ณ ประตูเมืองอู๋เริ่น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือลอยตัวอยู่กลางอากาศขณะสำรวจสถานการณ์โดยรอบ
“นายท่าน ข้าจะใช้พลังของข้าเพื่อทำลายผนึกที่ปิดกั้นที่นี่ไว้ ท่านเพียงต้องถ่ายทอดพลังให้ข้าส่วนหนึ่งเมื่อพลังของข้าใกล้หมดไป”
เนตรปีศาจลอยตัวกลางอากาศไม่ไกลจากหานโม่ฉือและกล่าวอย่างระแวดระวัง
พลังที่กักขังวิญญาณทั้งหมดไว้ในเมืองอู๋เริ่นแกร่งกล้าอย่างยิ่งและแม้แต่เนตรปีศาจก็ยังหวาดกลัวเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะพลังลึกลับที่น่าหวาดหวั่นนี้เองที่ทำให้มันเลือกเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้
ด้วยพลังดังกล่าว ยอดฝีมือจากภายนอกจะไม่กล้าย่างกรายเข้าไปในเมืองอู๋เริ่นมากนัก นับประสาอะไรกับการค้นพบเกี่ยวกับตัวตนของมัน—เนตรปีศาจ
ด้วยความช่วยเหลือและการซ่อนตัวอยู่ภายใต้พลังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา เนตรปีศาจจึงฟื้นฟูพลังของตนเองได้เรื่อย ๆ หากไม่ถูกค้นพบโดยฉินอวี้โม่และคณะเสียก่อน เนตรปีศาจก็คงจะสามารถฟื้นฟูพลังอำนาจทั้งหมดของมันกลับคืนมาได้ในสักวัน
อย่างไรก็ตาม การจำนนต่อหานโม่ฉือในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน
ไม่ว่าหานโม่ฉือจะใช่ ‘คนผู้นั้น’ หรือไม่ ในร่างกายของเขาก็มีแหล่งพลังงานบางอย่างที่สามารถฟื้นฟูพลังของเนตรปีศาจได้อย่างรวดเร็ว ด้วยอัตราความเร็วเช่นนี้ คาดว่าพลังของมันจะฟื้นฟูกลับคืนสู่ระดับสูงสุดในเวลาไม่เกินสามปี
เวลานี้ร่างของเนตรปีศาจก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนมีขนาดเท่ากับมนุษย์โตเต็มวัยและยังคงขยายใหญ่ต่อไป
*ฮึมมม…*
เสียงอู้อี้ดังขึ้นในอากาศก่อนแสงสีแดงประหลาดจะส่องสว่างไปทั่วบริเวณโดยรอบและปกคลุมทั่วทั้งเมืองอู๋เริ่นในทันที
*บึ้ซ….*
เสียงประหลาดก็ดังสนั่นขึ้นมา ราวกับพลังสองอย่างกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด
พลังของเนตรปีศาจได้สัมผัสเข้ากับพลังลึกลับที่กักขังผีดิบในเมืองอู๋เริ่นและกำลังดูดกลืนพลังนั้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม พลังที่กักขังวิญญาณในเมืองอู๋เริ่นก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก จู่ ๆ พื้นที่รอบตัวก็ถูกครอบงำโดยแสงสีดำซึ่งต่อสู้กับพลังของเนตรปีศาจและค่อย ๆ กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“มันคือพลังอะไรกันแน่ ?!”
ในขณะเดียวกัน ยินรุ่ยก็อดที่จะตะโกนออกมาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกไม่ได้
วิญญาณของเขาถูกกักขังอยู่ในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้มานานนับพันปีแล้วและไม่เคยสัมผัสได้ถึงพลังนั้นมาก่อน หากมิใช่เพราะการกระทำของเนตรปีศาจ เกรงว่าเขาคงไม่มีวันรับรู้ได้ถึงพลังลึกลับนั้นด้วยซ้ำ
ภายในพลังสีดำทะมึนนั้นก็เหมือนจะแอบแฝงไปด้วยพลังงานชั่วร้ายบางอย่างซึ่งทำให้ผู้คนหวาดหวั่นได้ง่าย ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่ามันจะสามารถดูดกลืนพลังมายาเข้ามาได้ส่งผลให้พลังมายาในบริเวณรอบ ๆ เบาบางลงเรื่อย ๆ
ตูมมม !
