เมิ่งเยี่ยและยินรุ่ยก้าวออกไปข้างหน้าและสำรวจศพทั้งสามอย่างใกล้ชิดเช่นกัน และสิ่งที่พวกเขายืนยันได้คือบาดแผลของจอมยุทธ์ทั้งสามเหมือนกับซากของอสูรมายาก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
ฉินอวี้โม่และทั้งสองต่างหันมองหน้ากันและสีหน้ากลับกลายเป็นเหยเกในทันที
เจ้าของพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้คือสิ่งใดกันแน่…
“กรี๊ดดด ! เจ้าฆ่าพวกเขา !”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นในหูของคนทั้งสามจนทำให้พวกเขาตกใจเล็กน้อย
ไม่ไกลออกไป จางซือฉียืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจและข้างกายของนางก็คือจางซือถงที่เพิ่งลืมตาได้สติเพียงไม่นานและเป็นผู้ที่กรีดร้องออกไป
เมื่อทราบแล้วว่าเมืองแห่งนี้คือเมืองผีดิบ ทั้งสองจึงไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไป และทันทีที่จางซือถงได้สติขึ้นมา ทั้งสองจึงพยายามตามหาบุรุษหนุ่มทั้งสามเพื่อเดินทางออกไปด้วยกัน
ทว่าหลังจากตามหาเป็นเวลานานและไม่พบร่องรอยของพวกเขาแม้แต่น้อย ทั้งสองก็เดินมาที่บริเวณประตูเมืองและสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ในทันที
“เมิ่งเยี่ย เจ้าเองก็มาจากเมืองเทียนยง แม้จะมีความบาดหมางไม่ลงรอยกันบ้าง เจ้าก็ไม่ควรฆ่าพวกเขา”
ในเวลานี้ จางซือถงก็ปล่อยวางความกลัวของตนเองและรีบเข้าไปตรวจสอบเพื่อยืนยันว่าสหายร่วมเดินทางทั้งสามหมดลมหายใจแล้วจริง จากนั้นนางก็ตวัดสายตาจ้องหน้าเมิ่งเยี่ยพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“ข้าไม่ได้ฆ่าพวกเขา”
เมิ่งเยี่ยขมวดคิ้วทันที แม้ไม่ต้องการเสียเวลาเสวนากับสตรีทั้งสอง เขาก็ยังอธิบายออกไปตามความจริง
“หากมิใช่เจ้าก็ต้องเป็นนาง พวกเขาเพียงกล่าววาจาเยาะเย้ยเจ้าเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ถึงขั้นต้องฆ่าแกงกันเลยรึ ?”
สายตาของจางซือถงบรรจบลงที่ฉินอวี้โม่และชี้หน้าพร้อมกับกล่าวตำหนิเสียงดัง
“หุบปาก !”
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจจางซือถงแม้แต่น้อย สายตาของนางยังคงจับจ้องไปที่ศพทั้งสาม ทว่าเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับซากศพเหล่านี้ สีหน้าของนางก็เผยให้เห็นถึงความตกใจทันที
ในเวลานี้ ศพของจอมยุทธ์ทั้งสามกำลังสลายหายไปอย่างช้า ๆ…
“แม่เจ้า ! เกิดเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ?!”
จางซือฉีสังเกตเห็นศพทั้งสามที่ค่อย ๆ สลายหายไปเช่นกันและอุทานเสียงดังขึ้นมา จากนั้นนางก็กวาดสายตามองฉินอวี้โม่ เมิ่งเยี่ยและยินรุ่ยขณะกล่าวด้วยแววตาความรู้สึกที่ซับซ้อน “พวกเจ้าทำอะไรพวกเขา ?!”
