ไม่นานหลังจากที่ฉินอวี้โม่และทั้งสามมุ่งหน้าต่อไปยังยอดเขา เสี่ยวยวี่ยวี่พร้อมด้วยคณะศิษย์ตระกูลเสี่ยวนับสิบคนก็ผ่านมาและพบกับหวังอวิ๋นเย่ที่นั่งอยู่บนพื้นในสภาพที่น่าสมเพช
“พี่อวิ๋นเย่ ใครทำร้ายท่านรึ ?!”
เสี่ยวยวี่ยวี่ปรี่เข้าไปหาหวังอวิ๋นเย่ด้วยสีหน้าเป็นกังวลทันที
หลังจากถูกข่มขู่โดยเซิ่งเซียว เสี่ยวยวี่ยวี่ก็วางแผนที่จะขึ้นไปบนยอดเขา อย่างไรก็ตาม นางพบกับใครบางคนในระหว่างทางและคนผู้นั้นกล่าวว่าเห็นหวังอวิ๋นเย่อยู่ที่เชิงเขาก่อนหน้านี้ นางจึงรีบกลับลงมาเพื่อตามหาเขาซึ่งทำให้การเดินทางไปสู่ยอดเขาของตนล่าช้าลง
สำหรับการประจันหน้าที่เกิดขึ้นที่นี่และหวังอวิ๋นเย่ที่ถูกเซิ่งเซียวซัดจนน่วมก่อนหน้านี้ นางไม่ทราบแม้แต่น้อย
“ข้าเพียงสะดุดล้ม”
หวังอวิ๋นเย่ซ่อนความชิงชังเอาไว้และปรับสีหน้ากลับเป็นความอ่อนโยนตามเดิมก่อนหาข้ออ้างตอบกลับไป
ไม่มีทางเลยที่เขาจะเปิดเผยว่าเมื่อครู่นี้เขาพ่ายแพ้ต่อเซิ่งเซียวและถูกอวิ๋นซื่อเทียนแสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์อย่างที่สุด
หวังอวิ๋นเย่มักเห็นแก่หน้าตาชื่อเสียงของตนมาตลอด อีกทั้งเขายังพึงพอใจลึก ๆ ที่สตรีหลายคนในเมืองฉีอวิ๋นหมายปองตน เพราะเหตุนั้นเขาจึงมั่นใจจนเกินกว่าเหตุและไม่เคยคิดว่าตนทำสิ่งใดผิดไป
เขาทราบดีว่าเสี่ยวยวี่ยวี่ผู้นี้มีใจให้กับตน ทว่าเขาก็ไม่เคยปฏิเสธนางอย่างตรงไปตรงมาและในหลายคราเขาก็จงใจปล่อยให้สถานการณ์คลุมเครือเพื่อที่นางจะได้เข้าใจผิดไป
หวังอวิ๋นเย่ไม่เข้าใจความหมายในวาจาของอวิ๋นซื่อเทียนแม้แต่น้อยและคิดไปเองว่าบุรุษควรเป็นฝ่ายที่แสดงความรักความชอบอย่างเปิดเผย ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะจอมยุทธ์ที่โดดเด่นและฝีมือดีเช่นตัวเขา ต่อให้จะมีสามภรรยาสี่นางสนม มันก็มิใช่เรื่องแปลก
“พี่อวิ๋นเย่ ท่านพบกับอวิ๋นซื่อเทียนแล้วใช่รึไม่ ?”
