คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 81 งานเลี้ยงอาหารค่ำในพระราชวัง

หลังจากกลับถึงจวนตระกูลฉินแล้ว ฉินอวี้โม่ก็บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดในสมาคมช่างหลอมให้ฉินอี้เฟยและฉินเฟินได้รับรู้เพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นกังวล

แน่นอนว่าฉินเฟินและฉินอี้เฟยรู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างมากที่ได้ทราบว่า ฉินอวี้โม่จะได้เรียนรู้ศาสตร์แห่งการหลอมอาวุธจากสุดยอดช่างหลอมผู้มีชื่อเสียงซึ่งเป็นที่ยอมรับไปทั่วทั้งแผ่นดินอย่างปรมาจารย์เยว่เหยา

ทว่าแม้จะชื่นชมและภูมิใจในความเก่งกาจของฉินอวี้โม่มาก แต่ทั้งสองก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ทั้งฉินเฟินและฉินอี้เฟยต่างก็ย้ำเตือนสาวน้อยของพวกเขาว่าอย่าได้ประมาท พวกเขากำชับให้นางระวังตัวเองในทุกเรื่อง หากมีสิ่งใดที่นางไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเองก็ให้แจ้งพวกเขาทันที

ครึ่งเดือนถัดมา ฉินอวี้โม่ยังคงเข้าออกสมาคมช่างหลอมอย่างต่อเนื่องเพื่อศึกษาวิธีการหลอมและขั้นตอนการสร้างสรรค์สิ่งหลอม

ในช่วงนี้สาวใช้น้อยถูกคุณหนูของนางสั่งให้ฝึกฝนอยู่ที่ตระกูลฉินโดยไม่ต้องติดตามนางไป หลังจากผ่านพ้นการฝึกฝนภายในป่าแสงจันทร์นานกว่าหกเดือน เสี่ยวโร่วก็ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแล้ว  ตอนนี้นางกำลังพยายามหาทางทะลวงขึ้นไปให้ถึงขอบเขตนภมายาให้ได้ ในเมื่อยังพอเหลือเวลาก่อนที่การสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักจะเริ่มขึ้น  ฉินอวี้โม่จึงอยากให้สาวใช้น้อยใช้ช่วงเวลานี้ลองพยายามทำให้สำเร็จ

เมื่อทราบว่าเสี่ยวโร่วเกือบจะก้าวข้ามขอบเขตได้แล้ว ฉินอี้เฟยก็ยื่นมือเข้าช่วยอย่างใจกว้าง ทุกครั้งที่กลับมาจากสมาคมโอสถเขาก็จะนำโอสถติดไม้ติดมือกลับมาให้เสี่ยวโร่วด้วยเสมอ ซึ่งโอสถที่คุณชายใหญ่เลือกมาให้สาวใช้น้อยก็จะมีเฉพาะโอสถที่เป็นประโยชน์ในการทะลวงพลังและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ เท่านั้น

ในตอนนี้ แม้ว่าเสี่ยวโร่วจะยังไม่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภมายา แต่นางก็รู้สึกว่าสภาวะพลังภายในร่างกายของตัวเองนั้นแข็งแกร่งและมั่นคงมากยิ่งขึ้นและสาวน้อยก็เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าอีกไม่นานนัก นางก็คงจะทะลวงพลังข้ามขอบเขตขึ้นไปเป็นจอมยุทธ์นภมายาได้แล้ว

ทว่าสถานการณ์ทางด้านฉินอวี้โม่กลับแตกต่างออกไป นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูยังไม่พึงพอใจกับผลงานของตนมากนัก นางพบว่าการศึกษาวิชาการหลอมของนางในช่วงต้นเป็นไปค่อนข้างช้าและจนถึงเวลานี้ฝีมือของนางก็ยังไม่ก้าวหน้าไปสักเท่าไหร่  แต่กระนั้นเมื่อผู้เฒ่าเยว่เหยาเห็นว่าคุณหนูตระกูลฉินใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนในการหลอมผลิตภัณฑ์ระดับต่ำออกมาได้ เขาก็พยักหน้าด้วยความชื่นชม

แม้ว่าตัวฉินอวี้โม่จะไม่พอใจกับความเร็วในการเรียนรู้ของตัวเอง ทว่าผู้เฒ่าเยว่เหยากลับทึ่งในพรสวรรค์ในการหลอมของนางไม่น้อย และถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป การจะหลอมอุปกรณ์กึ่งสำเร็จรูปคุณภาพดีออกมาให้ได้ก็คงใช้เวลาไม่เกินครึ่งปี

ต้องทราบก่อนว่า โดยปกติแล้ว ‘ศาสตร์แห่งการหลอมสร้าง’ ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดายเลยในโลกมายาแห่งนี้ การจะหลอมผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมาให้ได้โดยทั่วไปผู้หลอมจะต้องฝึกฝนอยู่นานหลายปี ดังนั้นแล้วพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่เช่นนี้จึงถือว่าน่าตกใจมาก

อย่างไรก็ตาม วันนี้ฉินอวี้โม่ไม่มีเวลาไปที่สมาคมช่างหลอม เหตุผลก็เนื่องมาจากช่วงสายของวันนี้ทางตระกูลฉินของนางมีแขกมาเยือน

ฉินอวี้โม่รีบมายังเรือนรับรองของตระกูลเมื่อมีบ่าวรับใช้แจ้งว่ามีแขกมารอพบ ซึ่งในทันทีที่มาถึง คุณหนูตระกูลฉินก็ยิ้มกว้างเพราะแขกของนางนั้นมีนามว่า ฉีอวี้ ฉีฉี และหลิงเฟิง

“อวี้โม่ เจ้านี่น่าเบื่อจริง ๆ ในเมื่อมาที่นครไป๋อวิ๋นตั้งหลายวันแล้ว เหตุใดถึงไม่คิดจะไปเยี่ยมข้าบ้างเลย”

หลิงเฟิงเป็นคนตรงไปตรงมา เขาเอ่ยคล้ายต่อว่าออกไปตรง ๆ ทว่าถึงแม้เขาจะกำลังบ่นแต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้มีอารมณ์โกรธอยู่เลย เห็นได้ชัดว่าเขาแค่แกล้งหยอกเย้าฉินอวี้โม่เท่านั้น

“ฮ่า ๆ ต้องขอโทษจริงๆ ช่วงนี้ข้ายุ่งมาก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย เดิมทีนางคิดว่าเมื่อเข้าไปในโรงเรียนราชสำนัก นางก็คงจะได้เจอกับสหายแซ่หลิงผู้นี้อยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเขา  อย่างไรก็ตาม หากจะให้กล่าวเหตุผลนี้ออกไปฉินอวี้โม่ก็ทำไม่ได้

“ในเมื่อเจ้าทำผิด งั้นก็เชิญเราไปเลี้ยงอาหารที่ตึกเต๋อเยว่เป็นการไถ่โทษแล้วกัน”

หลิงเฟิงแสร้งเอ่ยเสียงดังก่อนจะยิ้มกว้าง เขาทราบดีอยู่แล้วว่าฉินอวี้โม่คงจะมีภารกิจให้ทำมากมาย สิ่งที่เขากล่าวไปก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่หยอกล้อนางเท่านั้น