“หากข้าคิดจะทำอะไรจริง เจ้าไม่มีโอกาสมายืนเสนอหน้าอยู่ตรงนี้หรอก”
เมื่อศพของทั้งสามสลายกลายเป็นเถ้าถ่านและล่องลอยหายไปในอากาศ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฉะฉานชัดเจน
“เอ่อ…”
ถึงแม้จางซือถงจะไม่ได้มีระดับสติปัญญาที่สูงนัก นางก็เข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ได้ในทันที จากนั้นนางก็ปิดปากเงียบสนิทไป เพียงแต่ในเวลานี้นางก็เชื่อว่าฉินอวี้โม่มิใช่คนที่สังหารบุรุษหนุ่มทั้งสาม
“เหตุใดจู่ ๆ ศพของพวกเขาจึงสลายกลายเป็นเถ้าถ่านได้ล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่หันไปมองยินรุ่ยและวิญญาณร้ายที่ยังคงมีสีหน้าท่าทางปกติก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ตราบใดที่มีผู้ใดตายไปในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้ ศพของพวกเขาจะเปลี่ยนกลายเป็นเถ้าถ่าน และก็มิใช่เพียงทั้งสามคนนั้นหรอก…เราเองก็เช่นกัน”
ยินรุ่ยกล่าวอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องแปลกสำหรับตน เพราะเหตุนั้น เขาจึงยังมีสีหน้าสงบนิ่งอยู่ได้
“คนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ก็ตายในสภาพเช่นนี้รึ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอีกครั้ง หากบาดแผลของทุกชีวิตที่ตายไปก่อนหน้านี้เป็นเหมือนกัน นั่นก็หมายความว่าในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้มีพลังประหลาดบางอย่างที่อธิบายไม่ได้อยู่จริง
“ข้าจำไม่ได้ และก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยตรวจสอบอย่างละเอียดเช่นกัน”
ยินรุ่ยส่ายศีรษะและกล่าวตามความเป็นจริง ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เขาและคนอื่น ๆ ไม่เคยนึกสงสัยในเรื่องราวพิลึกเหล่านี้นัก พวกเขาจึงไม่เคยเห็นหรือสนใจบาดแผลของทุกคนที่ตายไป
“ก่อนหน้านี้ก็มีจอมยุทธ์หลายคนที่เข้ามาในเมืองนี้ ทว่าไม่ทันรอให้วิญญาณร้ายตนก่อนได้มีโอกาสลงมือสังหาร พวกเขาเหล่านั้นก็ตายไปเสียแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขามีบาดแผลเช่นนี้รึไม่นั้น ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน”
วิญญาณร้ายกล่าวถึงความทรงจำของวิญญาณร้ายตนก่อนหน้านี้ การที่ได้รับความทรงจำของวิญญาณร้ายตนก่อนมาก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาหวาดกลัวฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก
สำหรับจอมยุทธ์หลายคนที่ผ่านเข้ามาในเมืองอู๋เริ่นก่อนหน้านี้ วิญญาณร้ายวางแผนหลอกล่อพวกเขาออกไป ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือทำสิ่งใด พวกเขาเหล่านั้นก็ตายไปเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีผู้ใดทราบความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้และวิญญาณร้ายตนก่อนก็ไม่เคยเปิดเผยสิ่งใดกับยินรุ่ย
“เกรงว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับพลังลึกลับนั่น ทว่า…พลังนั่นอยู่ที่ใดกันแน่ ?”
ฉินอวี้โม่มีข้อคาดเดาในหัวใจ ทว่ายังไม่อาจหาคำตอบได้เลยว่าพลังดังกล่าวคือสิ่งใด การที่สามารถสังหารอสูรมายาทรงพลังและจอมยุทธ์ฝีมือดีทั้งสามได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีผู้ใดสัมผัสได้ถือเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
อีกอย่าง…เหตุใดพลังลึกลับนั่นจึงเลือกโจมตีบุรุษหนุ่มทั้งสามแทนที่จะเป็นพวกนางล่ะ ?
“น้องสาม เรารีบไปกันเถอะ เมืองแห่งนี้น่ากลัวเกินไป เราอย่าอยู่ที่นี่อีกเลย”
จางซือถงหวาดกลัวจนแทบร่ำไห้ขณะจับมือจางซือฉีและกล่าวด้วยสีหน้าแววตากังวล น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกลัวอย่างไม่อาจปิดบัง
ที่นี่คือเมืองผีดิบซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องที่น่ากลัวและลึกลับเกินเข้าใจ หากยังอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าพวกนางจะต้องลงเอยในชะตากรรมเดียวกับคนเหล่านั้นหรือไม่…
จางซือฉีกลืนน้ำลายเบา ๆ และตอนนี้นางก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะตามเกาะติดกับเมิ่งเยี่ยอีกต่อไป
“ไปกันเถอะ”
หลังจากกล่าวจบ นางก็จับมือพี่สาวและเดินตรงไปหน้าประตูเมืองทันที
ฉินอวี้โม่ไม่คิดขัดขวางทั้งสองและเพียงปล่อยให้พวกนางจากไป
“บัดซบ ! มันคืออะไรกันแน่ !”