พลังจากสองฝ่ายปะทะเข้าใส่กันอย่างจังและทำให้บ้านเรือนหลายหลังในบริเวณใกล้เคียงพังทลายไปทันที
บ้านเหล่านั้นสลายกลายเป็นเถ้าถ่านและหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
ประชากรในเมืองทั้งหมดต่างก็มีสีหน้าตกใจอย่างชัดเจนและเงยหน้าขึ้นมองกลางอากาศด้วยแววตาเป็นกังวล
ในช่วงกลางวัน ผีดิบทั้งหมดในเมืองอู๋เริ่นจะมีสติสัมปชัญญะเป็นของตนเอง เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงตกใจกลัวขึ้นมา
“เจ้าเมืองยิน ท่านออกไปปลอบขวัญและดูแลชาวเมืองก่อนเถอะ พวกเขาจะได้ไม่ตื่นตระหนกตกใจจนเกินไป”
หานโม่ฉือกล่าวออกไป หากในเวลานี้ประชากรในเมืองแตกตื่นกันจนเกินไปและก่อปัญหาความวุ่นวายจนกระทบต่อสมาธิของเนตรปีศาจนั้น ความพยายามทุกอย่างอาจจะสูญเปล่าไปได้
ยินรุ่ยพยักศีรษะโดยไม่กล่าวสิ่งใดก่อนจากไปพร้อมกับวิญญาณร้าย
ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ ชาวเมืองอู๋เริ่นก็มุ่งหน้าเข้าไปที่จวนเจ้าเมืองด้วยกันโดยไม่มีทีท่าคัดค้านใด ๆ
เวลานี้ พลังของเนตรปีศาจก็อ่อนกำลังลงมากในขณะที่พลังซึ่งครอบงำเมืองอู๋เริ่นยังคงน่าหวาดหวั่นไม่เปลี่ยนแปลง แสงสีดำครอบงำแสงสีแดงและส่องสะท้อนสิ่งแวดล้อมรอบตัวจนกลายเป็นภาพที่ประหลาด
“นายท่าน ข้ายื้อไว้ไม่ได้แล้ว”
เนตรปีศาจส่งกระแสจิตตรงมาที่หานโม่ฉือและบ่งบอกว่าต้องการความช่วยเหลือจากเขา
ปลายนิ้วมือของหานโม่ฉือก็ขยับเล็กน้อยและพลังมายาที่มหาศาลก็ก่อตัวขึ้นมาก่อนหลั่งไหลเข้าไปในร่างของเนตรปีศาจอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้น พลังที่อ่อนแอลงมากของเนตรปีศาจก็ฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างเต็มที่และแข็งแกร่งกว่าเดิมมากนัก
*ฮึมมม…*
แสงสีแดงส่องสว่างเจิดจ้าอีกครั้งและข่มแสงสีดำทะมึนได้มากพอสมควร
พลังที่ล้อมรอบเมืองอู๋เริ่นก็ค่อย ๆ ถูกครอบงำด้วยแสงสีแดงและอ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ
“เนตรปีศาจ พลังนั่นคือพลังประเภทใดกันแน่ ?”
หานโม่ฉือเอ่ยถามในขณะที่ยังคงถ่ายทอดพลังมายาไปสู่เนตรปีศาจ
เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ล้อมรอบเมืองอู๋เริ่นได้อย่างชัดเจนและมันทำให้เขาเกิดความรู้สึกอึดอัดใจและต้องการกำจัดมันให้ได้โดยเร็วที่สุด ในความทรงจำที่มี หานโม่ฉือไม่เคยเผชิญกับพลังประเภทนี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม ลึก ๆ ในใจของเขากลับรู้สึกว่าตนเองเคยเผชิญหน้ากับพลังนี้มาก่อนแล้ว
“นายท่าน ข้ายังบอกท่านไม่ได้ หากท่านใช่ ‘เขา’ จริง ๆ ท่านจะจดจำมันได้เองเมื่อความทรงจำของท่านฟื้นคืนกลับมา”
เนตรปีศาจลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมาโดยที่ยังไม่คิดเปิดเผยความจริงกับหานโม่ฉือ
เมื่อได้ยินวาจาของเนตรปีศาจ หานโม่ฉือก็ไม่คิดถามสิ่งใดอีกต่อไป เขาเพียงรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าเคยประจันหน้ากับพลังนี้มาก่อนและในร่างกายของเขายังมีปริศนาความลับที่ยังไม่ถูกเปิดเผย เพียงแต่ในตอนนี้เขายังไม่แข็งแกร่งมากพอจึงยังไม่สามารถไขปริศนาเหล่านั้นได้…
“ทำลายมันซะ !”
