จางซือถงหวาดกลัวจนสลบไปและจางซือฉีก็หวาดหวั่นจนทำตัวไม่ถูก ฉินอวี้โม่เพียงสั่งให้วิญญาณร้ายพาตัวทั้งสองออกไปและตามหาบุรุษหนุ่มทั้งสามที่วิ่งหนีออกไปเมื่อครู่นี้
ด้วยการที่วิญญาณร้ายหวาดหวั่นต่อเพลิงอันทรงพลังในมือของฉินอวี้โม่เป็นที่สุด เขาจึงไม่กล้าขัดคำสั่งแม้แต่น้อย เขาจับตัวจางซือฉีและจางซือถงไปและหายตัวไปต่อหน้าทุกคนอย่างรวดเร็ว
“ทุกคนแยกย้ายกลับไปก่อนเถอะ”
ยินรุ่ยสั่งการกับบรรดาผีดิบที่มารวมตัวกันที่หน้าประตูเมือง จากนั้นวิญญาณไร้ชีวิตทั้งเมืองก็หันหลังและแยกย้ายกลับไปยังบ้านเรือนของตนราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
“ในตอนที่ข้ายังไม่มีสติสัมปชัญญะก่อนหน้านี้ ผีดิบทั้งเมืองจะรวมตัวกันที่นี่จนรุ่งสาง ทว่าหลังจากที่ข้าควบคุมสติได้ ข้าก็ค้นพบว่าพวกเขาเข้าใจสิ่งที่ข้ากล่าวออกไป เพราะเหตุนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อออกคำสั่งให้พวกเขาแยกย้ายกันกลับไปก่อนเสมอ”
ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม นางรู้สึกว่าวิญญาณไร้ชีวิตเหล่านี้น่าจะถูกควบคุมโดยพลังบางอย่างและพลังดังกล่าวคือกุญแจสำคัญในการทำลายคำสาปของเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้
นางจึงแผ่พลังวิญญาณออกไปและสำรวจสภาพแวดล้อมทั่วบริเวณ ทว่ายังไม่พบสิ่งใดที่เป็นประโยชน์เช่นเดิม
ในบริเวณรอบ ๆ นี้ไม่มีพลังประหลาดใดแม้แต่น้อยและนางก็ไม่ทราบว่าสิ่งที่เรียกผีดิบทั้งเมืองมารวมตัวกันในทุกค่ำคืนคือสิ่งใด ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานาน ยินรุ่ยซึ่งเคยเป็นหนึ่งในวิญญาณไร้ชีวิตและฟื้นฟูสติกลับคืนมาได้ในภายหลังก็ไม่เคยรู้สึกถึงสิ่งใดผิดปกติใกล้ประตูเมืองเลย
ในเมื่อไม่พบเบาะแสใดเพิ่มเติม ทั้งสามก็มุ่งหน้ากลับไปยังภัตตาคารแห่งเดิมด้วยกัน
หลังจากยืนยันพิกัดที่เถ้าแก่ของภัตตาคารกล่าวว่าจะมีใครบางคนส่งเนื้ออสูรมายามาในตอนเช้าตรู่ของทุกวัน ฉินอวี้โม่ เมิ่งเยี่ยและยินรุ่ยจึงไปดักรอในบริเวณนั้น
เมื่อเวลาล่วงเลยไป ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละน้อย
ไม่ไกลจากฉินอวี้โม่และอีกสองคนคือโต๊ะขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง จากข้อมูลที่ได้รับจากเถ้าแก่ของภัตตาคาร บุคคลลึกลับผู้นั้นจะวางเนื้ออสูรไว้บนโต๊ะตัวนี้และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนนี้โต๊ะตัวนั้นยังคงว่างเปล่าและไม่มีสิ่งใดวางอยู่
“เอ๋~?”
จู่ ๆ เมิ่งเยี่ยก็ขยี้ตาและอุทานออกไป
บนโต๊ะตัวใหญ่ตรงหน้า จู่ ๆ ก็มีซากอสูรมายาจำนวนมากปรากฏขึ้นมากองพะเนินสูง
ไม่เพียงแต่เมิ่งเยี่ยเท่านั้น ฉินอวี้โม่เองก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกนางจับตามองตรงไปที่โต๊ะตัวนั้นอย่างไม่ละสายตา ทว่าซากอสูรมายาพวกนี้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันได้อย่างไร ?
