เมื่อได้ทราบว่าเพลิงแห่งชีวิตของซิวสามารถกำราบแมลงภูตเหล่านี้ได้ ฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
“วี๊ดดด !”
ถึงอย่างไรสมุนไพรวิญญาณบนภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ล้วนไร้ประโยชน์ต่อพวกนาง มันจึงมิใช่เรื่องที่น่าเสียดายหากจะแผดเผาพวกมันทั้งหมดไป อึดใจต่อมา กองเพลิงก็ลุกท่วมสมุนไพรเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วก่อนเกิดเสียงหวีดแหลมดังขึ้น
แมลงภูตทั้งหมดเปลี่ยนกลายเป็นเถ้าถ่านและสลายหายไปในอากาศภายใต้เพลิงอันทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของซิว
ภายในเวลาเพียงไม่นาน สมุนไพรหายากนานาชนิดในบริเวณใกล้เคียงก็สลายหายไปและทำให้บริเวณรอบ ๆ นี้ปลอดภัยเป็นการชั่วคราว
เมื่อหวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่เห็นฉินอวี้โม่กำจัดแมลงภูตทั้งหมดได้อย่างง่ายดายด้วยการโบกมือเพียงเบา ๆ สีหน้าของทั้งสองก็กลายเป็นซับซ้อนในทันที ทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรู้สึกวางใจว่าตนจะปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกหวาดหวั่นต่อฉินอวี้โม่และคณะยิ่งนักและกังวลว่าพวกนางอาจถือโอกาสนี้ในการจัดการกับพวกตนเป็นลำดับต่อไป
“ไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ไม่ได้สนใจหวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่แม้แต่น้อย นางเพียงจับมือหานโม่ฉือเช่นเดิมก่อนออกเดินหน้าต่อไป
อวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวก็ตามไปอย่างใกล้ชิดเช่นกันและเพิกเฉยต่ออีกสองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ไม่ไกลราวกับไม่เห็นคนเหล่านั้นอยู่ในสายตา
หวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่ก็มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนรีบตามไปอย่างรวดเร็ว สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่ว่าบนยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะงดงามดุจภาพวาดและมีสภาวะพลังที่อุดมสมบูรณ์เพียงใด ทั้งสองก็ยังรู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าขนลุกและแปลกประหลาด
ในระหว่างทางหลังจากนั้น แม้เผชิญหน้ากับแมลงภูตอีกเป็นจำนวนมาก ฉินอวี้โม่ก็ปล่อยเพลิงตรงไปทำลายพวกมันจนกลายเป็นเถ้าถ่านและสลายหายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งกลุ่มจึงไม่ต้องกังวลถึงภัยจากแมลงภูตอีกต่อไป
หวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่ติดตามคนทั้งสี่ไปเรื่อย ๆ และความหวาดหวั่นในตอนแรกก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังจนปัญญา
ฉินอวี้โม่และอีกสามคนมีพลังที่แกร่งกล้าเกินไปจริง ๆ ตัวเขาและเสี่ยวยวี่ยวี่เทียบไม่ติดแม้แต่น้อย ในตอนแรกแม้หวังอวิ๋นเย่จะยังไม่เต็มใจนักและยังคิดที่จะตามเกี้ยวพานอวิ๋นซื่อเทียนต่อไปให้สำเร็จ ทว่าตอนนี้เขาล้มเลิกความคิดนั้นไปอย่างสิ้นเชิง คู่ต่อสู้เหล่านี้น่าสะพรึงกลัวจนเกินไปและมิใช่ระดับที่เขาจะเอาชนะได้เลย
หลังจากเดินทางต่อไปนานหนึ่งก้านธูป ทั้งคณะก็มาถึงบริเวณที่เป็นจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
บุปผาและพฤกษามากมายที่รายล้อมรอบตัวนับตั้งแต่ขึ้นมาบริเวณยอดเขาก็เริ่มที่จะปรากฏให้เห็นน้อยลงเรื่อย ๆ ในขณะที่สภาวะพลังหนาแน่นมากยิ่งขึ้นและบรรยากาศแปลกประหลาดเจือความลึกลับยิ่งกว่าเดิม
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ สัมผัสถึงแรงกดดันได้เพียงเลือนราง ทว่าเสี่ยวยวี่ยวี่ผู้ซึ่งเดินตามอยู่หลังสุดกลับรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกราวกับมีบางสิ่งบางอย่างที่ทรงพลังอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล
“ไม่แปลกใจเลยที่ถูกเรียกว่าสมรภูมิรบเดนตาย บรรยากาศของที่นี่น่าสะพรึงกลัวจริง ๆ !”
