ภายในหลุมลึกใต้ดิน ดวงตาขนาดใหญ่ซึ่งเป็นร่างของเนตรปีศาจย่อส่วนเล็กลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ
หานโม่ฉือเพียงโบกมือเบา ๆ และเก็บมันเอาไว้
ฉินอวี้โม่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างชัดเจน ทว่ายังไม่เอ่ยถามสิ่งใดออกไป
หากพิจารณาจากปฏิกิริยาของเนตรปีศาจเมื่อครู่ หานโม่ฉือคงจะมีพลังบางอย่างที่ทำให้มันหวาดกลัวและเลือกยอมจำนนด้วยความเต็มใจเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ภายในร่างกายของหานโม่ฉือก็น่าจะมีความลับบางอย่างซ่อนไว้
ในชาติภพก่อน ฉินอวี้โม่ไม่เคยถามความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของหานโม่ฉือและไม่เคยทราบว่าเขามาจากที่ใด ในภพนี้ นางก็ไม่คิดที่จะถามสิ่งใดเช่นกัน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เชื่อว่าหานโม่ฉือจะบอกทุกอย่างกับนางด้วยตัวเองและนางก็จะเชื่อเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยอย่างแน่นอน…
บนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหนวดประหลาดก่อนหน้านี้ จู่ ๆ ร่างของจางซือถงก็ปรากฏให้เห็น เวลานี้นางหมดสตินอนนิ่งไปและยังไม่อาจทราบได้ว่าเพียงหวาดกลัวจนเป็นลมหรือได้รับบาดเจ็บใด ๆ
“ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”
หานโม่ฉือจับมือบางของฉินอวี้โม่ไว้แน่นขณะเงยหน้าขึ้นมองด้านบน
จากนั้น เขาก็โอบร่างของนางไว้และเหาะกลับขึ้นไปบนพื้นดินอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเยี่ยและคนอื่น ๆ ซึ่งรออย่างเป็นกังวลอยู่บนพื้นดินก็ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อทั้งสองปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
“อวี้โม่ เจ้าเป็นอะไรรึไม่ ?”
ยินรุ่ยเป็นคนแรกที่เรียกสติกลับคืนมาและเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นไร”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนชี้ไปที่หานโม่ฉือข้างกายและกล่าวออกไป “นี่คือสามีของข้า…หานโม่ฉือ”
“หานโม่ฉือรึ ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ใดสักแห่ง”
เมิ่งเยี่ยกล่าวพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูอย่างประหลาด
ในขณะเดียวกัน จางซือฉีก็มองหานโม่ฉือด้วยแววตาแสดงความรู้สึกซับซ้อน
เดิมทีนางคิดว่าฉินอวี้โม่เป็นเพียงสตรีธรรมดา ๆ ไร้ความสามารถจากตระกูลเล็กในเมืองรอง ทว่าการได้เห็นพลังของอีกฝ่ายในช่วงสั้น ๆ นี้ทำให้นางตกตะลึงไม่น้อย
ฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งที่เหนือกว่านางเท่านั้น ทว่ารูปลักษณ์ความงามของอีกฝ่ายก็ยังยากที่จะหาผู้ใดเทียบเทียม ซ้ำร้ายตอนนี้ยังมีสามีที่แข็งแกร่งและหล่อเหลาปรากฏตัวขึ้นมาเช่นนี้อีก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยการที่มีพรสวรรค์เป็นอันดับต้น ๆ ของเมืองเทียนยงและมีหน้าตาที่หล่อเหลา จางซือฉีเชื่อมั่นมาเสมอว่าเมิ่งเยี่ยคือผู้ที่โดดเด่นที่สุดในดินแดนและมีเพียงผู้ที่เพียบพร้อมอย่างเขาเท่านั้นที่จะคู่ควรกับตน อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นหานโม่ฉือต่อสู้เพื่อปกป้องฉินอวี้โม่ จางซือฉีก็ตระหนักว่าเมิ่งเยี่ยยังด้อยกว่าเขามากนัก
ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือพรสวรรค์ หานโม่ฉือล้วนเหนือกว่าเมิ่งเยี่ยในทุกด้าน หากต้องเปรียบเทียบกันระหว่างทั้งสอง คนหนึ่งก็เปรียบดั่งแสงจันทร์โดดเด่นในท้องฟ้ายามค่ำคืนในขณะที่อีกคนเป็นเพียงหนึ่งในแสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้าเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น จางซือฉีก็ไม่ได้ชื่นชอบเมิ่งเยี่ยจากใจจริงตั้งแต่แรก เมื่อได้พบกับหานโม่ฉือที่เพียบพร้อมมากกว่า นางจึงเกิดความปรารถนาที่จะพิชิตใจเขา
“ท่านจอมยุทธ์ ข้าและฉินอวี้โม่มีเรื่องเข้าใจผิดกันก่อนหน้านี้และเกิดความขัดแย้งกันเล็กน้อย แต่ไม่ว่าฉินอวี้โม่จะทำร้ายหรือกล่าววาจาตำหนิข้าใด ๆ ข้าก็ไม่ถือโทษโกรธเคืองนาง”
นางถือโอกาสกล่าวและแสดงสีหน้าท่าทางน่าเห็นใจ ในขณะเดียวกันก็กล่าวเป็นนัย ๆ ให้ฉินอวี้โม่ดูกลายเป็นสตรีจิตใจหยาบคายและไร้เหตุผล
เมื่อได้ยินวาจาของจางซือฉีและเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ถึงกับส่ายศีรษะเบา ๆ ‘คุณหนูสามแห่งตระกูลจางหน้าด้านหน้าทนชะมัด’ อย่างไรก็ตาม สีหน้าของนางไม่แสดงความรู้สึกใดออกไป จางซือฉีผู้นี้แสร้งแสดงความอ่อนแอและคิดยั่วยวนหานโม่ฉือซึ่งเป็นความคิดที่น่าขันยิ่งนัก สตรีทุกคนที่เคยคิดหมายปองหานโม่ฉือและพยายามแย่งชิงเขาก่อนหน้านี้ล้วนลงเอยไม่ดีนัก
“จริงรึ ?”
