บนถนนทางเดินในเมืองอู๋เริ่น ฉินอวี้โม่เตะจางซือฉีจนล้มลงไปกับพื้นและฝากรอยเท้าประทับไว้บนใบหน้านางอย่างเห็นได้ชัด
ความแข็งแกร่งของจางซือฉีและจางซือถงซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดีพอสมควร ทว่าน่าเสียดายที่พวกนางมีประสบการณ์การต่อสู้ที่น้อยเกินไปจึงไม่สามารถแสดงศักยภาพของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่
ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าและจุดอ่อนช่องโหว่มากมายที่เผยออกมาในระหว่างการประจันหน้า เป็นไปไม่ได้เลยที่คู่ต่อสู้เช่นนี้จะทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกถึงความกดดันได้
จางซือฉีก็คาดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะแข็งแกร่งมากเช่นนี้ เพียงเคลื่อนไหวออกมาไม่กี่กระบวนท่า ตัวนางที่เป็นถึงจอมยุทธ์ฝีมือโดดเด่นของตระกูลจางก็ยังต้องพ่ายแพ้ไป
จางซือถงก็ตกตะลึงยิ่งกว่าและอ้าปากค้างในทันที นางมิอาจเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดจอมยุทธ์จากตระกูลเล็กในเมืองรองจึงมีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้ที่เป็นยอดฝีมือของตระกูลใหญ่ในเมืองหลักมีดีเพียงเท่านี้เองรึ !”
ขณะหัวเราะคิกคักอย่างสาแก่ใจ ฉินอวี้โม่ก็มองสองพี่น้องด้วยแววตาเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบัง
“เจ้า…”
จางซือถงโมโหจนพูดไม่ออกและชี้ไปที่ใบหน้าของฉินอวี้โม่พร้อมด้วยแววตาชิงชัง
“พี่รอง เราด้อยกว่านางจริง ๆ”
จางซือฉีลุกขึ้นยืนและพยายามซ่อนความหวาดหวั่นในแววตาขณะจับมือจางซือถง
“ทุกคน พอเถอะ”
นางหันไปหาบุรุษหนุ่มสามคนที่กำลังประจันหน้ากับเมิ่งเยี่ยและกล่าวขึ้นเบา ๆ เพื่อให้พวกเขายุติการต่อสู้
“ทุกอย่างในวันนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด หวังว่าพี่เมิ่งจะไม่ถือสา ข้าต้องขอโทษพี่เมิ่งและจอมยุทธ์ผู้นี้ด้วย”
จางซือฉีแสดงสีหน้าเศร้าใจเล็กน้อยขณะกล่าวขอโทษขอโพยฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยทั้งสอง
ต้องกล่าวเลยว่าจางซือฉีผู้นี้เป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากทีเดียว หากมิใช่เพราะเมืองอู๋เริ่นต่างจากโลกภายนอกและผีดิบทั่วทั้งเมืองไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องสนุก ๆ นี้ เกรงว่าคงมีคนไม่น้อยที่หลงเชื่อและยืนหยัดเพื่อปกป้องจางซือฉีเช่นเดียวกับบุรุษหนุ่มทั้งสาม
“นับจากนี้เป็นต้นไปก็อย่าเรียกข้าว่าพี่เมิ่งและอย่าเสนอหน้ามาให้ข้าเห็นอีก ข้ารังเกียจจนไม่อยากเห็นเจ้าอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ !”
เมิ่งเยี่ยไม่ไว้หน้าจางซือฉีแม้แต่น้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รังเกียจอย่างไม่ปิดบัง
“…”
จางซือฉีถึงกับพูดไม่ออกไปทันทีทว่าจางซือถงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเป็นฝ่ายตอบโต้แทน “เมิ่งเยี่ย นี่มันชักจะมากเกินไปแล้ว ! เมื่อกลับไปถึงเมืองเทียนยง ข้าจะไปที่ตระกูลเมิ่งเพื่อขอคำอธิบายกับเรื่องนี้แน่ !”
“ตราบใดที่เจ้ารอดชีวิตกลับไปได้ เชิญมาได้ทุกเมื่อ !”
เมิ่งเยี่ยไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย บิดาของเขาก็ไม่ชอบหน้าตระกูลจางอยู่เป็นทุนเดิม ทว่าเพียงไม่ต้องการมีปัญหาความขัดแย้งกันก็เท่านั้น ต่อให้จางซือถงไปร้องเรียนอะไรที่จวนตระกูลเมิ่ง บิดาของเขาก็จะไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ ออกมา
“ข้าขอเตือนด้วยความหวังดีก็แล้วกัน หากคิดจะอยู่ในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้ ทางที่ดีพวกเจ้าก็อย่าออกมาเพ่นพ่านในยามวิกาล มิฉะนั้น…หากเกิดอะไรขึ้น พวกข้าจะไม่ช่วยพวกเจ้าแน่”
ฉินอวี้โม่กล่าวทิ้งท้ายเบา ๆ ก่อนหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง
“นี่เจ้าหมายความว่าอะไรกัน ?”