เซิ่งเซียวอดถอนหายใจให้กับบรรยากาศประหลาดรอบตัวไม่ได้ เพียงแค่ก้าวขึ้นมาบนยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จอมยุทธ์ก็ต้องเผชิญกับอันตรายที่มีหนทางรอดเพียงริบหรี่แล้ว หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ แม้แต่เขาและคนอื่น ๆ ก็คงต้องยอมแลกด้วยค่าใช้จ่ายที่มหาศาลกว่าที่จะมาถึงจุด ๆ นี้ได้ นับประสาอะไรกับจอมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่อ่อนแอยิ่งกว่า
“นั่นสิ เจ้าเทพเหนือมนุษย์ทั้งสองนี่ ไม่คาดคิดว่าจะยังมีสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ได้”
อวิ๋นซื่อเทียนมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่ยืนอยู่ข้างหน้าพลางกล่าวติดตลกเช่นกัน
แม้ภายนอกนางและเซิ่งเซียวจะดูสงบนิ่งอย่างมาก ทว่าทั้งสองก็ด้อยกว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างเห็นได้ชัด จอมยุทธ์สองสามีภรรยาไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใดแม้แต่น้อยและไม่เห็นอุปสรรครอบตัวอยู่ในสายตา
หวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่ก็ได้ยินวาจาของอวิ๋นซื่อเทียนอย่างชัดเจนและแอบเห็นด้วยอยู่ในใจ
ไม่ว่าเผชิญกับสถานการณ์ใด ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่แสดงสีหน้าตื่นตระหนกให้เห็นแม้แต่น้อย ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ทั้งสองมาจากที่ใด
“ทุกคนระวังตัวด้วย ข้าสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่รุนแรงบางอย่าง”
ฉินอวี้โม่กล่าวเตือนอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ในเวลานี้นางสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่รุนแรงบางอย่างซึ่งทำให้เกิดความอึดอัดและไม่สบอารมณ์ในใจ
“วู้…”
ทันใดนั้น เสียงคำรามโหยหวนดังไปทั่วบริเวณและทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน สีหน้าของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อยในทันที
จากนั้นท้องฟ้าเบื้องบนก็หม่นลงอย่างกะทันหันพร้อมกับอสูรขนาดใหญ่ยักษ์ที่ปรากฏตรงหน้า
อสูรร่างมหึมาตัวนี้มีความสูงเทียบเท่ากับตึกสามสิบชั้นและฉินอวี้โม่ที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดก็มีขนาดเล็กกว่านิ้วเท้าของมันด้วยซ้ำ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ทุกคนก็ไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ใบหน้าของมันได้และไม่สามารถระบุได้เลยว่ามันคืออสูรชนิดใด
อึดใจต่อมา อสูรยักษ์ใหญ่ก็เหวี่ยงแขนตรงมาในจุดที่ฉินอวี้โม่ยืนอยู่ทันที
ตูมมม !
ปฏิกิริยาตอบสนองของทุกคนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วขณะหลบหลีกการโจมตีของอสูรประหลาดได้อย่างทันท่วงที
แขนของอสูรยักษ์กระแทกเข้าที่พื้นดินจนเกิดเสียงดังสนั่น พื้นดินทั่วบริเวณยอดเขาสั่นสะเทือนอย่างแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ก็ว่าได้
หลังจากเหาะขึ้นสูงกลางอากาศ ในที่สุดฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ได้เห็นรูปลักษณ์ของอสูรตรงหน้าอย่างชัดเจน
อสูรขนาดมหึมานี้มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ทว่าใบหน้าของมันถูกปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีเหลืองหนาซึ่งทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดนัก ดวงตาขนาดใหญ่ของมันก็กำลังจับจ้องตรงมาที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อย่างไม่กะพริบตาจนก่อให้เกิดความรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
“แม่เจ้า นี่มันตัวอะไรกัน ?”
อวิ๋นซื่อเทียนเอ่ยถามและถอนหายใจยาว สิ่งมีชีวิตตรงหน้าดูคล้ายคลึงกับมนุษย์แต่ก็ดูเหมือนอสูรมายาขนาดใหญ่เช่นกัน สุดท้ายแล้วมันคือตัวอะไรกันแน่ ?
“มันมีกลิ่นอายของมนุษย์ติดตัวอยู่และอาจเป็นมนุษย์จริง ๆ ทว่าเหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ?”
