรเจ้า ทว่าเจ้ากลับกล่าววาจาดูหมิ่นเราเช่นนี้ซึ่งถือเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจยิ่งนัก เจ้าต้องขอโทษคุณหนูสามเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นพวกเจ้าไม่มีทางรอดไปได้แน่ !”
บุรุษหนุ่มสามคนก็ก้าวออกมาขวางหน้ากลุ่มของฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยแววตามุ่งร้าย
พวกเขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งของเมิ่งเยี่ยเป็นอย่างดี แม้จะเหนือชั้นกว่าตน ทว่าเมิ่งเยี่ยก็ไม่มีทางเอาชนะการร่วมมือกันของพวกเขาได้แน่ สำหรับฉินอวี้โม่และยินรุ่ย ทั้งสามไม่สนใจพวกนางแม้แต่น้อย คนต่ำต้อยจากเมืองรองจะมีฝีมือสักเพียงใดกัน…
“ไสหัวไปให้พ้น !”
สีหน้าของเมิ่งเยี่ยกลายเป็นเย็นชาทันทีและความโกรธแค้นบนใบหน้าก็เริ่มเผยออกมาอย่างชัดเจน
“พี่รอง ช่างมันเถอะเจ้าค่ะ นางพูดถูกแล้ว เราเป็นฝ่ายที่เข้าไปหาเรื่องนางก่อนและสมควรที่จะถูกดูหมิ่นแล้ว พี่เมิ่งอยากจะผูกมิตรเป็นสหายกับผู้ใดก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของเขาและเราไม่สามารถบีบบังคับอะไรเขาได้ ข้ายอมรับว่าทำผิดไปจริง ๆ แม้ว่าจะรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่สำคัญหรอก”
จางซือฉีจับมือจางซือถงพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางที่อ่อนโยน อีกทั้งในประโยคสุดท้ายที่กล่าวว่ายอมรับความผิดนั้น หยดน้ำตาใสก็ไหลออกจากดวงตาคู่นั้นจนดูน่าเห็นใจยิ่งนัก
“ไม่…เราจะยอมไม่ได้ ตระกูลจางของเราเป็นถึงหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนยง มิใช่ตระกูลที่จะยอมให้ผู้ใดหยามหน้าได้ง่าย ๆ อีกอย่าง…น้องสามไม่ได้ทำอะไรผิด เจ้าเพียงสนใจและเป็นห่วงชื่อเสียงของเมิ่งเยี่ยเท่านั้น เขาต่างหากที่ไม่เห็นคุณค่าในมิตรไมตรีของเจ้า”
จางซือถงเขย่ามือของน้องสาวเบา ๆ ทว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่หนักแน่น
“พี่เมิ่ง ท่านรีบไปเถอะเจ้าค่ะ อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย ข้าจะหยุดพี่รองและคนเหล่านี้ไว้เอง”
จางซือฉีหันไปมองเมิ่งเยี่ยและรีบกล่าวให้เขาพาฉินอวี้โม่ออกไปเสียก่อนราวกับว่ากำลังช่วยเหลือเขา
“เหอะ สตรีดอกบัวขาวชัด ๆ !”
* 白莲花 (ดอกบัวขาว) เป็นคำสแลงที่เกิดขึ้นใหม่ ใช้ในหมู่วัยรุ่นจีน ใช้ล้อเลียนหรือเปรียบเปรยผู้หญิงที่ทำตัวภายนอกดูซื่อใสบริสุทธิ์เหมือนดอกบัว แต่ที่จริงมีพฤติกรรมมัวหมอง คิดฟุ้งแต่เรื่องไม่ดีไม่งาม หรือผู้หญิงแอ๊บแบ๊วที่ในใจไม่แบ๊ว พูดสั้น ๆ คือแอบแรดหรือแรดเงียบ
มารยาซึ่งอยู่ภายในมิติเชื่อมอสูรแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์นัก
จางซือฉีผู้นี้น่ารังเกียจอย่างแท้จริง นางเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ ทว่าตอนนี้กลับแสดงท่าทางราวกับตนเป็นฝ่ายถูกกระทำ ราวกับว่าฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยจงใจหาเรื่องให้นางเจ็บปวดใจ
หากผู้อื่นไม่ทราบที่มาที่ไปของเรื่องนี้และเห็นน้ำตาหยดน้อย ๆ ที่ซึมมาจากดวงตาของจางซือฉี เกรงว่าคนเหล่านั้นก็คงจะเลือกเข้าข้างนางอย่างไม่ลังเลและกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องเสแสร้งตีหน้าเศร้าหรอก นั่นทำให้ข้าแทบอยากอาเจียนออกมา !”