เสี่ยวยวี่ยวี่ไม่นึกสงสัยในวาจาของหวังอวิ๋นเย่แม้แต่น้อย ถึงอย่างไรด้วยความแข็งแกร่งของบุรุษผู้นี้ก็มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ได้ ต่อให้เป็นเซิ่งเซียวที่ดูจะมีฝีมือเก่งกาจ นางก็เชื่อว่าบุรุษผู้นั้นไม่มีทางเอาชนะหวังอวิ๋นเย่ได้
“ก่อนหน้านี้พวกเราได้พบอวิ๋นซื่อเทียน…และสามีของนางก็อยู่ด้วย”
เสี่ยวยวี่ยวี่กล่าวเสริมอีกประโยคด้วยหวังว่าเมื่อหวังอวิ๋นเย่ทราบว่าสตรีที่หมายปองมีคู่ครองอยู่แล้ว เขาก็จะล้มเลิกตัดใจและไม่สนใจนางอีก
“ข้าทราบดี แต่บุรุษผู้นั้นมิใช่สามีของซื่อเทียนหรอก เป็นแค่สหายของนางเท่านั้น”
จิตสังหารที่เจือในแววตาของหวังอวิ๋นเย่หายไปอย่างรวดเร็วขณะเขาลุกขึ้นยืนและเช็ดเลือดจากมุมปาก เวลานี้หัวใจของเขาทั้งโกรธแค้นและริษยาเซิ่งเซียวเป็นที่สุด
“เราเดินทางไปที่ยอดเขากันก่อนเถอะ การคัดเลือกรอบสุดท้ายนี้เหลือเวลาอีกเพียงประมาณครึ่งเดือนเท่านั้น ไม่อาจทราบเลยว่าจะพบเจอสิ่งใดบนยอดเขานั่นบ้าง”
หวังอวิ๋นเย่กวาดสายตามองคณะศิษย์ที่มากับเสี่ยวยวี่ยวี่และความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ ต่อให้ตัวเขาจะเอาชนะเซิ่งเซียวไม่ได้ ทว่าหากร่วมมือกับคนเหล่านี้ เขาเชื่อว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าบุรุษผู้นั้นจะใช่สามีของอวิ๋นซื่อเทียนจริงหรือไม่ ในเมื่อกล้าทำให้เขาอับอายขายหน้าเช่นนี้ หวังอวิ๋นเย่ก็ไม่มีทางปล่อยผ่านไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน
เมื่อหวังอวิ๋นเย่เชื้อเชิญด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเสี่ยวยวี่ยวี่ก็ตื่นเต้นอย่างที่สุด นางไม่แม้แต่จะไตร่ตรองให้เสียเวลาด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการสังเกตเห็นจิตสังหารในแววตาของบุรุษตรงหน้า
นางก้าวเข้าไปใกล้และถือโอกาสเกาะแขนหวังอวิ๋นเย่ก่อนมุ่งหน้าขึ้นไปบนยอดเขาด้วยกัน
หวังอวิ๋นเย่ก็ไม่ปฏิเสธใด ๆ และมีเพียงสีหน้ารังเกียจปรากฏให้เห็นครู่หนึ่งก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าตามรอยเท้าของคณะฉินอวี้โม่ขึ้นไปบนยอดเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว…
ภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นภูเขาลูกเดียวในสมรภูมิรบเดนตายซึ่งมีความสูงที่ไม่มากจนเกินไป ทว่าเป็นเส้นทางคดเคี้ยวทอดยาวขึ้นไป เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่และอีกสามคนจึงต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่จะมาถึงยอดเขาได้
บนยอดเขาแห่งนี้คือพื้นที่ราบซึ่งมีขนาดกว้างใหญ่และล้อมรอบไปด้วยพฤกษาและบุปผาหายากนานานาพรรณ ฉินอวี้โม่ก็ได้กลิ่นสมุนไพรที่ทำให้รู้สึกสบายใจและผ่อนคลายอย่างผิดปกติซึ่งแสดงให้เห็นว่ายอดเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้น่าจะเต็มไปด้วยพฤกษาวิญญาณมากมาย
