เมื่อได้เห็นสมุนไพรชั้นเลิศที่หายากมากมายอยู่ตรงหน้า มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะรักษาท่าทีใจเย็นไว้ได้ แม้แต่จอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าที่สุดก็ย่อมอดใจไม่ไหวและปรารถนาที่จะครอบครองมันมา
ฉินอวี้โม่สังหรณ์ใจถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างและอดกล่าวเตือนบรรดาศิษย์ของตระกูลเสี่ยวไม่ได้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาเหล่านั้นไม่เชื่อฟังวาจาของนางแม้แต่น้อย ทว่ามันก็เป็นสิ่งที่นางคาดการณ์ไว้แล้ว
“ทุกคนระวังตัวด้วย ข้าสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างแน่”
ขณะเอ่ยเตือนอวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียว ฉินอวี้โม่ก็ห่อหุ้มร่างกายตนเองด้วยพลังมายาพร้อมกับสร้างม่านป้องกันขึ้นมา
อวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อยเมื่อได้ยินคำเตือนของฉินอวี้โม่ พวกเขาทั้งสองต่างก็ควบแน่นม่านพลังมายาขึ้นมาเช่นกัน
หานโม่ฉือบีบมือฉินอวี้โม่เบา ๆ ราวกับต้องการให้สัญญาณว่าจะปกป้องนางไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
หลังจากหยิบสมุนไพรจำนวนหนึ่งขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าของบรรดาศิษย์จากตระกูลเสี่ยวหลายคนก็ยังคงปรากฏให้เห็น จากนั้นจู่ ๆ พวกเขาก็ชะงักนิ่งไปและความหวาดกลัวปรากฏในแววตา
“เกิดอะไรขึ้น ?”
เสี่ยวยวี่ยวี่และหวังอวิ๋นเย่ยังไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดของศิษย์ตระกูลเสี่ยว สีหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวก็กลายเป็นความอึดอัดอย่างรวดเร็วโดยที่ทำให้เสี่ยวยวี่ยวี่ซึ่งหลบอยู่ข้างหลังหวังอวิ๋นเย่ถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมา
“อ๊ากกกกกก !”
จู่ ๆ เสียงร้องก็ดังลั่นขึ้นมาและแขนข้างหนึ่งของหนึ่งในศิษย์ที่ถือสมุนไพรไว้ในมือก็เริ่มหายไปโดยเริ่มจากนิ้วมือและแผ่วงกว้างไล่ลามไปถึงแขนและหัวไหล่ ร่างกายของเขาค่อย ๆ สลายหายไปทีละส่วน ๆ
จากนั้นแขนขาทั้งสองข้างของเขาก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าทุกอย่างนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไปจนเขาทำได้เพียงส่งเสียงร้องออกมาเท่านั้น เขาได้แต่มองดูร่างกายของตนที่สลายกลายเป็นเถ้าถ่านลอยไปในอากาศเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ไม่มีหลงเหลือแม้กระทั่งจิตวิญญาณ
คนอื่น ๆ ที่แตะต้องสมุนไพรก็พบชะตากรรมเดียวกันขณะร่างกายค่อย ๆ สลายไปและสุดท้ายก็หายไปในอากาศ ราวกับไม่เคยปรากฏตัวที่นี่มาก่อน
“กรี๊ดดดด !”
เสี่ยวยวี่ยวี่กรีดร้องลั่นด้วยความตกใจและหวาดกลัวจนแทบหมดสติไป เมื่อมองดูหลายคนสลายหายไปตรงหน้าโดยไม่อาจทำอะไรได้เลย นางก็แทบเป็นลมล้มพับเสียให้ได้
มือทั้งสองของนางกำชายเสื้อของหวังอวิ๋นเย่ไว้แน่นขณะแข้งขาอ่อนแรงจนแทบทรุดลงและแววตาแสดงความหวาดกลัวอย่างที่สุด
สภาพของหวังอวิ๋นเย่เองก็ไม่ดีกว่ากันนัก เขาจับจ้องออกไปตรงหน้าอย่างไม่กะพริบตาและเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดทั่วหน้าผากพร้อมกับใบหน้าที่ถอดสี
ฉินอวี้โม่และสหายเตรียมใจสำหรับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นไว้แล้ว สถานการณ์ของพวกนางจึงดีกว่าเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม การได้เห็นผู้คนจำนวนนับสิบสลายหายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ก็ยังเป็นความรู้สึกที่หนักหนาเกินจะรับได้
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น ?”
อวิ๋นซื่อเทียนอดกล่าวออกไปไม่ได้ขณะก้มมองดูมือของตนเองที่ยังปกติดี
ก่อนหน้านี้พวกนางก็แตะต้องสมุนไพรเหล่านั้นเช่นกัน แล้วเหตุใดจึงยังเป็นปกติและไม่สลายหายไปเหมือนคนเหล่านั้น ?