“ย่อมได้ เช่นนั้นเราไปกันเถอะ”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างแจ่มใส  คุณหนูตระกูลฉินพาเหล่าสหายผู้สูงศักดิ์ของนางและเสี่ยวโร่วออกจากจวนก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตึกเต๋อเยว่

เมื่อวานนี้ผู้เฒ่าเยว่เหยาเพิ่งจะกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ว่าอย่ามัวแต่คร่ำเคร่งกับการเรียนมากจนเกินไป ท่านอาจารย์บอกว่านางควรจะพักผ่อนบ้าง  เมื่อมีแขกมาเยือนในวันนี้ คุณหนูสี่จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะหยุดพักเสียเลย

ใช้เวลาไม่นานนักสหายหนุ่มสาวทั้งห้าก็มาถึงตึกเต๋อเยว่ พวกเขาสั่งจองห้องอาหารส่วนตัวบนชั้นสอง

เถ้าแก่ร้านยังคงอ่อนน้อมกับฉินอวี้โม่มากและยังดูคล้ายจะมากยิ่งขึ้นกว่าครั้งก่อนจนทำให้แม้แต่สหายราชนิกุลทั้งสามที่คุ้นชินกับการได้รับความเคารพก็ยังรู้สึกประหลาดใจ

อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่คิดจะอธิบายเรื่องนี้ นั่นก็เพราะมันเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของนางกับหานโม่ฉือ อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูยังไม่แน่ใจว่าควรจะเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้ดีหรือไม่

ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงเวลานี้ ฉินอวี้โม่ไม่ได้พบหน้าหานโม่ฉือมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว ในตอนนี้นางไม่รู้เลยว่าเขากำลังทำสิ่งใดอยู่ หรือมีงานยุ่งมากเพียงใด

เมื่อเข้ามานั่งในห้องอาหาร พวกเขาก็สั่งอาหารหลากหลายอย่างก่อนจะนั่งพูดคุยสนทนาเรื่องสัพเพเหระและแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบกันตามประสาสหายที่ไม่ได้รวมกลุ่มกันมานาน

“อวี้โม่ แท้จริงแล้ววันนี้ที่เรามาพบเจ้าก็เพราะว่ามีธุระบางอย่าง”

ผ่านไปพักใหญ่องค์ชายฉีอวี้ก็เอ่ยเข้าประเด็น ในที่สุดพวกเขาก็หาข้ออ้างในการออกจากวังมาได้ โดยปกติแล้วพวกเขาจะยุ่งอยู่กับการศึกษาวิชาการต่าง ๆ รวมถึงฝึกยุทธ์และพลังมายาจนไม่มีโอกาสได้ออกไปไหน หรือต่อให้พวกเขาหาเวลาว่างได้ เสด็จพ่อและเสด็จแม่ก็ไม่ให้ทั้งเขาและฉีฉีไปไหนมาไหนตามลำพังอยู่ดีเพราะเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัย

“อ่า… เช่นนั้นก็เชิญบอกข้าได้”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับ

“คือว่า อีกไม่ถึงครึ่งเดือนโรงเรียนราชสำนักก็จะเปิดรับนักเรียนเข้าคัดเลือกแล้ว ตอนนี้ผู้คนทั่วทุกสารทิศจากทุกขุมกำลังต่างก็มาเยือนยังนครไป๋อวิ๋น ดังนั้นทางวังหลวงของเราจึงมีการจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำขึ้นในพระราชวัง จุดประสงค์ก็เพื่อจะสานสัมพันธ์กับขุมกำลังใหญ่น้อยทั้งหลายและยังเปิดโอกาสให้เหล่าผู้ที่จะเข้าคัดเลือกได้มาพบปะกันเพื่อทำความคุ้นเคย เสด็จแม่ทรงทราบว่าเจ้ามาที่นครไป๋อวิ๋น ดังนั้นพระองค์จึงอยากเชิญเจ้าเข้าไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ว่า”

องค์ชายสามฉีอวี้บอกเล่า หากนับรวมทั้งหมดแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักฉินอวี้โม่มาได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ อีกทั้งยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับตัวนางมากนัก ทว่าพวกเขาก็รับรู้ได้ว่าฉินอวี้โม่น่าจะเป็นสตรีที่ไม่ค่อยชื่นชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ ดังนั้นทั้งเขา องค์หญิงน้อย และหลิงเฟิงจึงต้องออกมาเชื้อเชิญนางด้วยตัวเอง

คราแรกที่ได้ฟังฉินอวี้โม่ก็อยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายขององค์ชายสาม นางก็พยักหน้าอย่างนุ่มนวล

จนถึงตอนนี้ก็นับว่าผ่านมานานมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่นางได้พบเจอฮองเฮาเหวินหย่า ฉินอวี้โม่รู้สึกถูกชะตากับสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้อย่างน่าประหลาด เมื่อองค์ฮองเฮาผู้อ่อนโยนตั้งใจออกโอษฐ์เชิญเอง คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย

“วิเศษจริง ๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่อวี้โม่จะต้องตอบตกลง”

องค์หญิงฉีฉียิ้มร่าพลางปรบมือชอบใจก่อนจะกล่าวต่อ “พี่เสี่ยวโร่วเองก็จะไปด้วยใช่ไหม ?”

ฉินอวี้โม่หันหน้าไปมองเสี่ยวโร่วแล้วพยักหน้าให้นาง เมื่อเห็นเช่นนั้นสาวใช้น้อยก็พยักหน้าอย่างดีใจ

กว่ามื้ออาหารแสนอร่อยที่ตึกเต๋อเยว่นั้นจะสิ้นสุดลงก็เป็นปลายยามโฉ่วแล้ว คนทั้งห้าออกมาจากตึกเต๋อเยว่ก่อนจะพากันแวะไปเดินเล่นชมดูและเลือกซื้อสิ่งของถูกใจตามร้านรวงต่าง ๆ ภายในเมืองหลวง เป็นเพราะโอกาสในการออกจากพระราชวังของสหายจากพระราชวังทั้งสามมีไม่มากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการใช้เวลาในวันนี้ให้คุ้มค่าที่สุด องค์หญิงฉีฉีนั้นชี้ชวนฉินอวี้โม่ดูชมสถานที่ต่าง ๆ ภายในเมืองเสียงเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุด

และกว่าการเดินเล่นเที่ยวชมเมืองจะสิ้นสุดเวลาก็ล่วงเลยถึงยามเฉินแล้ว สหายทั้งห้าบอกลากัน หนุ่มสาวเชื้อพระวงศ์ทั้งสามคนเดินทางกลับไปยังพระราชวังทันทีโดยมีฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วยืนส่งอยู่หน้าพระราชวัง

ที่กล่าวว่าทั้งหมดเป็นเชื้อพระวงศ์ก็เป็นเพราะหลิงเฟิงผู้โผงผางนั้นเป็นสหายสนิทขององค์ชายฉีอวี้และองค์หญิงน้อยฉีฉี  บิดาของหลิงเฟิงมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงอ๋องและยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับองค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวย  ปกติแล้วหลิงเฟิงมักจะศึกษาตำราอยู่ภายในวังหลวง นั่นจึงทำให้ทั้งสามคนได้เจอกันบ่อยครั้งจนกลายเป็นสหายสนิทกันในที่สุด

หลังจากที่สหายผู้สูงศักดิ์ทั้งสามคนกลับไปแล้ว ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็เดินทางกลับไปยังตระกูลฉิน

และในทันทีที่มาถึงตระกูลฉิน พวกเขาก็ได้รับเทียบเชิญจากพระราชวัง ผู้นำตระกูลฉินและเหล่าอัจฉริยะแห่งตระกูลถูกเชิญให้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในอีกสามวันข้างหน้า

ฉินอวี้โม่แจ้งแก่ท่านปู่ฉินเฟินในระหว่างมื้อค่ำว่านางและเสี่ยวโร่วก็จะไปร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย หลังจากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็กลับไปยังห้องพักของตัวเอง

“เสี่ยวโร่ว ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ? มีสัญญาณว่าจะก้าวข้ามขอบเขตบ้างหรือยัง ?”