“สภาวะพลังของที่นี่ดูจะแปลกประหลาดอย่างมาก”
ทั้งสี่เดินหน้าต่อไปเล็กน้อยก่อนอวิ๋นซื่อเทียนขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวออกมา
สภาวะพลังที่บริเวณยอดเขาแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ยิ่งนักซึ่งเหนือกว่าที่เชิงเขาหลายเท่าตัวและหนาแน่นกว่าสภาวะพลังในภูเขาหลายแห่งในดินแดนเทพมายา อย่างไรก็ตาม พลังที่อุดมสมบูรณ์เหล่านี้กลับเจือด้วยบางอย่างที่ทำให้รู้สึกแปลกประหลาด
แม้ว่าสภาวะพลังของที่นี่จะหนาแน่นอย่างมาก ทว่ากลับไม่มีวิธีที่จะดูดซับมันเข้ามาในร่างกายได้เลย นั่นหมายความว่าจอมยุทธ์ไม่สามารถฝึกวิชาที่นี่ได้ ไม่ว่าสภาวะพลังรอบตัวจะอุดมสมบูรณ์เพียงใด จอมยุทธ์ก็ทำได้เพียงสัมผัสรับรู้ถึงมันเท่านั้น ทว่าไม่มีทางใช้ประโยชน์อะไรจากมันได้
“มันแปลกประหลาดจริง ๆ ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างที่คอยควบคุมสภาวะพลังของที่แห่งนี้ไว้”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็สัมผัสได้เช่นกัน ในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้เต็มไปด้วยปริศนาและเรื่องประหลาดมากมาย และภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ก็ไม่ต่างกัน
“นั่นมันดูเหมือนกับหญ้าฟ้าคราม มันคือวัตถุดิบสำหรับการปรุงโอสถชั้นดี กล่าวกันว่ามันหายสาบสูญไปนานหลายพันปีแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเห็นมันที่นี่”
สายตาของเซิ่งเซียวหยุดลงที่พฤกษาสีฟ้าอมม่วงซึ่งดูประหลาดชนิดหนึ่งด้านข้างและเดินเข้าไปนั่งยองลงก่อนเอื้อมมือออกไปหยิบมัน
ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและอวิ๋นซื่อเทียนก็เคยได้ยินชื่อของหญ้าฟ้าครามซึ่งเป็นหนึ่งในสมุนไพรหายากมาบ้างเช่นกัน กล่าวกันว่าหากปรุงมันรวมกับวัตถุดิบอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งจะสามารถหลอมโอสถหวนคืนอายุออกมาได้และมันถือเป็นสมุนไพรวิญญาณที่ผู้หลอมโอสถจำนวนมากปรารถนาที่จะได้มาครอบครอง
เพียงแต่หญ้าฟ้าครามหายสาบสูญไปหลายพันปีแล้วและไม่เคยปรากฏให้เห็นอีกเลย คาดไม่ถึงเลยว่ามันจะปรากฏอยู่บนยอดเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่หญ้าประหลาดดังกล่าวและไตร่ตรองกับตัวเองขณะสำรวจพวกมันเช่นกัน
เซิ่งเซียวเอื้อมมือไปหยิบหญ้าดังกล่าวและดึงมันขึ้นมาเบา ๆ ก่อนที่หญ้าฟ้าครามจะปรากฏอยู่ในมือของเขา
ทว่าเมื่อฉินอวี้โม่กำลังจะเดินเข้าไปใกล้เพื่อสำรวจมัน จู่ ๆ หญ้าฟ้าครามในมือของเซิ่งเซียวก็เปลี่ยนแปลงไป
หญ้าที่เป็นสีฟ้าอมม่วงในตอนแรกกลับกลายเป็นสีเหลืองในชั่วพริบตาก่อนที่มันจะเหี่ยวเฉาโรยราไปอย่างรวดเร็วและสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?”