ทันใดนั้น เนตรปีศาจตะโกนกร้าวและแสงสีดำก็ถูกครอบงำไปโดยสมบูรณ์ เวลานี้แสงสีแดงจากพลังของมันปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองผีดิบจนเกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมา
อึดใจต่อมา เนตรปีศาจก็ย่อขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ และลอยกลับมาอยู่ในฝ่ามือของหานโม่ฉือ
จากนั้น แสงสีแดงรอบตัวบางส่วนก็แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของหานโม่ฉือและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขาได้เป็นอย่างมาก
ตูมมม !
อาคารบ้านเรือนทั้งหมดในเมืองอู๋เริ่นพังทลายและสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่เว้นแม้แต่จวนเจ้าเมืองที่อยู่ไกลออกไป
อาคารสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดล้วนถล่มทลายและกลายเป็นเถ้าถ่านที่ล่องลอยหายไปในอากาศ
“เราเป็นอิสระแล้ว !”
เสียงตะโกนด้วยความดีใจดังอื้ออึงมาจากทิศทางของจวนเจ้าเมือง จากนั้นวิญญาณชาวเมืองอู๋เริ่นก็ค่อย ๆ หายวับไปทีละคน ทว่าสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือทุกคนล้วนจากไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข
“ขอบคุณมากจริง ๆ”
ยินรุ่ยและวิญญาณร้ายรีบมุ่งหน้ากลับมาหาฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพร้อมกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ
“ถึงเวลาที่เราจะไปเกิดใหม่แล้ว หากโชคชะตาเป็นใจ เราอาจได้พบกันอีกครั้ง…”
ยินรุ่ยสัมผัสได้ถึงการเรียกหาบางอย่างและมุมปากก็ยกเป็นรอยยิ้ม นี่คือเวลาที่เขามีความสุขที่สุดนับตั้งแต่หลายพันปีที่ผ่านมา
“พวกเราต้องขอขอบคุณแทนชาวเมืองอู๋เริ่นด้วย หากมิใช่เพราะท่าน ไม่อาจทราบได้เลยว่าเราจะต้องทนทุกข์กับการติดอยู่ที่นี่ไปอีกนานเพียงใด ตอนนี้พวกเรามีโอกาสได้ไปเกิดใหม่แล้ว เชื่อว่าทุกคนจะต้องรู้สึกซาบซึ้งใจต่อท่านมากแน่ ๆ”
เมื่อวิญญาณร้ายยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่ในตอนแรก เขาเพียงหวาดกลัวต่อเพลิงทรงพลังของนางเท่านั้น ทว่าในตอนนี้ สิ่งที่แสดงออกคือความซาบซึ้งใจจากก้นบึ้งของหัวใจ
แม้การเป็นวิญญาณร้ายจะมีข้อดีซึ่งมีพลังเหนือกว่าวิญญาณตนอื่น ๆ ทว่าสุดท้ายเขาก็ยังเป็นเพียงวิญญาณโดดเดี่ยวเท่านั้น ตอนนี้การที่เขาได้มีโอกาสไปเกิดใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่ามันเป็นความรู้สึกที่สุขใจอย่างที่สุด
“เราต้องไปแล้ว พวกเจ้าต้องระวังตัวต่ออันตรายอื่น ๆ ในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ให้มาก แม้เราจะไม่เคยออกไปจากเมืองอู๋เริ่น เราก็ทราบดีว่ายังมีวิกฤตที่ร้ายแรงอยู่ในทุกหนแห่ง”
ร่างของยินรุ่ยเริ่มสลายหายไปเรื่อย ๆ และเขาก็กำชับฉินอวี้โม่อย่างจริงจัง
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดยั้งพวกเราได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมและจับมือหานโม่ฉือไว้แน่น เวลานี้นางมีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมาก
วิญญาณไร้ชีวิตทั้งสองก็เพียงคลี่ยิ้มและค่อย ๆ สลายหายไปในอากาศ
ทั้งเมืองอู๋เริ่นหายวับไปและพลังที่ล้อมรอบมันก็สูญสลายไปเช่นเดียวกัน
“นายท่าน ข้าต้องพักสักระยะ…”
เนตรปีศาจกล่าวทิ้งท้ายก่อนหายเข้าไปในจิตของหานโม่ฉือ
“ไปกันเถอะ”
หานโม่ฉือก็เพียงจับมือฉินอวี้โม่ไว้แน่นและทั้งสองก็มุ่งหน้าออกเดินทางไปสู่จุดหมายต่อไป
สถานการณ์ในฟากของเมืองอู๋เริ่นคลี่คลายลงแล้ว ทว่าการคัดเลือกยังคงต้องดำเนินต่อไป ในการคัดเลือกรอบสุดท้ายนี้ ไม่อาจคาดเดาเลยว่าจะมีเรื่องประหลาดน่าตื่นเต้นใดรอพวกเขาอยู่อีก…