ฉินอวี้โม่อยากให้เสี่ยวโร่วได้เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักพร้อมกับนางด้วย ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนการคัดเลือกก็จะเริ่มขึ้นแล้ว แน่นอนว่านางหวังให้เสี่ยวโร่วทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้ก่อน  หากทำเช่นนั้นได้ไม่ว่าการสอบจะยากเย็นเท่าไหร่ เสี่ยวโร่วก็คงจะสอบผ่านได้อย่างไม่มีปัญหา

“คุณหนูไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้ามั่นใจมากว่าจะสามารถทะลวงพลังได้ก่อนที่การคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักจะเริ่มแน่นอน”

เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ นางรู้สึกว่าใกล้จะทำลายโซ่ตรวนแห่งขอบเขตนภมายาได้แล้ว หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดนางคาดว่าอีกประมาณสองวันก็คงจะเป็นจอมยุทธ์นภมายาได้อย่างแน่นอน

ฉินอวี้โม่พูดคุยกับเสี่ยวโร่วอีกสองสามประโยคก่อนจะบอกให้สาวน้อยไปพักผ่อน

อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูเข้ามาในห้องนอนของตัวเองก่อนจะเดินไปที่เตียงกว้าง ในหลายวันมานี้ บางทีนางอาจจะคร่ำเคร่งมากเกินไปจนเกิดความอ่อนล้าสะสมอย่างไม่รู้ตัว เมื่อได้หยุดพักร่างกายจึงโหยหาการพักผ่อน อีกทั้งวันนี้ที่ได้เดินเล่นทั่วเมืองก็ทำให้ความง่วงเริ่มจู่โจม หลังจากอาบน้ำชำระล้างร่างกายเสร็จคุณหนูคนงามก็อยากจะล้มตัวลงนอนในทันที

ทว่าขณะที่ฉินอวี้โม่กำลังจะเอนหลังลงบนเตียง จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าภายในห้องมีคนอื่นอยู่ด้วย !

“โม่ฉือ เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?!”

ฉินอวี้โม่ร้องเสียงดังและรีบเด้งตัวขึ้นมาอยู่ในท่ายืน คุณหนูคนงามขมวดคิ้วจ้องมองหานโม่ฉือที่กำลังมีรอยยิ้มอ่อน ๆ ปรากฏบนใบหน้า

หานโม่ฉือพยักหน้าลงครั้งหนึ่งโดยไม่กล่าวสิ่งใด บนใบหน้าหล่อเหลาคมคายมีร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าอย่างหนักหน่วงปรากฏให้เห็น

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ? ดูเหมือนเจ้าซูบลงไปนะ”

เมื่อเห็นอาการเช่นนั้นของบุรุษผู้แข็งแกร่ง ฉินอวี้โม่ก็รีบทิ้งความขุ่นเคืองที่เขาทำให้นางตกใจ  ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แม้จะรู้ดีว่าหานโม่ฉืออาจจะไม่ตอบคำถามนี้ ทว่านางก็ยังอยากจะถามออกไปอยู่ดี

หานโม่ฉือส่ายหน้า เขาหลบสายตาชั่ววูบหนึ่งก่อนจะหันมามองสบตาคู่งามอย่างแน่วแน่ตามเดิม

“อวี้โม่ขอให้เชื่อใจข้า เรื่องนี้ข้าจะบอกเจ้าในภายหลัง แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เจ้าควรรู้”

สิ้นวาจานั้น หานโม่ฉือก็หยุดไปชั่วครู่ เขากำลังมองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าและแววตาที่เป็นกังวล

“โม่ฉืออย่างมองข้าเช่นนั้น ข้าไม่ใช่สตรีไร้เหตุผล เรื่องนี้เจ้าวางใจได้”

ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทางกังวลใจจากบุรุษมนุษย์น้ำแข็ง เรื่องนี้คนตรงหน้าคงจะไม่สามารถบอกนางในตอนนี้ได้จริง ๆ และเขาก็คงกลัวว่านางอาจจะโกรธ สาวนักฆ่าในร่างคุณหนูเดินเข้าไปใกล้ผู้ชายของนาง

“ข้าเข้าใจ แต่ข้าเคยสัญญากับเจ้าไปตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าจะไม่ปิดบังเรื่องใดกับเจ้า”

หานโม่ฉือจับมือบางของสตรีเจ้าของหัวใจก่อนจะฉุดดึงร่างบางให้นั่งลงข้างกาย

ในเวลานี้หานโม่ฉือยังไม่มั่นใจในสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทุกอย่างในเรื่องนี้ดูมืดมนและคลุมเครือไปหมด หากบอกฉินอวี้โม่ไปตอนนี้ เขากลัวว่าจะทำให้นางต้องเป็นกังวลไปด้วย ดังนั้นหานโม่ฉือจึงอยากจะบอกเรื่องนี้กับนางหลังจากเขารู้เรื่องราวกระจ่างชัดและทำการสืบสวนอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว

เพราะรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของบุรุษตรงหน้า คุณหนูคนงามจึงเอามือสัมผัสใบหน้าของมนุษย์น้ำแข็งขี้กังวลพลางส่งรอยยิ้มอ่อนหวานไปให้  ….มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจคนได้รับผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

แววตาของหานโม่ฉือในตอนนี้ดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน สิ่งที่เขาแบกรับอยู่คงจะหนักหนาไม่น้อย แม้กระนั้นเขาก็ยังไม่ยินยอมจะให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเป็นกังวลไปด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่เคยลืมเลือนคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อนางเลย  สิ่งที่เขาแสดงออกในวันนี้ทำให้ฉินอวี้โม่รู้ว่าในห้วงคำนึงของเขามีนางอยู่เสมอและนั่นก็แสดงว่าเขารักนางจากหัวใจ  คนผู้นี้ต้องการจะอยู่เคียงคู่กับนางไปตลอดชีวิตอย่างแท้จริง

ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นและเดินอ้อมไปด้านหลังของหานโม่ฉือพลางใช้มือบางบีบนวดไหล่แข็งแรงนั้นอย่างนุ่มนวลแล้วเปลี่ยนไปนวดขมับให้เพื่อคลายความเหนื่อยล้า

เมื่อได้เห็นร่างกายที่ซูบผอมและใบหน้าแสนอ่อนล้าของบุรุษอันเป็นที่รักใกล้ ๆ เช่นนี้ จู่ ๆ คุณหนูคนงามก็รู้สึกปวดร้าวในหัวใจ

“โม่ฉือ เจ้าอยากจะนอนพักสักครู่หรือไม่ ?”