เซิ่งเซียวขมวดคิ้วมุ่น อสูรยักษ์ตรงหน้าพวกเขามีกลิ่นอายของมนุษย์ที่ชัดเจนราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ร่างกายขนาดยักษ์และเสียงคำรามประหลาดพิสูจน์ให้เห็นว่าอีกฝ่ายมิใช่มนุษย์ทั่วไปอย่างแน่นอน
“เขาน่าจะเป็นมนุษย์ ทว่าเกิดเรื่องประหลาดบางอย่างจึงทำให้กลายเป็นดังที่เห็นในตอนนี้”
ฉินอวี้โม่แผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจโดยรอบและยืนยันได้ว่าอสูรยักษ์ตรงหน้ามีลักษณะร่างกายทุกอย่างที่เหมือนกับมนุษย์ แม้แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างกายก็ยังเป็นของมนุษย์เช่นกัน
หากคาดเดาไม่ผิด ยักษ์ตนนี้จะต้องเคยเป็นมนุษย์มาก่อนทว่าเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกายจนทำให้กลายเป็นอสูรมหึมาประหลาดเช่นนี้
จิตสำนึกของเขาคงจะถูกลบล้างไปและไม่ต่างจากผีดิบที่ไร้สติ เมื่อถูกกระตุ้นโดยพลังบางอย่าง เขาจึงเปลี่ยนกลายเป็นยักษ์ขนาดใหญ่ที่ประจำอยู่ในบริเวณยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“ในร่างกายของเขาแอบแฝงไปด้วยพลังงานปีศาจที่เข้มข้น”
เนตรปีศาจลอยออกมาเกาะบนหัวไหล่ของหานโม่ฉือขณะมองยักษ์ขนาดมหึมาอย่างพินิจพิจารณาก่อนกล่าวออกไป
ถึงอย่างไรมันก็เป็นตัวตนที่ทรงพลังและมีชื่อเสียงของโลกปีศาจ แน่นอนว่าต้องคุ้นชินกับพลังงานปีศาจเป็นอย่างดี ในเวลานี้มันก็สัมผัสได้ว่าภายในร่างกายของอสูรยักษ์ตนนี้อัดแน่นไปด้วยพลังงานปีศาจที่มหาศาลจนทำให้มันรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย
“บางทีเขาอาจเป็นจอมยุทธ์คนหนึ่งที่เข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก ทว่าถูกครอบงำโดยพลังงานปีศาจในปริมาณมหาศาล สุดท้ายจึงตกอยู่ในสภาพนี้”
มันกล่าวข้อสันนิษฐานของตนและเป็นการยืนยันว่าเผ่าปีศาจมีพลังประหลาดอยู่จริง
“หรือว่าเขาจะเป็นผู้ที่สร้างภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ขึ้นมา ?”
เซิ่งเซียวเอ่ยถามด้วยฉงนสงสัยและไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองกล่าวออกไปด้วยซ้ำ
“ไม่ ผู้ที่สร้างภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ขึ้นมามีพลังอำนาจที่เย้ยฟ้าท้าดิน ต่อให้จะล้มตายไป พลังงานปีศาจก็ไม่มีทางกัดกร่อนร่างของเขาได้แน่”
เนตรปีศาจปฏิเสธอย่างรวดเร็ว แม้ว่าอสูรยักษ์ตรงหน้าจะทรงพลังจริง ๆ ทว่าการที่จะนำพลังของมันไปเทียบกับผู้ที่สร้างภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้น มันก็ยังห่างไกลกันอีกหลายขุม
หากผู้ที่สร้างภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกกัดกร่อนโดยพลังงานปีศาจและเปลี่ยนกลายเป็นยักษ์มหึมาเช่นนี้ เขาก็คงจะมีพลังอำนาจที่แม้แต่จอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าที่สุดในดินแดนมหาเทพก็เทียบไม่ได้
“โฮกกก !”
เมื่ออสูรมหึมาโจมตีพลาดเป้าหมายไป มันก็เดือดดาลอย่างที่สุดขณะง้างแขนเหวี่ยงออกไปอีกครั้งเพื่อโจมตีฉินอวี้โม่และทุกคน
ด้วยร่างกายขนาดใหญ่มหึมา แม้จะมีความแข็งแกร่งในระดับที่มากพอสมควร ทว่าการเคลื่อนไหวของร่างกายก็ช้ามาก
ด้วยความเร็วของฉินอวี้โม่ แน่นอนว่านางหลบหลีกการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายและไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไป
ตูมมม !
เสียงปะทะดังสนั่นอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ยักษ์ขนาดมหึมายังคงทำอะไรฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ได้
“วู้…”
หลังจากสิ้นเสียงโหยหวนคำราม จู่ ๆ เส้นผมของอสูรใหญ่ยักษ์ก็กลายเป็นเชือกที่พันล้อมรอบฉินอวี้โม่และทุกคน