หานโม่ฉือมองจางซือฉีด้วยแววตาเย็นชาก่อนละสายตาอย่างรวดเร็ว เขาไม่จำเป็นต้องคิดให้มากมายด้วยซ้ำและทราบได้ทันทีว่าสตรีผู้นี้เป็นคนอย่างไร
“ใช่แล้ว ไม่ว่าฉินอวี้โม่จะทำให้ข้าอับอายเพียงใด ข้าก็ไม่ถือโทษโกรธเคืองนาง”
จางซือฉียังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของหานโม่ฉือและคิดไปว่าท่าทางอ่อนแอน่าเห็นใจของตนดึงดูดความสนใจของเขาได้แล้ว นางมั่นใจว่าตนสามารถทำลายความสัมพันธ์ระหว่างหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ได้สำเร็จ
“โม่เอ๋อร์ ในเมื่อนางกล่าวเช่นนั้น เจ้าก็ควรที่จะเติมเต็มความปรารถนาของนาง”
หานโม่ฉือสบตาฉินอวี้โม่ด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมและกล่าวเบา ๆ ด้วยวาจาที่จางซือฉีไม่อาจเข้าใจความหมายได้
ไม่เพียงแต่จางซือฉีเท่านั้น ทว่าเมิ่งเยี่ยและคนอื่น ๆ ก็ยังไม่เข้าใจความหมายของเขาเช่นกัน
“ช่างมันเถอะ ข้ากลัวว่ามือจะแปดเปื้อนเสียเปล่า ๆ”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ แน่นอนว่านางเข้าใจความหมายของบุรุษคนรักเป็นอย่างดี
“กลัวว่ามือจะแปดเปื้อน? เจ้าหมายความว่าอะไรกัน ?”
จางซือฉีชะงักไปทันทีทว่ายังไม่เข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่นัก
“ในเมื่อเจ้ากล่าวว่าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองไม่ว่าข้าจะทำให้เจ้าอับอายเพียงใด สามีของข้าจึงเสนอให้ข้าทำให้เจ้าอับอายอย่างไม่ปรานียังไงล่ะ”
ฉินอวี้โม่ก็ ‘เมตตา’ อธิบายให้อีกฝ่ายได้ทราบ ทว่านั่นทำให้คุณหนูสามแห่งตระกูลจางแทบกระอักเลือดออกมา
“พรืดดด ! ฮ่า ๆ ๆ !”
เวลานี้ เมิ่งเยี่ยเข้าใจได้อย่างชัดเจนแล้วและอดหัวเราะลั่นอย่างสาแก่ใจไม่ได้
พวกเขาไม่ชอบหน้าจางซือฉีเลยสักนิดและไม่มีความรู้สึกดีใด ๆ ให้กับสตรีผู้นี้ หากมิใช่เพราะนางเป็นสตรี เกรงว่าเมิ่งเยี่ยและยินรุ่ยคงจะจับนางโยนออกจากเมืองอู๋เริ่นไปนานแล้ว
“ฉินอวี้โม่ เจ้านี่มันน่ารังเกียจยิ่งนัก !”
จางซือฉีกัดฟันกรอดและกล่าวด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
นางไม่คิดเลยว่าหานโม่ฉือจะไม่หลงเชื่อในการแสดงละครเสแสร้งของตนและยังคงหลงใหลฉินอวี้โม่อย่างไม่ชายตามองผู้ใด การที่ถูกทำให้อับอายขายหน้าต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ แม้แต่จางซือฉีก็ไม่มีทางทนรับได้
“จางซือฉี คนที่น่ารังเกียจก็คือเจ้าต่างหาก !”