“ข้าไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของใครแปลกหน้าเข้ามาเลย เกรงว่าผู้ที่นำซากอสูรมายาเหล่านี้มาคงมิใช่ ‘มนุษย์’ เป็นแน่”
ยินรุ่ยขมวดคิ้วมุ่นเช่นกัน ในฐานะดวงวิญญาณที่คงอยู่มายาวนาน เขามีประสาทสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นอายของมนุษย์เป็นอย่างมาก เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงเฉพาะหลังภัตตาคารนี้เท่านั้น ทว่าแม้ทั้งเมืองอู๋เริ่นก็ไม่มีผู้ใดผ่านเข้ามาในค่ำคืนนี้ ไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าซากอสูรมายาเหล่านี้ปรากฏตรงหน้าได้อย่างไร…
“พลังอะไรกันที่ทำให้ซากอสูรเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัวได้ ?”
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้าไปสำรวจซากอสูรมายาทั้งหมดที่กองพะเนินสูงก่อนพบว่าพวกมันล้วนเป็นอสูรที่เจือปนไปด้วยพลังงานปีศาจซึ่งมีอยู่มากในป่าไม่ไกลออกไป ทว่าพวกมันก็เพิ่งถูกสังหารไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
บนลำตัวของอสูรเหล่านี้ก็ไม่ได้มีบาดแผลอะไรนัก ทว่าแผลทั้งหมดเกิดขึ้นในจุดสำคัญทั้งสิ้นและมีขนาดเล็กเท่ากับหนึ่งนิ้วมือซึ่งคาดการณ์ได้ว่าพวกมันน่าจะถูกสังหารภายในการโจมตีเดียวและไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านขัดขืนใด ๆ ทั้งสิ้น
ซากอสูรมายาหลายตัวบนโต๊ะล้วนเป็นอสูรที่มีความแข็งแกร่งมากพอสมควร หนึ่งในนั้นคือกระทิงปีศาจที่ไล่ล่าเมิ่งเยี่ยก่อนหน้านี้และทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนา
การที่สามารถสังหารอสูรทรงพลังอย่างกระทิงปีศาจด้วยกระบวนท่าเดียวโดยที่มันไม่อาจต้านทานได้เช่นนี้ จินตนาการได้เลยว่าความแข็งแกร่งของผู้ที่สังหารมันจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ยังมีผู้ทรงพลังอื่นอยู่อีกหรือไม่ ?”
เมิ่งเยี่ยอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้ ด้วยพลังที่มหาศาลเช่นนั้น เกรงว่าสมรภูมิรบลึกลับแห่งนี้อาจมีผู้แข็งแกร่งคนอื่นที่พวกเขาคาดไม่ถึง
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง สถานการณ์คงไม่ดีแน่
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ข้าไม่เคยออกไปจากเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้ ในอดีตตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา เมืองของเราก็ไม่เคยต้อนรับใครด้วยซ้ำ พวกเจ้าจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการคัดเลือกถือว่าเป็นมนุษย์กลุ่มแรก สำหรับมนุษย์คนอื่น ๆ ในดินแดน ข้าก็ไม่ทราบเลยจริง ๆ”
ยินรุ่ยส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา แม้อยู่ในเมืองนี้มานาน เขาก็ไม่อาจมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์นอกเมืองแม้แต่น้อย
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและกล่าวข้อสันนิษฐานของตน หากดินแดนนี้มีจอมยุทธ์ที่ทรงพลังมากเพียงนั้นอยู่จริง คนเหล่านั้นก็ต้องปรากฏตัวหรือทิ้งร่องรอยเบาะแสไว้บ้างแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สมรภูมิเดนตายเป็นมิติพิเศษและคงไม่มีผู้แกร่งกล้าใดต้องการอาศัยอยู่ที่นี่
หากมีจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าในดินแดนนี้จริง ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะไม่เข้ามาในเมืองนี้และเอาแต่คอยส่งซากอสูรมายาเป็นประจำทุกวันเช่นนี้
“บางทีอาจเป็นพลังพิเศษที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าบาดแผลบนตัวของอสูรพวกนั้นเหมือนกันไม่มีผิดและนั่นจะต้องเกิดจากสาเหตุที่เหมือนกัน”
ฉินอวี้โม่ชี้ไปที่บาดแผลในจุดสำคัญของอสูรมายาและกล่าวสิ่งที่คาดเดา