เดิมที ถ้าหากหานโม่ฉือไม่เข้ามา ฉินอวี้โม่ก็คงจะล้มตัวลงนอนและงีบหลับไปแล้ว ทั้งความเหนื่อยสะสมมาหลายวันและวันนี้นางตื่นมาอ่านตำราตั้งแต่เช้า รวมกับที่ได้ออกไปด้านนอกทำให้นางรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

คุณหนูผู้เลอโฉมอดไม่ได้ที่จะดึงร่างหานโม่ฉือและพาตรงไปที่เตียง

“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าจะนอนที่ไหน ?”

ด้วยน้ำเสียงแสนห่วงใยของฉินอวี้โม่ทำให้หานโม่ฉือไม่กล้าปฏิเสธ เขาพยักหน้าอย่างว่าง่ายและยอมให้นางจับจูงมือไป ก่อนจะนอนลงบนเตียงแต่โดยดี ทว่าบุรุษร่างใหญ่ก็ยังสงสัยว่าหากเขานอนบนเตียงแล้วนางจะนอนที่ใด

“แน่นอนว่าข้าก็จะนอนตรงนี้”

ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือและกล่าว นางตอบออกไปตรง ๆ โดยไม่ได้คิดอะไร

‘เรียกผู้ชายมานอนบนเตียงเดียวกับตัวเอง อีกทั้งยังตีสีหน้าสงบได้ถึงเพียงนี้ นางยังเป็นสตรีอยู่หรือไม่ ?’  และนี่ก็ทำให้บุรุษเย็นชาหานโม่ฉือถึงกับหน้าแดง คิ้วหนาขมวดมุ่น ร่างกายแข็งแกร่งก็แข็งเกร็งและเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

“โม่ฉือ หน้าของเจ้าแดงแล้วนะ”

เมื่อเห็นใบหน้าของหานโม่ฉือขึ้นสีแดงซ่าน ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยล้อเลียน ยิ่งกว่านั้นนางยังมิวายนึกสงสัย… ‘บุรุษที่เย็นชาถึงเพียงนี้หน้าแดงได้ด้วยหรือ ?’

“หานโม่ฉือ ‘เรื่องแบบนั้น’ เราก็เคยทำกันไปแล้ว ตอนนี้เพียงแค่นอนบนเตียงเดียวกันก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยนี่ เหตุใดเจ้าต้องอายด้วยเล่า ?”

เมื่อเห็นว่าใบหน้ามนุษย์น้ำแข็งยังคงแดงขึ้นเรื่อย ๆ ฉินอวี้โม่ก็อดพูดหยอกล้อเขามากขึ้นไม่ได้ สตรีโฉมงามอมยิ้มอย่างขบขัน

หานโม่ฉือเป็นชายที่นางเชื่อมั่นและไว้วางใจ ในเมื่อนางวางหัวใจไว้ที่คนผู้นี้จนหมดแล้ว อีกทั้งทั้งนางและเขาก่อนหน้านี้ก็เรียกว่าได้กลายเป็นสามีภรรยากันไปแล้ว ทำให้นาง..ไม่สิ..เธอ..ไม่มีอาการขัดเขินเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาและไม่รู้สึกว่าสิ่งที่พูดออกไปจะน่าอายแต่อย่างใด

ไม่ทราบว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่ด้วยสายตาขี้เล่นและวาจาหยอกล้อของสตรีเจ้าของหัวใจตรงหน้าก็ช่วยให้ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นของหานโม่ฉื่อเริ่มจางหายไป

โดยปกติแล้ว หานโม่ฉือผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดเลยแม้กระทั่งความตาย ทว่าเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีเพศแล้วเขาดูจะเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด นั่นอาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยใกล้ชิดกับสตรีมาก่อน ทั้งในเรื่องทางกายและในเรื่องหัวใจ  อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นฉินอวี้โม่นอนลงและทำตัวเป็นธรรมชาติ เขาก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นมากและไม่กังวลอีก

เมื่ออาการขัดเขินหายจนหมดสิ้นและด้วยท่าทีรวมถึงวาจาเช่นนั้นของฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือก็ดึงตัวฉินอวี้โม่เข้ามากอดอย่างฉับพลัน ก่อนจะประกบจูบลงไปบนริมฝีปากแดงฉ่ำของสาวน้อยแสนงามของเขาอย่างไม่ลังเล

ฉินอวี้โม่นั้นกำลังกลั้นขำกับท่าทางเขินอายของบุรุษตัวใหญ่หัวใจเย็นชา ทว่าเมื่อรู้ตัวอีกครั้งร่างของนางก็ตกไปอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของเขาแล้ว ยิ่งกว่านั้น ริมฝีปากเล็ก ๆ ยังถูกปากบางของเขาประกบแนบแน่น

แม้ว่าในคราแรกจะรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่านักฆ่าสาวจากศตวรรษที่ 21 ก็ไม่ใช่คนที่จะเสียขวัญได้ง่าย ๆ นางกอดตอบเขาไปทันทีและแลกจูบกับเขาอย่างดูดดื่ม มือบางลูบไล้ซุกซน

“เฮ้ !”

จู่ ๆ หานโม่ฉือก็ผลักตัวฉินอวี้โม่ออกไปก่อนจะส่ายศีรษะอย่างอับจนปัญญา “เจ้ามันคือนางมารร้าย”

เมื่อครู่ ฉินอวี้โม่เพิ่งจะสอดมือเข้าไปในเสื้อของหานโม่ฉือและสัมผัสลูบไล้เรือนร่างแข็งแกร่งของเขาอย่างอุกอาจ !

หานโม่ฉือก็เป็นบุรุษมีเลือดเนื้อ แน่นอนว่าในเวลาเช่นนี้เขาก็ย่อมมีความต้องการ ทว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ตระกูลฉินเขาจึงต้องหักห้ามใจ เขาไม่อยากให้ผู้อื่นคิดว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีไม่สงวนตัว ในตอนนี้เขารู้สึกอยากจะรีบตบแต่งกับนางและพาเข้าบ้านของเขาโดยไวเพื่อกำจัดอุปสรรคขวากหนามทั้งหมดนี้ !

ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มให้หานโม่ฉือ สายตาคมประสานตาคู่งามนิ่งนาน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ฉินอวี้โม่รับรู้ได้ถึงความคิดของบุรุษตรงหน้าอย่างชัดเจน  แม้ว่านางจะไม่ถือสาเรื่องนี้ก็ตามทว่าเมื่อได้ล่วงรู้ถึงความคิดของเขา จิตใจของนางก็ยังสั่นไหวไม่น้อย

นี่นับว่าโชคดีมากเหลือเกินที่นางได้ผู้ชายที่นึกถึงจิตใจของนางก่อนมาอยู่เคียงข้าง

“นอนกันเถิด ยังมีงานอีกหลายอย่างที่รอให้เราทำ”

หานโม่ฉือกอดฉินอวี้โม่ไว้ในอ้อมแขนแน่นก่อนจะหลับตาลง ฉินอวี้โม่เองก็ค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ มุมปากเล็กของคุณหนูผู้งดงามปรากฏเป็นรอยยิ้มสุขใจอยู่จนผล็อยหลับไป