ฉินอวี้โม่ยังไม่ทันได้ตอบโต้สิ่งใดเมื่อเสียงหนึ่งดังมาจากระยะไกล
ตุบ !
เสียงหนึ่งดังขึ้นเมื่อใครอีกคนปรากฏตัวขึ้นมาจากหลุมลึก คนผู้นั้นก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นจางซือถงที่ถูกเนตรปีศาจจับตัวไปนั่นเอง
“นางหนักเกินไปจริง ๆ นายท่าน…คราวหน้าสั่งให้เจ้ามังกรทำหน้าที่พวกนี้เถอะ”
ในเวลานี้เสียงบ่นอุบด้วยความไม่พอใจก็ดังขึ้นมาซึ่งเป็นเสียงของกิเลนอัคคี—อสูรคู่ใจของหานโม่ฉือนั่นเอง
เมื่อหานโม่ฉือโอบร่างฉินอวี้โม่และเหาะขึ้นมาก่อนหน้านี้ กิเลนอัคคีได้รับคำสั่งให้พาจางซือถงผู้หมดสติขึ้นมาและปลุกนางให้ได้สติระหว่างทาง
เมื่อได้ยินวาจาของกิเลนอัคคี จางซือถงก็ไม่คิดโกรธเคืองแม้แต่น้อยขณะเดินตรงเข้าไปหาจางซือฉีอย่างรวดเร็ว
เพี๊ยะ !
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังขึ้นเมื่อนางง้างมือตบหน้าน้องสาวอย่างแรง
“พี่รอง ท่านตบข้าทำไมกัน ?”
จางซือฉีตกตะลึงและสบตาจางซือถงด้วยน้ำตารื้นขณะแสร้งทำเป็นใสซื่อไม่ทราบความหมายของอีกฝ่าย
“เหอะ อย่าเสแสร้งทำตัวไร้เดียงสาไปหน่อยเลย !”
เพี๊ยะ !
จางซือถงไม่สนใจและตบใบหน้าจางซือฉีอีกคราก่อนกล่าวเสียงดัง “จางซือฉี แม้ข้าจะไม่ฉลาดเป็นเลิศ ข้าก็มิใช่คนโง่เขลา ! ตอนอยู่ที่ประตูเมืองก่อนหน้านี้ หากเจ้าไม่ผลักข้าเข้าไป ข้าจะถูกเจ้าตัวประหลาดนั่นจับตัวไปได้อย่างไรกัน ? ข้าพยายามช่วยเจ้าทุกวิถีทาง แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะทำเช่นนั้นกับข้าได้ เราเป็นพี่น้องกันทว่าเจ้ากลับผลักข้าเข้าไปตายได้อย่างอำมหิต !”
นับตั้งแต่ถูกเนตรปีศาจจับตัวไป จางซือถงก็คิดว่าตนจะต้องตายอย่างแน่นอน ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะเข้ามาช่วยตนไว้
แม้แต่การที่นางมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ นั่นก็มีสาเหตุมาจากจางซือฉีน้องสาวของนางเช่นกัน
จางซือถงไม่เคยคิดฝันว่าฉินอวี้โม่ที่ตนกล่าววาจาดูหมิ่นจะเป็นคนที่เข้ามาช่วยชีวิตตนในช่วงเวลาวิกฤติ ทว่าน้องสาวแท้ ๆ ที่นางพยายามปกป้องมาตลอดกลับผลักนางเข้าไปหาความตายได้อย่างไร้เยื่อใย
นางได้คิดไตร่ตรองถึงเรื่องราวที่ผ่านมาที่ตนพยายามปกป้องจางซือฉีและทำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรไปมากมายหลายอย่าง ตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไป ในที่สุดนางก็ตาสว่างเสียที…เรื่องร้ายทั้งหมดล้วนมีสาเหตุมาจากน้องสามของตนซึ่งทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา
“พี่รอง ท่านเข้าใจผิดไปแล้ว มันมิใช่อย่างที่ท่านคิด”
จางซือซีก็ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จางซือถงจะโกรธแค้นนางขึ้นมาจริง ๆ สีหน้าของคุณหนูสามแห่งตระกูลจางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะพยายามอธิบายแก้ตัวอย่างรวดเร็ว
“เข้าใจผิดงั้นรึ ? เหอะ เจ้าคงคิดว่าข้าโง่มากสินะ !”
จางซือถงไม่ไว้หน้าจางซือฉีแม้แต่น้อยขณะส่ายศีรษะเบา ๆ และยิ้มอย่างเยือกเย็น