“บาดแผลพวกนี้เหมือนกันอย่างกับแกะ พวกมันไม่ได้เกิดจากอาวุธแหลมคมหรือถูกทะลุทะลวงโดยพลังมายา อีกทั้งยังไม่มีรอยเลือดไหลออกมา การโจมตีดังกล่าวสังหารอสูรพวกนี้อย่างฉับพลัน ต้องยอมรับว่าพลังของผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้น่าหวาดหวั่นเกินไป”
ยินรุ่ยขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม ต้นกำเนิดของรอยแผลเล็กเท่าหนึ่งนิ้วมือเหล่านี้มาจากพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
คาดเดาได้เลยว่าหากพลังดังกล่าวโจมตีมนุษย์ เกรงว่าคนผู้นั้นก็จะต้องตายในการโจมตีครั้งเดียวเช่นกัน
“นายหญิง เหมือนข้าจะเคยเห็นบาดแผลเช่นนี้มาก่อน…”
มารยาปรากฏกายถัดจากฉินอวี้โม่และมองดูบาดแผลเหล่านั้นอย่างพินิจพิจารณาขณะขมวดคิ้วมุ่น
มันรู้สึกราวกับว่าเคยเห็นบาดแผลในลักษณะนี้จากที่ใดสักแห่ง ทว่ายังนึกไม่ออกในตอนนี้
“ลองนึกไตร่ตรองดูก่อนเถอะ หากเจ้าค้นพบต้นกำเนิดของบาดแผลพวกนี้ได้ พวกเราก็อาจจะไขปริศนาของเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้ได้เช่นกัน”
ฉินอวี้โม่ไม่กดดันและสั่งให้มารยาพยายามนึกถึงความทรงจำนั้น
เมิ่งเยี่ยและยินรุ่ยเองก็ใช้ความคิดอย่างหนักเช่นกันเพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าตนเคยเห็นบาดแผลเช่นนั้นหรือไม่
“แย่แล้ว ! บุรุษทั้งสามคนนั้นตายไปแล้ว”
ในเวลานี้ วิญญาณร้ายที่พาตัวคุณหนูตระกูลจางทั้งสองไปก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าฉินอวี้โม่อย่างกะทันหันและกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล
“เป็นฝีมือของเจ้ารึ ?”
สีหน้าของเมิ่งเยี่ยเปลี่ยนไปพร้อมกับจ้องหน้าวิญญาณร้ายอย่างดุดัน
บุรุษหนุ่มทั้งสามที่เขากล่าวถึงคือจอมยุทธ์ของเมืองเทียนยงที่วิ่งหนีป่าราบไปก่อนหน้านี้
“มะ…ไม่ ไม่นะ ข้ามิกล้าหรอก”
วิญญาณร้ายส่ายศีรษะอย่างรวดเร็วเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ เขากลัวเปลวเพลิงของฉินอวี้โม่เป็นที่สุดและจะไม่ทำสิ่งใดเกินคำสั่งของนางอย่างแน่นอน ทว่าหากฉินอวี้โม่เป็นคนสั่ง เขาก็ไม่ลังเลที่จะสังหารคนเหล่านั้นเช่นกัน
“ศพของพวกเขาอยู่ที่ใด ?”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วและเอ่ยถามทันที การที่จู่ ๆ บุรุษทั้งสามตายไปเช่นนี้ มันยิ่งทำให้เมืองผีดิบแห่งนี้แปลกพิลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ
“อยู่ที่หน้าประตูจวนเจ้าเมือง”
วิญญาณร้ายบอกพิกัดของศพทั้งสามให้ฉินอวี้โม่ทราบทันทีและนำทางมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว
ทุกคนตามไปอย่างใกล้ชิดและปรากฏตัวที่ประตูจวนเจ้าเมืองภายในเวลาเพียงไม่นาน
หน้าประตูจวนเจ้าเมืองในตอนนี้มีศพจอมยุทธ์ทั้งสามเรียงรายอยู่ สีหน้าของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความหวาดผวาอย่างที่สุด สิ่งที่พวกเขาเห็นก่อนตายจะต้องเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมากเป็นแน่
“ก่อนหน้านี้ข้าจับตัวสตรีทั้งสองไปไว้ในที่พักเดิมของพวกนาง จากนั้นข้าก็ออกตามหาบุรุษทั้งสาม ทว่าหลังจากใช้เวลาพักใหญ่ก็ยังไม่พบร่องรอยของพวกเขา จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ข้าก็มาพบกับพวกเขาที่กลายเป็นศพอยู่หน้าจวนเจ้าเมือง”
วิญญาณร้ายกล่าวอธิบายและต้องการยืนยันอีกครั้งว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปข้างหน้าและตรวจสอบซากศพของคนทั้งสามอย่างละเอียดก่อนพบว่าบาดแผลของพวกเขาเหมือนกับบาดแผลของซากอสูรมายาบนโต๊ะหลังภัตตาคารไม่มีผิด…บาดแผลทั้งหมดเป็นบาดแผลที่มีขนาดเท่ากับหนึ่งนิ้วมือและทะลุผ่านศีรษะไปโดยตรง