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 81 งานเลี้ยงอาหารค่ำในพระราชวัง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 81 งานเลี้ยงอาหารค่ำในพระราชวัง

หลังจากกลับถึงจวนตระกูลฉินแล้ว ฉินอวี้โม่ก็บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดในสมาคมช่างหลอมให้ฉินอี้เฟยและฉินเฟินได้รับรู้เพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นกังวล

แน่นอนว่าฉินเฟินและฉินอี้เฟยรู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างมากที่ได้ทราบว่า ฉินอวี้โม่จะได้เรียนรู้ศาสตร์แห่งการหลอมอาวุธจากสุดยอดช่างหลอมผู้มีชื่อเสียงซึ่งเป็นที่ยอมรับไปทั่วทั้งแผ่นดินอย่างปรมาจารย์เยว่เหยา

ทว่าแม้จะชื่นชมและภูมิใจในความเก่งกาจของฉินอวี้โม่มาก แต่ทั้งสองก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ทั้งฉินเฟินและฉินอี้เฟยต่างก็ย้ำเตือนสาวน้อยของพวกเขาว่าอย่าได้ประมาท พวกเขากำชับให้นางระวังตัวเองในทุกเรื่อง หากมีสิ่งใดที่นางไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเองก็ให้แจ้งพวกเขาทันที

ครึ่งเดือนถัดมา ฉินอวี้โม่ยังคงเข้าออกสมาคมช่างหลอมอย่างต่อเนื่องเพื่อศึกษาวิธีการหลอมและขั้นตอนการสร้างสรรค์สิ่งหลอม

ในช่วงนี้สาวใช้น้อยถูกคุณหนูของนางสั่งให้ฝึกฝนอยู่ที่ตระกูลฉินโดยไม่ต้องติดตามนางไป หลังจากผ่านพ้นการฝึกฝนภายในป่าแสงจันทร์นานกว่าหกเดือน เสี่ยวโร่วก็ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแล้ว  ตอนนี้นางกำลังพยายามหาทางทะลวงขึ้นไปให้ถึงขอบเขตนภมายาให้ได้ ในเมื่อยังพอเหลือเวลาก่อนที่การสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักจะเริ่มขึ้น  ฉินอวี้โม่จึงอยากให้สาวใช้น้อยใช้ช่วงเวลานี้ลองพยายามทำให้สำเร็จ

เมื่อทราบว่าเสี่ยวโร่วเกือบจะก้าวข้ามขอบเขตได้แล้ว ฉินอี้เฟยก็ยื่นมือเข้าช่วยอย่างใจกว้าง ทุกครั้งที่กลับมาจากสมาคมโอสถเขาก็จะนำโอสถติดไม้ติดมือกลับมาให้เสี่ยวโร่วด้วยเสมอ ซึ่งโอสถที่คุณชายใหญ่เลือกมาให้สาวใช้น้อยก็จะมีเฉพาะโอสถที่เป็นประโยชน์ในการทะลวงพลังและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ เท่านั้น

ในตอนนี้ แม้ว่าเสี่ยวโร่วจะยังไม่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภมายา แต่นางก็รู้สึกว่าสภาวะพลังภายในร่างกายของตัวเองนั้นแข็งแกร่งและมั่นคงมากยิ่งขึ้นและสาวน้อยก็เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าอีกไม่นานนัก นางก็คงจะทะลวงพลังข้ามขอบเขตขึ้นไปเป็นจอมยุทธ์นภมายาได้แล้ว

ทว่าสถานการณ์ทางด้านฉินอวี้โม่กลับแตกต่างออกไป นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูยังไม่พึงพอใจกับผลงานของตนมากนัก นางพบว่าการศึกษาวิชาการหลอมของนางในช่วงต้นเป็นไปค่อนข้างช้าและจนถึงเวลานี้ฝีมือของนางก็ยังไม่ก้าวหน้าไปสักเท่าไหร่  แต่กระนั้นเมื่อผู้เฒ่าเยว่เหยาเห็นว่าคุณหนูตระกูลฉินใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนในการหลอมผลิตภัณฑ์ระดับต่ำออกมาได้ เขาก็พยักหน้าด้วยความชื่นชม

แม้ว่าตัวฉินอวี้โม่จะไม่พอใจกับความเร็วในการเรียนรู้ของตัวเอง ทว่าผู้เฒ่าเยว่เหยากลับทึ่งในพรสวรรค์ในการหลอมของนางไม่น้อย และถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป การจะหลอมอุปกรณ์กึ่งสำเร็จรูปคุณภาพดีออกมาให้ได้ก็คงใช้เวลาไม่เกินครึ่งปี

ต้องทราบก่อนว่า โดยปกติแล้ว ‘ศาสตร์แห่งการหลอมสร้าง’ ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดายเลยในโลกมายาแห่งนี้ การจะหลอมผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมาให้ได้โดยทั่วไปผู้หลอมจะต้องฝึกฝนอยู่นานหลายปี ดังนั้นแล้วพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่เช่นนี้จึงถือว่าน่าตกใจมาก

อย่างไรก็ตาม วันนี้ฉินอวี้โม่ไม่มีเวลาไปที่สมาคมช่างหลอม เหตุผลก็เนื่องมาจากช่วงสายของวันนี้ทางตระกูลฉินของนางมีแขกมาเยือน

ฉินอวี้โม่รีบมายังเรือนรับรองของตระกูลเมื่อมีบ่าวรับใช้แจ้งว่ามีแขกมารอพบ ซึ่งในทันทีที่มาถึง คุณหนูตระกูลฉินก็ยิ้มกว้างเพราะแขกของนางนั้นมีนามว่า ฉีอวี้ ฉีฉี และหลิงเฟิง

“อวี้โม่ เจ้านี่น่าเบื่อจริง ๆ ในเมื่อมาที่นครไป๋อวิ๋นตั้งหลายวันแล้ว เหตุใดถึงไม่คิดจะไปเยี่ยมข้าบ้างเลย”

หลิงเฟิงเป็นคนตรงไปตรงมา เขาเอ่ยคล้ายต่อว่าออกไปตรง ๆ ทว่าถึงแม้เขาจะกำลังบ่นแต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้มีอารมณ์โกรธอยู่เลย เห็นได้ชัดว่าเขาแค่แกล้งหยอกเย้าฉินอวี้โม่เท่านั้น

“ฮ่า ๆ ต้องขอโทษจริงๆ ช่วงนี้ข้ายุ่งมาก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย เดิมทีนางคิดว่าเมื่อเข้าไปในโรงเรียนราชสำนัก นางก็คงจะได้เจอกับสหายแซ่หลิงผู้นี้อยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเขา  อย่างไรก็ตาม หากจะให้กล่าวเหตุผลนี้ออกไปฉินอวี้โม่ก็ทำไม่ได้

“ในเมื่อเจ้าทำผิด งั้นก็เชิญเราไปเลี้ยงอาหารที่ตึกเต๋อเยว่เป็นการไถ่โทษแล้วกัน”

หลิงเฟิงแสร้งเอ่ยเสียงดังก่อนจะยิ้มกว้าง เขาทราบดีอยู่แล้วว่าฉินอวี้โม่คงจะมีภารกิจให้ทำมากมาย สิ่งที่เขากล่าวไปก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่หยอกล้อนางเท่านั้น

“ย่อมได้ เช่นนั้นเราไปกันเถอะ”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างแจ่มใส  คุณหนูตระกูลฉินพาเหล่าสหายผู้สูงศักดิ์ของนางและเสี่ยวโร่วออกจากจวนก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตึกเต๋อเยว่

เมื่อวานนี้ผู้เฒ่าเยว่เหยาเพิ่งจะกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ว่าอย่ามัวแต่คร่ำเคร่งกับการเรียนมากจนเกินไป ท่านอาจารย์บอกว่านางควรจะพักผ่อนบ้าง  เมื่อมีแขกมาเยือนในวันนี้ คุณหนูสี่จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะหยุดพักเสียเลย

ใช้เวลาไม่นานนักสหายหนุ่มสาวทั้งห้าก็มาถึงตึกเต๋อเยว่ พวกเขาสั่งจองห้องอาหารส่วนตัวบนชั้นสอง

เถ้าแก่ร้านยังคงอ่อนน้อมกับฉินอวี้โม่มากและยังดูคล้ายจะมากยิ่งขึ้นกว่าครั้งก่อนจนทำให้แม้แต่สหายราชนิกุลทั้งสามที่คุ้นชินกับการได้รับความเคารพก็ยังรู้สึกประหลาดใจ

อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่คิดจะอธิบายเรื่องนี้ นั่นก็เพราะมันเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของนางกับหานโม่ฉือ อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูยังไม่แน่ใจว่าควรจะเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้ดีหรือไม่

ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงเวลานี้ ฉินอวี้โม่ไม่ได้พบหน้าหานโม่ฉือมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว ในตอนนี้นางไม่รู้เลยว่าเขากำลังทำสิ่งใดอยู่ หรือมีงานยุ่งมากเพียงใด

เมื่อเข้ามานั่งในห้องอาหาร พวกเขาก็สั่งอาหารหลากหลายอย่างก่อนจะนั่งพูดคุยสนทนาเรื่องสัพเพเหระและแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบกันตามประสาสหายที่ไม่ได้รวมกลุ่มกันมานาน

“อวี้โม่ แท้จริงแล้ววันนี้ที่เรามาพบเจ้าก็เพราะว่ามีธุระบางอย่าง”

ผ่านไปพักใหญ่องค์ชายฉีอวี้ก็เอ่ยเข้าประเด็น ในที่สุดพวกเขาก็หาข้ออ้างในการออกจากวังมาได้ โดยปกติแล้วพวกเขาจะยุ่งอยู่กับการศึกษาวิชาการต่าง ๆ รวมถึงฝึกยุทธ์และพลังมายาจนไม่มีโอกาสได้ออกไปไหน หรือต่อให้พวกเขาหาเวลาว่างได้ เสด็จพ่อและเสด็จแม่ก็ไม่ให้ทั้งเขาและฉีฉีไปไหนมาไหนตามลำพังอยู่ดีเพราะเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัย

“อ่า… เช่นนั้นก็เชิญบอกข้าได้”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับ

“คือว่า อีกไม่ถึงครึ่งเดือนโรงเรียนราชสำนักก็จะเปิดรับนักเรียนเข้าคัดเลือกแล้ว ตอนนี้ผู้คนทั่วทุกสารทิศจากทุกขุมกำลังต่างก็มาเยือนยังนครไป๋อวิ๋น ดังนั้นทางวังหลวงของเราจึงมีการจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำขึ้นในพระราชวัง จุดประสงค์ก็เพื่อจะสานสัมพันธ์กับขุมกำลังใหญ่น้อยทั้งหลายและยังเปิดโอกาสให้เหล่าผู้ที่จะเข้าคัดเลือกได้มาพบปะกันเพื่อทำความคุ้นเคย เสด็จแม่ทรงทราบว่าเจ้ามาที่นครไป๋อวิ๋น ดังนั้นพระองค์จึงอยากเชิญเจ้าเข้าไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ว่า”

องค์ชายสามฉีอวี้บอกเล่า หากนับรวมทั้งหมดแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักฉินอวี้โม่มาได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ อีกทั้งยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับตัวนางมากนัก ทว่าพวกเขาก็รับรู้ได้ว่าฉินอวี้โม่น่าจะเป็นสตรีที่ไม่ค่อยชื่นชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ ดังนั้นทั้งเขา องค์หญิงน้อย และหลิงเฟิงจึงต้องออกมาเชื้อเชิญนางด้วยตัวเอง

คราแรกที่ได้ฟังฉินอวี้โม่ก็อยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายขององค์ชายสาม นางก็พยักหน้าอย่างนุ่มนวล

จนถึงตอนนี้ก็นับว่าผ่านมานานมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่นางได้พบเจอฮองเฮาเหวินหย่า ฉินอวี้โม่รู้สึกถูกชะตากับสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้อย่างน่าประหลาด เมื่อองค์ฮองเฮาผู้อ่อนโยนตั้งใจออกโอษฐ์เชิญเอง คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย

“วิเศษจริง ๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่อวี้โม่จะต้องตอบตกลง”

องค์หญิงฉีฉียิ้มร่าพลางปรบมือชอบใจก่อนจะกล่าวต่อ “พี่เสี่ยวโร่วเองก็จะไปด้วยใช่ไหม ?”

ฉินอวี้โม่หันหน้าไปมองเสี่ยวโร่วแล้วพยักหน้าให้นาง เมื่อเห็นเช่นนั้นสาวใช้น้อยก็พยักหน้าอย่างดีใจ

กว่ามื้ออาหารแสนอร่อยที่ตึกเต๋อเยว่นั้นจะสิ้นสุดลงก็เป็นปลายยามโฉ่วแล้ว คนทั้งห้าออกมาจากตึกเต๋อเยว่ก่อนจะพากันแวะไปเดินเล่นชมดูและเลือกซื้อสิ่งของถูกใจตามร้านรวงต่าง ๆ ภายในเมืองหลวง เป็นเพราะโอกาสในการออกจากพระราชวังของสหายจากพระราชวังทั้งสามมีไม่มากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการใช้เวลาในวันนี้ให้คุ้มค่าที่สุด องค์หญิงฉีฉีนั้นชี้ชวนฉินอวี้โม่ดูชมสถานที่ต่าง ๆ ภายในเมืองเสียงเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุด

และกว่าการเดินเล่นเที่ยวชมเมืองจะสิ้นสุดเวลาก็ล่วงเลยถึงยามเฉินแล้ว สหายทั้งห้าบอกลากัน หนุ่มสาวเชื้อพระวงศ์ทั้งสามคนเดินทางกลับไปยังพระราชวังทันทีโดยมีฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วยืนส่งอยู่หน้าพระราชวัง

ที่กล่าวว่าทั้งหมดเป็นเชื้อพระวงศ์ก็เป็นเพราะหลิงเฟิงผู้โผงผางนั้นเป็นสหายสนิทขององค์ชายฉีอวี้และองค์หญิงน้อยฉีฉี  บิดาของหลิงเฟิงมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงอ๋องและยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับองค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวย  ปกติแล้วหลิงเฟิงมักจะศึกษาตำราอยู่ภายในวังหลวง นั่นจึงทำให้ทั้งสามคนได้เจอกันบ่อยครั้งจนกลายเป็นสหายสนิทกันในที่สุด

หลังจากที่สหายผู้สูงศักดิ์ทั้งสามคนกลับไปแล้ว ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็เดินทางกลับไปยังตระกูลฉิน

และในทันทีที่มาถึงตระกูลฉิน พวกเขาก็ได้รับเทียบเชิญจากพระราชวัง ผู้นำตระกูลฉินและเหล่าอัจฉริยะแห่งตระกูลถูกเชิญให้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในอีกสามวันข้างหน้า

ฉินอวี้โม่แจ้งแก่ท่านปู่ฉินเฟินในระหว่างมื้อค่ำว่านางและเสี่ยวโร่วก็จะไปร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย หลังจากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็กลับไปยังห้องพักของตัวเอง

“เสี่ยวโร่ว ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ? มีสัญญาณว่าจะก้าวข้ามขอบเขตบ้างหรือยัง ?”

ฉินอวี้โม่อยากให้เสี่ยวโร่วได้เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักพร้อมกับนางด้วย ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนการคัดเลือกก็จะเริ่มขึ้นแล้ว แน่นอนว่านางหวังให้เสี่ยวโร่วทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้ก่อน  หากทำเช่นนั้นได้ไม่ว่าการสอบจะยากเย็นเท่าไหร่ เสี่ยวโร่วก็คงจะสอบผ่านได้อย่างไม่มีปัญหา

“คุณหนูไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้ามั่นใจมากว่าจะสามารถทะลวงพลังได้ก่อนที่การคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักจะเริ่มแน่นอน”

เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ นางรู้สึกว่าใกล้จะทำลายโซ่ตรวนแห่งขอบเขตนภมายาได้แล้ว หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดนางคาดว่าอีกประมาณสองวันก็คงจะเป็นจอมยุทธ์นภมายาได้อย่างแน่นอน

ฉินอวี้โม่พูดคุยกับเสี่ยวโร่วอีกสองสามประโยคก่อนจะบอกให้สาวน้อยไปพักผ่อน

อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูเข้ามาในห้องนอนของตัวเองก่อนจะเดินไปที่เตียงกว้าง ในหลายวันมานี้ บางทีนางอาจจะคร่ำเคร่งมากเกินไปจนเกิดความอ่อนล้าสะสมอย่างไม่รู้ตัว เมื่อได้หยุดพักร่างกายจึงโหยหาการพักผ่อน อีกทั้งวันนี้ที่ได้เดินเล่นทั่วเมืองก็ทำให้ความง่วงเริ่มจู่โจม หลังจากอาบน้ำชำระล้างร่างกายเสร็จคุณหนูคนงามก็อยากจะล้มตัวลงนอนในทันที

ทว่าขณะที่ฉินอวี้โม่กำลังจะเอนหลังลงบนเตียง จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าภายในห้องมีคนอื่นอยู่ด้วย !

“โม่ฉือ เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?!”

ฉินอวี้โม่ร้องเสียงดังและรีบเด้งตัวขึ้นมาอยู่ในท่ายืน คุณหนูคนงามขมวดคิ้วจ้องมองหานโม่ฉือที่กำลังมีรอยยิ้มอ่อน ๆ ปรากฏบนใบหน้า

หานโม่ฉือพยักหน้าลงครั้งหนึ่งโดยไม่กล่าวสิ่งใด บนใบหน้าหล่อเหลาคมคายมีร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าอย่างหนักหน่วงปรากฏให้เห็น

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ? ดูเหมือนเจ้าซูบลงไปนะ”

เมื่อเห็นอาการเช่นนั้นของบุรุษผู้แข็งแกร่ง ฉินอวี้โม่ก็รีบทิ้งความขุ่นเคืองที่เขาทำให้นางตกใจ  ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แม้จะรู้ดีว่าหานโม่ฉืออาจจะไม่ตอบคำถามนี้ ทว่านางก็ยังอยากจะถามออกไปอยู่ดี

หานโม่ฉือส่ายหน้า เขาหลบสายตาชั่ววูบหนึ่งก่อนจะหันมามองสบตาคู่งามอย่างแน่วแน่ตามเดิม

“อวี้โม่ขอให้เชื่อใจข้า เรื่องนี้ข้าจะบอกเจ้าในภายหลัง แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เจ้าควรรู้”

สิ้นวาจานั้น หานโม่ฉือก็หยุดไปชั่วครู่ เขากำลังมองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าและแววตาที่เป็นกังวล

“โม่ฉืออย่างมองข้าเช่นนั้น ข้าไม่ใช่สตรีไร้เหตุผล เรื่องนี้เจ้าวางใจได้”

ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทางกังวลใจจากบุรุษมนุษย์น้ำแข็ง เรื่องนี้คนตรงหน้าคงจะไม่สามารถบอกนางในตอนนี้ได้จริง ๆ และเขาก็คงกลัวว่านางอาจจะโกรธ สาวนักฆ่าในร่างคุณหนูเดินเข้าไปใกล้ผู้ชายของนาง

“ข้าเข้าใจ แต่ข้าเคยสัญญากับเจ้าไปตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าจะไม่ปิดบังเรื่องใดกับเจ้า”

หานโม่ฉือจับมือบางของสตรีเจ้าของหัวใจก่อนจะฉุดดึงร่างบางให้นั่งลงข้างกาย

ในเวลานี้หานโม่ฉือยังไม่มั่นใจในสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทุกอย่างในเรื่องนี้ดูมืดมนและคลุมเครือไปหมด หากบอกฉินอวี้โม่ไปตอนนี้ เขากลัวว่าจะทำให้นางต้องเป็นกังวลไปด้วย ดังนั้นหานโม่ฉือจึงอยากจะบอกเรื่องนี้กับนางหลังจากเขารู้เรื่องราวกระจ่างชัดและทำการสืบสวนอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว

เพราะรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของบุรุษตรงหน้า คุณหนูคนงามจึงเอามือสัมผัสใบหน้าของมนุษย์น้ำแข็งขี้กังวลพลางส่งรอยยิ้มอ่อนหวานไปให้  ….มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจคนได้รับผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

แววตาของหานโม่ฉือในตอนนี้ดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน สิ่งที่เขาแบกรับอยู่คงจะหนักหนาไม่น้อย แม้กระนั้นเขาก็ยังไม่ยินยอมจะให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเป็นกังวลไปด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่เคยลืมเลือนคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อนางเลย  สิ่งที่เขาแสดงออกในวันนี้ทำให้ฉินอวี้โม่รู้ว่าในห้วงคำนึงของเขามีนางอยู่เสมอและนั่นก็แสดงว่าเขารักนางจากหัวใจ  คนผู้นี้ต้องการจะอยู่เคียงคู่กับนางไปตลอดชีวิตอย่างแท้จริง

ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นและเดินอ้อมไปด้านหลังของหานโม่ฉือพลางใช้มือบางบีบนวดไหล่แข็งแรงนั้นอย่างนุ่มนวลแล้วเปลี่ยนไปนวดขมับให้เพื่อคลายความเหนื่อยล้า

เมื่อได้เห็นร่างกายที่ซูบผอมและใบหน้าแสนอ่อนล้าของบุรุษอันเป็นที่รักใกล้ ๆ เช่นนี้ จู่ ๆ คุณหนูคนงามก็รู้สึกปวดร้าวในหัวใจ

“โม่ฉือ เจ้าอยากจะนอนพักสักครู่หรือไม่ ?”