อวิ๋นซื่อเทียนมองมือที่ว่างเปล่าของเซิ่งเซียวด้วยความงุนงงและเอ่ยถามออกไป
“บางทีสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดบนยอดเขาแห่งนี้อาจไม่ได้มีไว้เพื่อให้จับต้องก็เป็นได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวข้อสันนิษฐานออกไป ภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกปิดผนึกไว้ในสมรภูมิรบเดนตายมานานและก่อนหน้านี้พลังงานปีศาจของที่นี่ก็หนาแน่นเป็นอย่างมากซึ่งทำให้สภาวะพลังที่บริสุทธิ์หายไปมากเช่นกัน สมุนไพรสำหรับปรุงโอสถบนยอดเขาเหล่านี้อาจถูกเก็บรักษาไว้เพียงชั่วคราวด้วยการช่วยเหลือจากสภาวะพลังประหลาดรอบตัว ทว่าเมื่อใดที่พวกมันแยกตัวออกจากพื้นดินของยอดเขา พวกมันจะสลายหายไปทันที…
เซิ่งเซียวและอวิ๋นซื่อเทียนไม่สงสัยในวาจาของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อยและพยายามทดสอบอีกสองถึงสามครั้งก่อนพบว่ามันเป็นจริงดังที่นางกล่าวไว้ ตราบใดที่สมุนไพรเหล่านี้แยกตัวออกจากพื้นดิน พวกมันจะเหี่ยวแห้งโรยราในทันทีก่อนสลายเป็นเถ้าถ่านและล่องลอยหายไป
“น่าเสียดายจริง ๆ สมุนไพรมากมายเช่นนี้ หากนำออกไปได้บางส่วนก็คงนำไปหลอมโอสถดี ๆได้มากมายทีเดียว”
เซิ่งเซียวส่ายศีรษะและถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความเสียดาย แม้ตัวเขาจะมิใช่ผู้หลอมโอสถ เขาก็อดเสียดายไม่ได้เมื่อเห็นสมุนไพรชั้นเลิศและหายากอยู่ตรงหน้ามากมาย ทว่ากลับหยิบมันกลับไปไม่ได้
ทั้งสี่จึงเดินหน้าต่อไปตามทาง ทว่าหลังจากก้าวเดินไปเพียงไม่นาน หวังอวิ๋นเย่และกลุ่มของเสี่ยวยวี่ยวี่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาบนยอดเขา
หลังจากที่ได้รับบทเรียนครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ หวังอวิ๋นเย่ก็ไม่กล้าก้าวออกไปข้างหน้ามากนัก แม้แต่เสี่ยวยวี่ยวี่เองก็หลบข้างหลังเขาด้วยกังวลว่าอวิ๋นซื่อเทียนจะสังเกตเห็นตน
“ดูนั่นสิ ที่นี่มีสมุนไพรล้ำค่ามากมายนัก !”
หลายคนในกลุ่มสังเกตเห็นสมุนไพรหลากหลายชนิดรอบตัวและอดอุทานด้วยความตื่นเต้นไม่ได้
แม้แต่หวังอวิ๋นเย่ผู้ซึ่งลอบมองอวิ๋นซื่อเทียนอย่างเงียบ ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองสมุนไพรมากมายรอบตัว
“เรารวยแล้ว ครั้งนี้พวกเรารวยแล้ว !”
ศิษย์ตระกูลเสี่ยวคนหนึ่งกล่าวด้วยความดีใจและวิ่งปรี่เข้าไปที่บุปผาสีเหลืองสดด้านข้างเพื่อเด็ดมันขึ้นมา
“ข้าขอเตือนพวกเจ้าไว้ก่อน สมุนไพรพวกนี้มิได้มีไว้ให้จับต้อง…และทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ นางสังหรณ์ใจว่ามีอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่ในสมุนไพรหายากเหล่านี้
“เหอะ เหตุใดพวกข้าจะต้องเชื่อเจ้าด้วย !”
บุรุษหนุ่มผู้นั้นไม่สนใจคำเตือนของฉินอวี้โม่และเด็ดบุปผาตรงหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สหายหลายคนของเขาก็เลือกหยิบสมุนไพรอีกจำนวนหนึ่งด้วยท่าทางดีใจ
ทว่าทันใดนั้น รอยยิ้มของศิษย์ตระกูลเสี่ยวคนแรกที่เด็ดบุปผาสีเหลืองก็ชะงักไปและความหวาดกลัวสุดขีดฉายชัดในแววตา