จางซือถงตะโกนไล่หลังไป ทว่าฉินอวี้โม่ก็เมินเฉยต่อนางและค่อย ๆ หายไปตรงหน้าทุกคน
“เฮอะ บัดซบชะมัด ! หากเราอยู่ในเมืองเทียนยงละก็ ข้าไม่มีทางปล่อยนางไปง่าย ๆ แน่ !”
เมื่อฉินอวี้โม่ เมิ่งเยี่ยและยินรุ่ยหายไป จางซือถงก็กระทืบเท้าอย่างแรงด้วยความโมโหสุดขีดและสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
“พี่รอง ที่นางบอกว่าเราไม่ควรออกไปเพ่นพ่านในยามวิกาลนั้น นางหมายความว่าอะไรกัน ?”
จางซือฉีระงับจิตสังหารในแววตาไว้และเอ่ยถามด้วยสีหน้าท่าทางที่ใสซื่อไร้เดียงสา
“เหอะ หากนางบอกว่าเราไม่ควรออกมาเตร็ดเตร่รอบ ๆ…เราก็จะออกมาเตร็ดเตร่รอบ ๆ หากนางอยากให้เราไปจากที่นี่…เราก็จะไม่ไปจากที่นี่ หากนางบอกว่าเราไม่ควรออกมาในยามค่ำคืน เราก็จะออกมาในยามค่ำคืน ข้าก็อยากรู้นักว่านางจะทำอะไรเราได้ !”
จางซือถงแค่นเสียงเย็นชาและไม่สนใจคำเตือนของฉินอวี้โม่เลยสักนิด ในทางกลับกัน นางต้องการทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามและออกมาสำรวจหาคำตอบในตอนกลางคืน
“แต่เราอยู่ในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้มานานหลายวันแล้วและไม่เคยเห็นท้องฟ้าในยามค่ำคืนมาก่อน หรือว่าในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้จะมีเวลากลางคืน ?”
จางซือฉีขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวถึงความสงสัยของตน
“อีกไม่นานเราก็จะได้ทราบเอง…”
จางซือถงไม่คิดมากจนเกินไปขณะหันหลังกลับและเดินตรงไปยังโรงเตี๊ยมไม่ไกลออกไป
ณ ประตูเมืองอู๋เริ่น ฉินอวี้โม่และสมาชิกทั้งสองก็รีบมุ่งหน้าไปที่หอคอยของเมืองอย่างรวดเร็ว
“อวี้โม่ ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าทำให้เจ้าเดือดร้อน”
เมิ่งเยี่ยกล่าวด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด หากมิใช่เพราะเขา ฉินอวี้โม่ก็คงไม่ถูกกลุ่มคนเหล่านั้นดูถูกดูแคลนด้วยวาจา
“ข้าไม่เดือดร้อนเลยสักนิด”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่นี้นางไม่ได้เดือดร้อนเลยสักนิด ในทางตรงกันข้าม จางซือฉีและจางซือถงก็เผชิญกับความอัปยศอดสูครั้งยิ่งใหญ่ไป คาดการณ์ได้ว่าตั้งแต่ในวัยเด็ก ทั้งสองคงจะไม่เคยพ่ายแพ้ต่อผู้ใดมาก่อนและตอนนี้พวกนางก็น่าจะยังโกรธแค้นอยู่ไม่น้อย
“นั่นก็จริง”
เมิ่งเยี่ยไตร่ตรองครู่หนึ่งและคิดเช่นเดียวกับฉินอวี้โม่ การได้สั่งสอนบทเรียนให้กับสตรีไร้ยางอายเหล่านั้นทำให้เมิ่งเยี่ยรู้สึกสดชื่นและสบายใจไม่น้อย
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าชิงชังเจ้าจางซือฉีนั่นเพียงใด นางมักเสแสร้งแสดงละครว่าอ่อนโยนและจิตใจดีมีเมตตามาเสมอ ทว่าแท้จริงแล้วจิตใจของนางชั่วร้ายต่ำช้ายิ่งนัก หากเปรียบเทียบกัน จางซือถงก็ดีกว่านางมาก อย่างน้อยนางก็ไม่หน้าด้านหน้าทนและเสแสร้งแสดงละครอย่างผู้เป็นน้อง”
เขาอดกล่าวด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ หากมิใช่เพราะมาจากเมืองเทียนยงด้วยกัน เขาก็ไม่อยากจะเห็นใบหน้าของพวกนางด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น หากจางซือฉีเป็นบุรุษเช่นเดียวกันตน เกรงว่าเมิ่งเยี่ยคงจะฟาดใบหน้าของสตรีไร้ยางอายผู้นั้นจนปูดบวมไปแล้ว
“เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้นล่ะ ?”