ฉินอวี้โม่เองก็ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ นางและคนอื่น ๆ ก็สัมผัสสมุนไพรหายากเหล่านั้นทว่าร่างกายของพวกตนกลับไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ แม้แต่น้อย ต่อให้จะกล่าวว่าพวกนางมีกายาที่พิเศษก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แม้ฉินอวี้โม่จะครอบครองกายเทพมายาและหานโม่ฉือครองกายโกลาหล ทว่าร่างกายของเซิ่งเซียวและอวิ๋นซื่อเทียนก็ดีกว่าคนปกติทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งไม่ถือว่าเป็นกายาที่พิเศษแต่อย่างใด อย่างน้อยที่สุดพวกนางก็น่าจะได้รับผลกระทบมาบ้าง
“อย่าเพิ่งแตะต้องสมุนไพรพวกนั้นล่ะ”
ฉินอวี้โม่ชำเลืองมองไปที่หวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่ซึ่งอยู่ไม่ไกลก่อนเอ่ยเตือนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ฉินอวี้โม่ไม่กล่าวเช่นนั้น ทั้งสองก็ไม่กล้าแตะต้องสิ่งใดรอบตัวอีกต่อไป หากทำได้ พวกเขาอยากจะเผ่นหนีลงไปจากยอดเขาให้ได้เสียเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ทั้งสองไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจะมีวิกฤตใดรออยู่เบื้องหน้าอีกหรือไม่และไม่กล้าทำสิ่งใดลงไปอย่างบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิด
“พี่อวิ๋นเย่ ข้ายังไม่อยากตาย…”
ขาทั้งสองข้างของเสี่ยวยวี่ยวี่อ่อนแรงจนแทบทรุดล้มลงขณะเอนร่างที่สั่นเทาของตนเองเข้าหาบุรุษตรงหน้าเล็กน้อย
“เราไม่ตายหรอก”
หวังอวิ๋นเย่กล่าวปลอบประโลมเสี่ยวยวี่ยวี่ทว่าเป็นวาจาที่ปลอบใจตัวเองไปพร้อมกัน
ขณะเวลาดำเนินไปเรื่อย ๆ ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนร่างกายของตนเองและทำได้เพียงหยุดนิ่งอยู่กับที่เท่านั้น
“ปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้แล้ว เราต้องสืบหาให้แน่ชัดว่าสิ่งใดกันที่ฆ่าคนพวกนั้น”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าวออกไป นางแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจรอบตัวทว่าก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ ยอดเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีบรรยากาศที่เงียบสงบอย่างมากและสภาวะพลังยังคงอุดมสมบูรณ์เช่นเดียวกับที่สัมผัสได้ในตอนแรก หากมิใช่เพราะเห็นกับตาว่าคนนับสิบสลายหายไปหลังจากหยิบสมุนไพรเหล่านั้นขึ้นมา นางก็คงไม่มีทางจินตนาการได้ว่าจะมีอันตรายที่ซ่อนอยู่รอบ ๆ ตัว
“ข้าจะลองทดสอบดู”
มารยาก้าวออกมาจากมิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่และกล่าวเสนอออกมา
ในฐานะผลึกน้ำแข็งเก่าแก่นับพันปี ต่อให้พลังรอบตัวประหลาดเพียงใด มันก็ทำอะไรอสูรสาวไม่ได้
มารยาเอื้อมมือออกไปหยิบสมุนไพรวิญญาณใกล้ตัวขึ้นมาและรอครู่หนึ่ง จากนั้นสมุนไพรดังกล่าวก็สลายหายไปในอากาศโดยที่มันไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น
ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนตัดสินใจที่จะลองใช้เปลวเพลิงของตนเองทดสอบดู อึดใจต่อมา เปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นมาบนมือของนางก่อนที่จะนำมันไปจ่อที่สมุนไพรข้างตัว
“วี๊ดดดด…”
เสียงประหลาดบางอย่างดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่ทันทีและสมุนไพรชิ้นนั้นก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ทว่านั่นเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของนางได้อย่างชัดเจน
“มันคือแมลงภูต !”
นางเปล่งเสียงออกมาด้วยสีหน้าจริงจังทันที
‘แมลงภูต’ คือสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวที่จะปรากฏเฉพาะในบริเวณที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตเท่านั้น มันคืออสูรมายาประเภทหนึ่งทว่าแตกต่างจากอสูรทั่วไปมากนัก
แม้มีความแข็งแกร่งเพียงไม่มาก ทว่าแมลงภูตมีความสามารถในด้านการขยายพันธ์ุที่สูง ตราบใดที่ตัวหนึ่งปรากฏตัวก็จะมีลูกหลานนับพันนับหมื่นตัวเกิดใหม่ต่อมาได้ไม่ยาก
ยิ่งไปกว่านั้น แมลงภูตก็มีขนาดเล็กมากและมีความสามารถพิเศษในการซ่อนตัวในอากาศได้ดี มันจึงมิใช่เรื่องแปลกที่จะไม่มีใครค้นพบถึงตัวตนของพวกมัน
ยอดเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีแมลงภูตอยู่มากมายนับไม่ถ้วน พวกมันเกาะติดอยู่กับสมุนไพรทั่วบริเวณ เพราะฉะนั้นเมื่อมีผู้ใดเด็ดสมุนไพรเหล่านั้นขึ้นมา แมลงจิ๋วจำนวนมากก็จะเคลื่อนตัวไปสู่คนเหล่านั้นและกลืนกินพวกเขาทันที
นี่คือสาเหตุที่ศิษย์ตระกูลเสี่ยวนับสิบคนสลายหายไปในอากาศหลังจากเด็ดสมุนไพรขึ้นมา
“แมลงภูตรึ !”
ทั้งหวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่มิใช่คนโง่เขลา แน่นอนว่าทั้งสองเคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้มาบ้างแล้วและตกใจอย่างที่สุด
“แต่เมื่อครู่นี้พวกเจ้าก็แตะต้องสมุนไพรพวกนั้น เหตุใดแมลงภูตพวกนั้นจึงไม่กลืนกินพวกเจ้าล่ะ ?”
เสี่ยวยวี่ยวี่ซึ่งกำชายเสื้อของหวังอวิ๋นเย่ไว้แน่นขณะเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัย
นางเชื่อว่าความแข็งแกร่งของอวิ๋นซื่อเทียนและสหายทั้งหมดคงไม่มากไปกว่าศิษย์ตระกูลเสี่ยวเหล่านั้น ในเมื่อพวกนางแตะต้องสมุนไพรเช่นเดียวกัน เหตุใดแมลงภูตเหล่านั้นจึงไม่กัดกินพวกนางเช่นเดียวกันศิษย์ตระกูลเสี่ยว ?
นี่เป็นคำถามที่อวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวก็สงสัยอย่างมากเช่นกันและไม่มีคำตอบว่าเหตุใดพวกตนจึงรอดพ้นจากแมลงภูตพวกนั้นได้
“บางทีบนตัวของพวกเจ้าอาจมีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้แมลงภูตพวกนั้นกลัวก็เป็นได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวข้อสันนิษฐานของตนออกไปทว่ายังไม่มั่นใจนักว่ากลิ่นอายของพลังใดที่ทำให้แมลงภูตเหล่านั้นหวาดกลัวได้
“นายท่าน…สิ่งที่ทำให้แมลงภูตพวกนั้นกลัวคือพลังของนายหญิง ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนายหญิง ดังนั้นกลิ่นอายของนายหญิงจึงได้ปนเปื้อนติดตัวพวกเขา แมลงภูตพวกนั้นจึงไม่กล้าทำอะไรพวกเขาทั้งสอง”
เสียงของเนตรปีศาจดังขึ้นในหูของหานโม่ฉือและไขปริศนาของเรื่องนี้ได้ทันที
แม้แต่แมลงภูตที่น่าหวาดหวั่นก็ยังเกรงกลัวต่อพลังของฉินอวี้โม่ คิดไม่ถึงเลยว่าภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะมีปริศนาลึกลับมากมายเช่นนี้
ก่อนหน้านี้เนตรปีศาจก็ยังไม่มั่นใจนัก ทว่าหลังจากจำนนต่อหานโม่ฉือ มันก็รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าฉินอวี้โม่มีกลิ่นอายบริสุทธิ์บางอย่างที่ถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของความชั่วร้ายทั้งหมด ตราบใดที่ใช้เวลาอยู่กับนางนานพอสมควร ทุกคนก็จะถูกปนเปื้อนด้วยกลิ่นอายเหล่านั้นซึ่งเป็นสิ่งที่พลังงานชั่วร้ายทั้งหมดหวาดหวั่นและไม่กล้าเข้าใกล้
แมลงภูตมิใช่ตัวตนที่ทรงพลังมากนัก ทว่าเมื่ออาศัยจำนวนที่มีอย่างมหาศาลและความสามารถในการล่องหนของพวกมัน การป้องกันจากพวกมันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับพลังในร่างของฉินอวี้โม่ พวกมันก็ไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่าม
ยิ่งไปกว่านั้น เพลิงแห่งชีวิตของซิวเองก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของแมลงภูตเหล่านั้นเช่นกัน