สำหรับสตรีดอกบัวขาวที่ทำตัวใสซื่อเช่นนี้ ฉินอวี้โม่เคยพานพบมาไม่น้อย ต้องกล่าวเลยว่าคุณหนูสามตระกูลจางไม่ธรรมดาเลยทีเดียวที่สามารถทำให้ทั้งจางซือถงและบุรุษหนุ่มจอมยุทธ์ทั้งสามคนออกหน้าปกป้องนางอย่างไม่ลังเลเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ฝีมือ ‘การแสดง’ ของนางก็ถือว่ายอดเยี่ยมมาก หากมิใช่เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงและทราบความจริงเบื้องหลัง เกรงว่าฉินอวี้โม่ก็อาจคล้อยตามและหลงเชื่อวาจาของนางไปแล้ว
“ถ้าอยากจะต่อสู้นักก็อย่าเสียเวลาพูดพล่ามไร้สาระอีกเลย พวกเจ้าพร่ำบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าข้าที่มาจากเมืองรองนั้นมีสถานะที่ต่ำต้อยไม่สมเกียรติพวกเจ้า พวกเจ้าคิดว่าผู้คนจากเมืองหลักเหนือชั้นกว่าผู้คนจากที่อื่น ๆ มากนักหรือ ? เดิมทีข้าก็ไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงเพราะเจ้าไม่คู่ควรมากพอ ทว่าในเมื่อยังไม่ยอมล้มเลิกความคิดและพยายามแสดงละครตบตาอีกเช่นนี้ ข้าจะแสดงให้ได้เห็นว่าพรสวรรค์ของคนจากเมืองรองนั้นเป็นอย่างไร !”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ร่างของฉินอวี้โม่ก็พุ่งตรงเข้าไปโจมตีบุรุษคนที่อยู่ใกล้กับตนมากที่สุด
เมิ่งเยี่ยเองก็เตรียมความพร้อมเช่นกัน และทันทีที่ฉินอวี้โม่เริ่มลงมือ เขาก็พุ่งตัวเข้าโจมตีบุรุษคนหนึ่งเช่นกัน
ยินรุ่ยเพียงถอยออกไปด้านข้างและไม่คิดที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ของจอมยุทธ์หนุ่มสาวเหล่านี้
“เหอะ อยากเห็นนักว่าสตรีต่ำต้อยจากเมืองรองจะมีฝีมือสักเพียงใด !”
บุรุษหนุ่มหนึ่งในสามคนแค่นเสียงและมองฉินอวี้โม่ที่เริ่มโจมตีก่อนด้วยแววตาเย้ยหยัน จากนั้นเขาก็เหวี่ยงกำปั้นวายุที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายาตรงเข้าตอบโต้ฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
ตูมมม !
กำปั้นวายุถูกฉินอวี้โม่ปัดป้องออกไปอย่างง่ายดายและสลายหายไปในอากาศทันทีโดยไม่เกิดผลอะไรกับนางแม้แต่น้อย
ในทางตรงกันข้าม ฝ่ามือวายุของฉินอวี้โม่ก็ฟาดตรงเข้าไปที่ร่างของบุรุษผู้นั้นจนกระเด็นออกไป
โครมมม !
ร่างของเขากระแทกเข้ากับแผงร้านค้าด้านข้างและร่วงกระแทกพื้นในสภาพที่น่าเวทนา
“ปากเหม็นชะมัด”
ฉินอวี้โม่ยักไหล่พร้อมกับกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ซึ่งทำให้คู่ต่อสู้ที่ร่วงกระแทกลงพื้นแทบกระอักเลือดออกมา
“บัดซบ !”
สีหน้าของจางซือถงเปลี่ยนไปทันทีและคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะฟาดคู่ต่อสู้จนล้มลงไปกองกับพื้นได้ด้วยฝ่ามือเดียว ทว่ากระบี่เล่มยาวก็ปรากฏขึ้นในมือของนางและจ้วงแทงตรงไปที่ฉินอวี้โม่ทันที
“ช้าเกินไป”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและร่างของนางหายวับไปต่อหน้าจางซือถง
“อ๊ะ ?!”