เมื่อได้ยินวาจาของเมิ่งเยี่ย ฉินอวี้โม่ก็นึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา บุรุษอื่น ๆ ทั่วไปคงจะนึกสงสารคุณหนูจอมเสแสร้งผู้นั้นและพยายามปกป้องนางอย่างไม่ลังเล ทักษะการแสดงละครตบตาของจางซือฉีก็ถือว่าแนบเนียนอย่างยิ่ง แล้วเหตุใดเมิ่งเยี่ยจึงไม่หลงกลนางแม้แต่น้อย ?
“ครั้งหนึ่งที่ข้าออกไปฝึกยุทธ์ข้างนอก ข้าบังเอิญพบจางซือฉีและเห็นธาตุแท้ของนาง ภายนอกนางแสดงตนว่าเป็นคนอ่อนโยนและเมตตา ทว่าแท้จริงแล้วนางมีจิตใจที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก นางดูถูกดูแคลนทุกคนที่มีสถานะต่ำต้อยกว่าตน ในตอนนั้นก็มีสตรีนางหนึ่งที่ไม่ทันระวังและบังเอิญเดินเข้าไปชนกับนาง ซึ่งสิ่งที่คุณหนูใจหยาบผู้นั้นทำคือสั่งให้คนทำร้ายสตรีผู้นั้นอย่างหนักหนาสาหัสจนแทบกลายเป็นคนพิการ”
เมิ่งเยี่ยแทบอยากจะอาเจียนเมื่อนึกถึงสิ่งที่เคยพบเห็นก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่าทุกคราที่จางซือฉีแสดงท่าทางอ่อนโยนและกล่าววาจาอ่อนหวาน รวมถึงเรียกเขาว่า ‘พี่เมิ่ง’ เขาแทบที่จะอดทนอดกลั้นไม่ได้ทุกครั้ง
“ไม่แปลกใจเลย”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ หากจางซือฉีทราบว่าเมิ่งเยี่ยรับรู้ถึงธาตุแท้ของนางรวมถึงเรื่องชั่วร้ายหลายอย่างที่นางทำลงไป นึกไม่ออกเลยว่าคุณหนูผู้นั้นจะมีสีหน้าเช่นไร
“อวี้โม่ ข้าคิดว่าต่อให้เจ้าเตือนคนเหล่านั้น พวกนางก็จะต้องออกมาในตอนกลางคืนแน่ เมื่อถึงตอนนั้นเราจะทำอย่างไร ?”
ยินรุ่ยเอ่ยถามหลังจากนิ่งเงียบมานาน เขาอยู่ในเมืองผีดิบแห่งนี้มานานนักและทราบถึงธาตุแท้ของจางซือฉีได้ตั้งแต่แรกเห็น สำหรับคำเตือนของฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ เกรงว่าคนเหล่านั้นไม่มีทางเชื่อฟังและจะออกมาหาคำตอบด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเขา ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยก็พยายามหาทางทำลายคำสาปของเมืองนี้และไม่อาจปล่อยให้ผู้ใดขัดจังหวะแผนการของพวกตนได้
“เจ้าเมืองยิน นอกจากพวกเรา ในเมืองแห่งนี้ก็มีเพียงวิญญาณไร้ชีวิตเท่านั้น หากคนพวกนั้นอยากจะออกมาเผชิญกับเรื่องสนุกๆ ก็ปล่อยให้พวกนางได้ลิ้มรสประสบการณ์ใหม่ ๆ เถอะ อีกอย่าง…หากวิญญาณร้ายตายไปและจะมีตนใหม่เข้ามาแทนที่อย่างที่ท่านว่าไว้จริง คืนนี้ก็จะต้องมีวิญญาณร้ายตนใหม่ปรากฏขึ้นมาอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นก็ควรปล่อยให้คนพวกนั้นล่อวิญญาณร้ายออกไปจะดีกว่า เพื่อที่เราจะได้ไขปริศนาของเมืองแห่งนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น”
ฉินอวี้โม่กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางทราบดีว่าคนเหล่านั้นไม่มีทางเชื่อคำเตือนของตนอย่างแน่นอนจึงจงใจกล่าวเตือนเช่นนั้นออกไป
ในเมื่อมาเยือนถึงเมืองผีดิบแห่งนี้และริอาจดูหมิ่นนาง ฉินอวี้โม่จะปล่อยคนเหล่านั้นไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน ?