หลังจากสำรวจทั่วบริเวณรอบประตูเมืองพักใหญ่ ฉินอวี้โม่และคณะก็ยังไม่พบเบาะแสใด ไม่ว่าจะเป็นบนหอคอยหรือใต้ดินก็ไม่มีสิ่งที่ผิดปกติแต่อย่างใด เพราะเหตุนั้นจึงไม่อาจทราบได้เลยว่าพลังลึกลับที่เรียกวิญญาณทั่วทั้งเมืองมารวมตัวกันคือพลังใด
จากนั้นทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังภัตตาคารเดิมที่รับประทานอาหารกันก่อนหน้านี้และสั่งอาหารมารับประทานจำนวนหนึ่ง
เถ้าแก่ของภัตตาคารแห่งนี้มีนามว่า ‘หวังหยวน’ ก่อนตายความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับต่ำเท่านั้น เมื่อกลายเป็นวิญญาณไร้ชีวิตเฝ้าเมืองนี้ เขาจึงมีสติสัมปชัญญะเพียงในตอนกลางวันและสูญเสียการควบคุมทั้งหมดในยามค่ำคืนเช่นเดียวกันคนอื่น ๆ ในเมือง
ฉินอวี้โม่เรียกเขาเข้ามาและเอ่ยถามสิ่งที่สงสัย “เถ้าแก่ เนื้ออสูรพวกนี้มาจากที่ใดรึ ?”
หวังหยวนเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีผิวขาวเนียนและมีรูปร่างอ้วนท้วน อีกทั้ง
เขาก็ดูเหมือนจะเป็นคนที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่าย
เมื่อได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ เขาจึงกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “แขกผู้มีเกียรติขอรับ เนื้ออสูรทั้งหมดสดใหม่ในทุกวันขอรับ ในทุก ๆ เช้าจะมีใครบางคนนำพวกมันมาส่งที่หลังภัตตาคาร”
เขาก็ไม่ลังเลและกล่าวอธิบายเพียงสั้น ๆ
“มีคนส่งมาที่หลังภัตตาคารอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่และยินรุ่ยหันมองหน้ากันทันที หรือในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้จะมีใครอื่นที่แม้แต่เจ้าเมืองอย่างยินรุ่ยก็ไม่ทราบมาก่อน ?
หลังจากพูดคุยกันเพียงสั้น ๆ เถ้าแก่ของภัตตาคารก็กลับไปจัดการเรื่องของตนเองต่อไป
“พรุ่งนี้เช้า เรามาสำรวจดูที่ภัตตาคารแห่งนี้กันเถอะ”
ยินรุ่ยขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย ในฐานะเจ้าเมืองของเมืองอู๋เริ่น เขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้อื่นเลยสักนิด เถ้าแก่ของภัตตาคารกล่าวว่ามีคนส่งเนื้ออสูรมายามาที่ภัตตาคารในทุก ๆ เช้า ทว่าทั้งเมืองนี้มีเพียงผีดิบที่ออกไปไหนไม่ได้ หากมีคนแปลกหน้าเข้ามา เขาก็ต้องรับรู้ได้ในทันที สิ่งที่ได้ทราบในตอนนี้ช่างประหลาดเกินเข้าใจ
“เจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยพยักศีรษะตอบตกลงและตัดสินใจในทันทีว่าในคืนนี้พวกนางจะไปสำรวจใกล้กับประตูเมืองก่อนและในตอนเช้าตรู่ของวันต่อมาก็จะมาที่ข้างหลังภัตตาคารแห่งนี้เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร
หลังจากรับประทานอาหารจนอิ่มเอม ทั้งสามก็ออกจากภัตตาคารและเดินสำรวจบนถนนหนทางในเมืองพักใหญ่ก่อนที่ท้องฟ้าจะค่อย ๆ มืดสลัวลง
ต้องกล่าวเลยว่าเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องประหลาดเกินเข้าใจมากมาย ประชากรในเมืองนี้ตายไปนานนับพันปีทว่าจิตวิญญาณยังคงติดอยู่ที่นี่และใช้ชีวิตได้ตามปกติในเวลากลางวัน หากจะกล่าวว่าที่นี่ไม่มีพลังลึกลับควบคุมไว้ ฉินอวี้โม่ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
“วิญญาณร้ายตนใหม่ปรากฏตัวแล้ว”
ก่อนตกดึก จู่ ๆ ยินรุ่ยก็ขมวดคิ้วและกล่าวขึ้นเบา ๆ
เมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นผันผวนที่รุนแรง หากคาดเดาไม่ผิด มันน่าจะเป็นผลมาจากการถือกำเนิดของวิญญาณร้ายตนใหม่เป็นแน่
“ไปที่ประตูเมืองกันก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวและพุ่งตรงไปที่บริเวณประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเยี่ยก็ไม่รอช้าและรีบตามไปอย่างใกล้ชิด ยินรุ่ยซึ่งมีความเร็วมากกว่าทั้งสองก็รีบมุ่งหน้าตามไปเช่นกัน
เพียงครู่เดียว ทั้งสามก็ปรากฏตัวในมุมหนึ่งใกล้กับประตูเมือง
ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยเหาะขึ้นบนหอคอยในขณะที่ยินรุ่ยเหาะลอยตัวอยู่กลางอากาศตามปกติ
หลังจากรอเวลาครู่ใหญ่ วิญญาณไร้ชีวิตของเมืองผีดิบก็ปรากฏตัวและเรียงรายเข้ามารวมตัวเช่นเดิม
“ฮ่า ๆ ๆ นี่มันกลิ่นของมนุษย์ !”
เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และเงาสีดำทะมึนก็ปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศตรงหน้าพวกนาง
วิญญาณร้ายตนใหม่ปกคลุมไปด้วยเสื้อคลุมสีดำเช่นเดียวกันวิญญาณร้ายตนก่อนและเผยให้เห็นเพียงดวงตาสีแดงก่ำเท่านั้น
“เจ้าอยากจะมีชะตากรรมเหมือนวิญญาณร้ายตนเมื่อวานงั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ก้าวเข้าไปตรงหน้าวิญญาณร้ายขณะสะบัดนิ้วมือเล็กน้อยและเปลวเพลิงร้อนระอุก็ปรากฏขึ้นบนปลายนิ้วมือของนาง เมื่อเห็นเช่นนั้น วิญญาณร้ายก็ถอยร่นไปในทันที
“ไม่นะ ไม่ ไม่ ! ข้าไม่อยากตาย”
วิญญาณร้ายส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว เพลิงทรงพลังที่ปลายนิ้วมือของฉินอวี้โม่ทำให้หัวใจของเขาสั่นระรัว แม้ไม่ทราบว่ามันคือเพลิงใด เขาก็ตระหนักดีว่าไม่มีทางต้านทานได้อย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นก็จงเชื่อคำฟังของข้าเสียดี ๆ และข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ฉินอวี้โม่เก็บเพลิงนั้นไว้ตามเดิมทว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่อย่างชัดเจน
“ท่านจอมยุทธ์ ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำสิ่งใดให้ท่านไม่พอใจ”
วิญญาณร้ายยอมจำนนในทันทีและรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อมซึ่งต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
เขายอมจำนนเพราะยังไม่อยากตาย แม้ต้องกลายเป็นผีดิบเช่นนี้ มันก็ดีกว่าการดับสลายไปตลอดกาล เพราะถึงอย่างไรการที่อยู่ในสภาพนี้เขาก็ยังคงมีความหวังที่จะได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
หลังจากรอเวลาพักใหญ่ ผีดิบทั้งเมืองก็มารวมตัวกันอย่างครบถ้วน
“ดูนั่นสิ พวกเขากำลังทำอะไรกัน ?”
เสียงสตรีของจางซือถงดังขึ้นมาด้วยความสงสัยใคร่รู้
เมื่อเห็นผู้คนทั้งเมืองเดินตรงมารวมตัวกันที่ประตูเมือง พวกนางก็รีบตามมาในทันที เมื่อคนเหล่านั้นหยุดลง จางฉือถงและคนอื่น ๆ ก็หยุดลงเช่นกัน ในตอนนี้พวกนางยังไม่ทันสังเกตเห็นฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่กลางอากาศและเพียงจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของประชากรตรงหน้านี้
“คุณหนูรอง เหตุใดข้าถึงคิดว่าคนในเมืองนี้ดูแปลกพิลึกไม่น้อย ?”
บุรุษคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าฉงนสงสัย ประชากรทั้งเมืองอู๋เริ่นมารวมตัวกันที่ประตูเมืองทว่าหยุดนิ่งและไม่ทำสิ่งใดซึ่งเป็นการกระทำที่ประหลาดยิ่งนัก
“จิ๊จิ๊จิ๊ ข้าเตือนแล้วมิใช่รึว่าไม่ควรออกมาในยามวิกาล ?”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่มองเห็นกลุ่มของจางซือถงอยู่หลังฝูงชนและลอยตัวไปเหนือพวกนางพร้อมกับก้มลงมอง
“เจ้ากำลังคิดจะทำอะไร ?!”