ยินรุ่ยประเคนหมัดใส่รูปปั้นสิงโตที่อยู่ถัดจากตนจนแตกกลายเป็นเสี่ยง ๆ และสบถด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
ตลอดเวลานับร้อยนับพันปีที่ผ่านมา เขาเคยคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะคำสาปของเมืองอู๋เริ่นมาตลอด คิดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วจะมีพลังบางอย่างที่บงการชักใยอยู่เบื้องหลังและเป็นสาเหตุของเรื่องลึกลับมากมาย
“หากพบสิ่งนั้นและกำจัดมันเสีย พวกท่านคิดว่าพวกเราชาวเมืองอู๋เริ่นจะได้มีโอกาสไปผุดไปเกิดรึไม่ ?”
วิญญาณร้ายตนใหม่นี้ชาญฉลาดยิ่งกว่าตนก่อนมาก เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้และมองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดหวั่นเล็กน้อย
ต่อให้เป็นวิญญาณที่ตายไปแล้ว พลังลึกลับที่น่าสะพรึงกลัวนั้นก็ยังทำให้เขาขนลุกซู่ได้เช่นกัน
“มีความเป็นไปได้สูง ทว่าเราจะตามหาพลังนั้นได้อย่างไร ? ตอนนี้เราก็สำรวจทั่วทั้งเมืองอู๋เริ่นอย่างละเอียดแล้ว”
เมิ่งเยี่ยกำหมัดแน่น แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ได้ใจเย็นเหมือนอย่างที่แสดงออกทางภายนอก พลังลึกลับนั่นคือพลังที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดที่เขาเคยพานพบมา
การที่สังหารอสูรมายาทรงพลังได้ในกระบวนท่าเดียวและสังหารจอมยุทธ์ฝีมือดีจากเมืองเทียนยงทั้งสามคนได้โดยที่ไม่มีใครรับรู้ นี่คือระดับพลังที่เหนือชั้นกว่าพวกเขามากนัก
“ใช่ แล้วพลังที่เรียกรวมเหล่าวิญญาณที่หน้าประตูเมืองกับพลังประหลาดนั่นเกี่ยวข้องอย่างไรกันแน่ ?”
ยินรุ่ยขมวดคิ้วและนึกสงสัยเป็นอย่างมาก พลังลึกลับที่เรียกวิญญาณไร้ชีวิตทั้งเมืองไปรวมตัวกันในทุกค่ำคืนและพลังน่าหวาดหวั่นที่สังหารจอมยุทธ์เหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ?
ทุกคนนิ่งเงียบไปทันทีและความรู้สึกในหัวใจกลายเป็นซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
วิญญาณร้ายและยินรุ่ยอยู่ในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้มานาน แม้กล่าวว่าคุ้นชินกับเมืองแห่งนี้พอสมควร ทั้งสองก็ยังรู้สึกหวาดกลัวเมื่อนึกถึงพลังน่าสะพรึงกลัวนั้น
“เรากลับไปหารือกันก่อนเถอะ เมืองอู๋เริ่นในตอนกลางวันเป็นเมืองปกติทั่วไป หากอยากจะแสดงอิทธิฤทธิ์ใด พลังนั่นคงไม่ปรากฏในตอนกลางวันแสก ๆ หรอก”
ฉินอวี้โม่ถอนหายใจยาวขณะพยายามสงบสติของตนเองเช่นกัน
“ตกลง”
ยินรุ่ยพยักศีรษะตอบรับและทุกคนมุ่งหน้าเข้าไปในจวนเจ้าเมืองด้วยกัน ครานี้แม้แต่วิญญาณร้ายก็อยู่ร่วมกับพวกเขาและเข้าไปในจวนเจ้าเมืองเช่นกัน
ภายในจวนเจ้าเมืองของเมืองอู๋เริ่น ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ นั่งรวมกันในโถงประชุมด้วยความเงียบ เมื่อนึกถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ทุกคนก็แทบรักษาความสงบนิ่งภายในใจไว้ไม่ไหว
มีเพียงฉินอวี้โม่เท่านั้นที่ยังคงดูใจเย็นและสงบนิ่งมากที่สุด เวลานี้นางก็กำลังเฝ้ารอมารยาโดยหวังว่ามันจะนึกขึ้นมาได้ว่าเคยเห็นบาดแผลดังกล่าวจากที่ใด
“ช่วยด้วยยย !”
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นทำลายความเงียบภายในห้องโถง
ทุกคนก็ไม่รอช้าและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วก่อนพุ่งตรงไปยังทิศทางของต้นเสียงนั้นทันที