เดิมที ถ้าหากหานโม่ฉือไม่เข้ามา ฉินอวี้โม่ก็คงจะล้มตัวลงนอนและงีบหลับไปแล้ว ทั้งความเหนื่อยสะสมมาหลายวันและวันนี้นางตื่นมาอ่านตำราตั้งแต่เช้า รวมกับที่ได้ออกไปด้านนอกทำให้นางรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

คุณหนูผู้เลอโฉมอดไม่ได้ที่จะดึงร่างหานโม่ฉือและพาตรงไปที่เตียง

“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าจะนอนที่ไหน ?”

ด้วยน้ำเสียงแสนห่วงใยของฉินอวี้โม่ทำให้หานโม่ฉือไม่กล้าปฏิเสธ เขาพยักหน้าอย่างว่าง่ายและยอมให้นางจับจูงมือไป ก่อนจะนอนลงบนเตียงแต่โดยดี ทว่าบุรุษร่างใหญ่ก็ยังสงสัยว่าหากเขานอนบนเตียงแล้วนางจะนอนที่ใด

“แน่นอนว่าข้าก็จะนอนตรงนี้”

ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือและกล่าว นางตอบออกไปตรง ๆ โดยไม่ได้คิดอะไร

‘เรียกผู้ชายมานอนบนเตียงเดียวกับตัวเอง อีกทั้งยังตีสีหน้าสงบได้ถึงเพียงนี้ นางยังเป็นสตรีอยู่หรือไม่ ?’  และนี่ก็ทำให้บุรุษเย็นชาหานโม่ฉือถึงกับหน้าแดง คิ้วหนาขมวดมุ่น ร่างกายแข็งแกร่งก็แข็งเกร็งและเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

“โม่ฉือ หน้าของเจ้าแดงแล้วนะ”

เมื่อเห็นใบหน้าของหานโม่ฉือขึ้นสีแดงซ่าน ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยล้อเลียน ยิ่งกว่านั้นนางยังมิวายนึกสงสัย… ‘บุรุษที่เย็นชาถึงเพียงนี้หน้าแดงได้ด้วยหรือ ?’

“หานโม่ฉือ ‘เรื่องแบบนั้น’ เราก็เคยทำกันไปแล้ว ตอนนี้เพียงแค่นอนบนเตียงเดียวกันก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยนี่ เหตุใดเจ้าต้องอายด้วยเล่า ?”

เมื่อเห็นว่าใบหน้ามนุษย์น้ำแข็งยังคงแดงขึ้นเรื่อย ๆ ฉินอวี้โม่ก็อดพูดหยอกล้อเขามากขึ้นไม่ได้ สตรีโฉมงามอมยิ้มอย่างขบขัน

หานโม่ฉือเป็นชายที่นางเชื่อมั่นและไว้วางใจ ในเมื่อนางวางหัวใจไว้ที่คนผู้นี้จนหมดแล้ว อีกทั้งทั้งนางและเขาก่อนหน้านี้ก็เรียกว่าได้กลายเป็นสามีภรรยากันไปแล้ว ทำให้นาง..ไม่สิ..เธอ..ไม่มีอาการขัดเขินเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาและไม่รู้สึกว่าสิ่งที่พูดออกไปจะน่าอายแต่อย่างใด

ไม่ทราบว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่ด้วยสายตาขี้เล่นและวาจาหยอกล้อของสตรีเจ้าของหัวใจตรงหน้าก็ช่วยให้ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นของหานโม่ฉื่อเริ่มจางหายไป

โดยปกติแล้ว หานโม่ฉือผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดเลยแม้กระทั่งความตาย ทว่าเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีเพศแล้วเขาดูจะเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด นั่นอาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยใกล้ชิดกับสตรีมาก่อน ทั้งในเรื่องทางกายและในเรื่องหัวใจ  อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นฉินอวี้โม่นอนลงและทำตัวเป็นธรรมชาติ เขาก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นมากและไม่กังวลอีก

เมื่ออาการขัดเขินหายจนหมดสิ้นและด้วยท่าทีรวมถึงวาจาเช่นนั้นของฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือก็ดึงตัวฉินอวี้โม่เข้ามากอดอย่างฉับพลัน ก่อนจะประกบจูบลงไปบนริมฝีปากแดงฉ่ำของสาวน้อยแสนงามของเขาอย่างไม่ลังเล

ฉินอวี้โม่นั้นกำลังกลั้นขำกับท่าทางเขินอายของบุรุษตัวใหญ่หัวใจเย็นชา ทว่าเมื่อรู้ตัวอีกครั้งร่างของนางก็ตกไปอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของเขาแล้ว ยิ่งกว่านั้น ริมฝีปากเล็ก ๆ ยังถูกปากบางของเขาประกบแนบแน่น

แม้ว่าในคราแรกจะรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่านักฆ่าสาวจากศตวรรษที่ 21 ก็ไม่ใช่คนที่จะเสียขวัญได้ง่าย ๆ นางกอดตอบเขาไปทันทีและแลกจูบกับเขาอย่างดูดดื่ม มือบางลูบไล้ซุกซน

“เฮ้ !”

จู่ ๆ หานโม่ฉือก็ผลักตัวฉินอวี้โม่ออกไปก่อนจะส่ายศีรษะอย่างอับจนปัญญา “เจ้ามันคือนางมารร้าย”

เมื่อครู่ ฉินอวี้โม่เพิ่งจะสอดมือเข้าไปในเสื้อของหานโม่ฉือและสัมผัสลูบไล้เรือนร่างแข็งแกร่งของเขาอย่างอุกอาจ !

หานโม่ฉือก็เป็นบุรุษมีเลือดเนื้อ แน่นอนว่าในเวลาเช่นนี้เขาก็ย่อมมีความต้องการ ทว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ตระกูลฉินเขาจึงต้องหักห้ามใจ เขาไม่อยากให้ผู้อื่นคิดว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีไม่สงวนตัว ในตอนนี้เขารู้สึกอยากจะรีบตบแต่งกับนางและพาเข้าบ้านของเขาโดยไวเพื่อกำจัดอุปสรรคขวากหนามทั้งหมดนี้ !

ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มให้หานโม่ฉือ สายตาคมประสานตาคู่งามนิ่งนาน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ฉินอวี้โม่รับรู้ได้ถึงความคิดของบุรุษตรงหน้าอย่างชัดเจน  แม้ว่านางจะไม่ถือสาเรื่องนี้ก็ตามทว่าเมื่อได้ล่วงรู้ถึงความคิดของเขา จิตใจของนางก็ยังสั่นไหวไม่น้อย

นี่นับว่าโชคดีมากเหลือเกินที่นางได้ผู้ชายที่นึกถึงจิตใจของนางก่อนมาอยู่เคียงข้าง

“นอนกันเถิด ยังมีงานอีกหลายอย่างที่รอให้เราทำ”

หานโม่ฉือกอดฉินอวี้โม่ไว้ในอ้อมแขนแน่นก่อนจะหลับตาลง ฉินอวี้โม่เองก็ค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ มุมปากเล็กของคุณหนูผู้งดงามปรากฏเป็นรอยยิ้มสุขใจอยู่จนผล็อยหลับไป

Options

not work with dark mode
Reset