เมื่อเงยหน้าขึ้นและพบกับฉินอวี้โม่ สีหน้าของจางซือถงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะมองตอบและกล่าวเสียงดัง
“เกรงว่าพวกเจ้าคงจะยังไม่รู้สินะ อันที่จริง…เมืองอู๋เริ่นแห่งนี้คือเมืองผีดิบ !”
ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มอย่างเยือกเย็นออกมาและจงใจลดเสียงให้เบาลงเพื่อเพิ่มความน่าขนลุก
“เมืองผีดิบอะไรกัน นี่เจ้าหมายความว่าอะไร ?!”
จางซือถงรู้สึกขนลุกขึ้นมาและเริ่มหวาดกลัวจนสันหลังวาบ อย่างไรก็ตาม นางก็ยังเก็บอาการและพยายามทำใจให้สงบนิ่งเข้าไว้ นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกวาดสายตามองทุกคนที่ยืนรวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบก่อนเปล่งเสียงออกมาเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง
“วิญญาณร้าย ออกมาต้อนรับพวกนางสิ”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวขึ้นก่อนวิญญาณร้ายจะปรากฏตัวขึ้นมาข้างหลังตน
“ขอรับ นายหญิง”
วิญญาณร้ายรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อมและเหาะไปหยุดตรงหน้าจางซือถงอย่างรวดเร็ว
“จิ๊จิ๊ กลิ่นของมนุษย์นี่ช่างหอมหวานนัก”
เขากล่าวก่อนเปิดผ้าคลุมเผยให้เห็นใบหน้าขาวซีด จากนั้นวิญญาณร้ายก็แลบลิ้นและกล่าวด้วยวาจาน่าขนลุกจนทำให้จางซือถงใจสั่นระรัว
“ในเมื่อเข้ามาในเมืองผีดิบแห่งนี้แล้ว เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่กับพวกข้าตลอดไป…”
วิญญาณร้ายกล่าวและยื่นมือออกไปหาจางซือถงตรงหน้า มือนั้นทะลุผ่านร่างบางของคุณหนูตระกูลจางก่อนดึงมือกลับมาเช่นเดิม
จางซือถงไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ ทว่าสีหน้ากลับกลายเป็นหวาดกลัวสุดขีดเมื่อมองเห็นมือของวิญญาณร้ายทะลุผ่านร่างของตน
“นี่มัน…ผี ! กรี๊ดดดดด !”
นางกรีดร้องเสียงดังก่อนหมดสติไปทันที
“แม่เจ้า ! ที่นี่คือเมืองผีดิบจริง ๆ !”
บุรุษอีกสามคนอุทานออกมาเช่นกันและไม่สนใจจางซือถงที่นอนหมดสติอยู่ที่พื้นแม้แต่น้อยขณะวิ่งป่าราบเผ่นหนีไปพร้อมส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าคิดจะทำอะไรกัน ?”
จางซือฉีไม่คิดที่จะช่วยพี่สาวที่หมดสติล้มพับไปเช่นกัน ทว่านางใจเย็นกว่าบุรุษอกสามศอกเหล่านั้นขณะกลืนน้ำลายเล็กน้อยและพยายามกดข่มความตื่นตระหนกในหัวใจ
“แม่สาวคนงาม หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็คงจะสนใจเจ้าไม่น้อย ทว่าน่าเสียดายที่ข้าเป็นเพียงวิญญาณไร้กายเนื้อ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ข้าจะทำกับเจ้าก็คือ…”
วิญญาณร้ายยื่นมือออกไปลูบไล้สัมผัสใบหน้าของจางซือฉีและเผยรอยยิ้มชวนขนลุก
“พี่เมิ่ง นี่ท่านตายไปแล้วรึ…?”
จางซือฉีหันไปสบตาเมิ่งเยี่ยซึ่งอยู่ไม่ไกลและเอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจนัก
ในเมื่อที่นี่เป็นเมืองผีดิบ หรือว่าเมิ่งเยี่ยและฉินอวี้โม่จะตายไปแล้ว และเป็นวิญญาณไร้ชีวิตเช่นเดียวกับประชากรทั่วทั้งเมือง…
“เจ้าต่างหากที่ตายไปแล้ว !”
เมิ่งเยี่ยกลอกตาไปมาและกล่าวตอบอย่างไม่สบอารมณ์นัก