เมื่อครู่นี้ กระบี่ของจางซือถงกำลังจะแทงทะลุร่างฉินอวี้โม่ ทว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยและทำให้นางชะงักค้างไปทันที
“พี่รอง ระวัง !”
จางซือฉีตะโกนเตือนอย่างตื่นตระหนก ไม่ทราบเลยว่าฉินอวี้โม่ปรากฏตัวข้างหลังจางซือถงตั้งแต่เมื่อใดและใช้เท้าเตะเข้าไปที่ไหล่ของนางอย่างไม่ทันตั้งตัว
จางซือถงเซออกไปหลายก้าวก่อนล้มลงบนพื้น แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก ทว่านางกลับรู้สึกเจ็บใจจนแทบสติหลุด
“นังแพศยา ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ !”
จางซือถงตวัดสายตาหันขวับไปที่ฉินอวี้โม่และสีหน้าแสดงถึงความโกรธแค้นแทนที่ความอับอาย ในฐานะคุณหนูคนรองของตระกูลจางแห่งเมืองเทียนยง การเพลี่ยงพล้ำต่อคนจากเมืองรองเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้าเป็นที่สุด
พลังมายาทั่วทั้งร่างของนางพุ่งพรวดขึ้นมาและกระบี่ยาวในมือพุ่งตรงเข้าหาฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็วจนมองเห็นเพียงภาพเงาเลือนราง
สีหน้าของฉินอวี้โม่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยและพลังมายาจากทั่วทั้งร่างรวมตัวกันที่ปลายนิ้วมือครู่หนึ่งก่อนกลายเป็นกระบี่เล่มยาวที่พุ่งออกไปประจันหน้ากับกระบี่ของจางซือถงโดยตรง
เคร๊ง !
ด้วยเสียงกระทบดังสนั่น พลังจากกระบี่ของฉินอวี้โม่ก็ทำให้กระบี่ของจางซือถงร่วงลงพื้นและทำลายการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
“เจ้า ! เหตุใดถึงต้องทำตัวก้าวร้าวเช่นนี้ ?!”
จางซือฉีเหาะเข้ามาหาพี่สาวอย่างรวดเร็วและจ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยความเยือกเย็นอย่างไม่อาจปิดบัง
“ใช่ ข้าทำตัวก้าวร้าว แล้วจะทำไมรึ ?”
ฉินอวี้โม่เลิกคิ้วสูงและตอบกลับพร้อมรอยยิ้มยียวน
“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน”
สีหน้าของจางซือฉีกลายเป็นเย็นชาและกระบี่ยาวส่องแสงประกายปรากฏในมือของนางขณะแผ่แรงกดดันทรงพลังออกไปกดข่มฉินอวี้โม่
“นี่มันมิใช่สิ่งที่เจ้าต้องการตั้งแต่แรกรึ ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและเมินเฉยต่อแรงกดดันของจางซือฉีก่อนตรงเข้าโจมตีนางอย่างไม่รีรอ
จางซือฉีมิใช่คนอ่อนแอและปฏิกิริยาตอบสนองของนางก็รวดเร็วกว่าจางซือถงมากนักขณะเงากระบี่จากกระบี่เล่มยาวของนางเข้าปกคลุมร่างของฉินอวี้โม่
“ข้าไม่ได้อยากทำร้ายเจ้า แต่เจ้าก็ยโสโอหังเกินไปจริง ๆ”
นางกล่าวเสียงดังฟังชัดและกระบี่ยาวในมือก็จ้วงแทงตรงเข้าใส่คู่ต่อสู้
“หึหึ~”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ ในลำคอขณะปล่อยก้อนพลังมายาออกไปและทำลายเงากระบี่ของจางซือฉีได้โดยตรง
เมื่อกระบี่ของอีกฝ่ายกำลังจะโจมตีถึงตัว ร่างของฉินอวี้โม่ก็หายวับไปอีกครั้ง
“โอ๊ยยย !”
ด้วยเสียงร้องของความเจ็บปวดที่ดังขึ้น รอยฝ่าเท้าก็ปรากฏบนใบหน้าของคุณหนูสามตระกูลจางอย่างชัดเจน