เมื่อฉินอวี้โม่ตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นก็พบว่าเจ้าของอ้อมกอดอันอบอุ่นได้หายตัวไปแล้ว เมื่อคืนถือเป็นคืนที่คุณหนูคนงามรู้สึกหลับสบายเป็นที่สุดและเป็นคืนที่เธอหลับตาลงได้อย่างอุ่นใจที่สุดตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกมายาใบนี้
หากไม่ใช่เพราะกลิ่นเฉพาะกายอันชวนให้หัวใจอุ่นซ่านของบุรุษน้ำแข็งที่ยังคงอบอวลอยู่รอบตัว ฉินอวี้โม่ก็คงคิดว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
หลังจากอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่จนเรียบร้อย คุณหนูคนงามก็นั่งลงเปิดอ่านตำราที่โต๊ะ ทว่านางกลับยังไม่เห็นเสี่ยวโร่วที่ปกติจะเตรียมมื้อเช้าให้นางทุกวัน ในตอนนี้เองที่ฉินอวี้โม่เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
ฉินอวี้โม่รีบเดินไปยังห้องของสาวใช้น้อยและพบว่าประตูห้องนางปิดอยู่
คุณหนูผู้เริ่มร้อนใจผลักบานประตูเข้าไปแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของสาวใช้ผู้เป็นเสมือนน้องสาว
นี่ทำให้นางเริ่มวิตกกังวล… ‘หรือว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเสี่ยวโร่ว’
ในตอนที่คุณหนูผู้ตื่นตระหนกเตรียมจะออกไปจากเรือนเพื่อตามหาสาวใช้น้อย นางก็เห็นฉินอี้เฟยเดินเข้ามาพร้อมกับอาหารเช้า บนใบหน้าของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลฉินแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี
“พี่ใหญ่ เสี่ยวโร่วล่ะเจ้าคะ ?”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของพี่ชาย ในใจของฉินอวี้โม่ก็รู้สึกโล่งขึ้น ในเมื่อฉินอี้เฟยก็ยังคงยกอาหารเช้ามาให้นางแทนเสี่ยวโร่วด้วยสีหน้าปกติไม่ทุกข์ร้อนได้นั่นแสดงว่าคงไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเสี่ยวโร่ว
“เสี่ยวโร่วต้องการจะทะลวงข้ามขอบเขตพลัง ดังนั้นท่านปู่จึงอนุญาตให้นางเข้าไปใช้ห้องลับสำหรับทะลวงพลัง เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจ ในระหว่างที่จอมยุทธ์ขอบเขตมายารัตนะกำลังจะก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตนภมายาห้ามเข้าไปรบกวนเด็ดขาด การให้เสี่ยวโร่วเข้าไปยังห้องลับก็จะทำให้นางทะลวงพลังได้อย่างมั่นใจ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเข้าใจ สิ่งที่ท่านปู่ของนางคิดนั้นถูกต้อง
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ หลายปีมานี้เสี่ยวโร่วใส่ใจเจ้ามากนะ ก่อนที่นางจะเข้าไปยังห้องลับ นางยังไม่ลืมฝากฝังให้เตรียมอาหารเช้าไว้ให้เจ้า การที่ท่านแม่รับนางมาเลี้ยงก็เหมือนได้ผู้ช่วยมือดีมาคนหนึ่งเลยล่ะ”
ฉินอี้เฟยรู้สึกขอบคุณเสี่ยวโร่วจากใจ ในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมานางเฝ้าดูแลฉินอวี้โม่และอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นอย่างดีไม่มีสิ่งขาดตกบกพร่อง
พวกเขาสองพี่น้องไม่เคยมองว่าเสี่ยวโร่วเป็นคนนอกเลยสักครั้งและนับเอานางเป็นคนในครอบครัวเสมอ
“ใช่ เสี่ยวโร่วเป็นผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและสนทนากับพี่ชายในระหว่างลงมือจัดการอาหารมื้อเช้า
“พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านคิดว่าเสี่ยวโร่วแสนดีขนาดนั้น เช่นนั้นท่านตบแต่งนางเข้าตระกูลเสียดีหรือไม่ นางก็จะได้กลายเป็นพี่สะใภ้ข้า แถมยังถือได้ว่านางเป็นครอบครัวเดียวกันกับเราจริง ๆ ไง”
ฉินอวี้โม่แกล้งถามด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ตอนนี้ฉินอี้เฟยก็ไม่ใช่เด็กแล้ว เขาถึงวัยที่ควรจะมีคู่ครองได้แล้ว ทว่าพี่ชายของนางก็ยังไม่มีสตรีที่ถูกใจ อีกทั้งเสี่ยวโร่วก็ดูเหมือนจะมีใจให้ ‘คุณชายใหญ่’ ของนางอยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้นฉินอวี้โม่จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวลองใจเขา
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงได้กังวลถึงปัญหานี้ของข้านักล่ะ ?”
ฉินอี้เฟยมองฉินอวี้โม่อย่างระอา น้องสาวของเขาเพิ่งอายุเพียงสิบหกเท่านั้น เหตุใดนางถึงได้เป็นห่วงเรื่องคู่ครองของเขานักหนา
“ท่านพี่ ท่านรังเกียจที่เสี่ยวโร่วไม่มีพ่อแม่และเป็นแค่สาวใช้ใช่ไหม ?”
เมื่อได้ฟังวาจาเลี่ยงบาลี ตอบไม่ตรงประเด็นของฉินอี้เฟย ฉินอวี้โม่ก็จงใจกล่าวลองใจออกไปอีกครั้ง ในครั้งนี้นางตั้งใจใช้ประโยคที่ตรงประเด็นกว่าเดิม แน่นอนว่าคุณหนูคนงามรู้ดีอยู่แล้วว่าพี่ชายนางไม่เคยมองว่าเสี่ยวโร่วเป็นเพียงคนรับใช้ หรือเหยียดหยามชาติตระกูลของนางและยิ่งแน่นอนว่าเขาไม่เคยรังเกียจสาวน้อยเลย
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า ข้าจะไปเกลียดเสี่ยวโร่วได้อย่างไร ?”
ฉินอี้เฟยเอามือเขกกะโหลกน้องสาวตัวดีไปทีหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ตอนนี้เสี่ยวโร่วยังเด็กมาก เรื่องครอบครัวเราก็ยังมีปัญหาที่แก้ไม่ตก ข้าว่าเอาไว้เราค่อยพูดเรื่องนี้กันวันหลังเถอะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า การลองใจครั้งนี้ของคุณหนูสี่ตระกูลฉินนับว่าไม่สูญเปล่า อย่างน้อย ๆ นางก็รู้แล้วว่าพี่ชายของนางไม่ได้ต่อต้านหรือกีดกันเสี่ยวโร่ว
เมื่อถึงเวลาที่นางและพี่ชายตามหาบิดามารดาจนพบและสะสางปัญหาครอบครัวของพวกนางได้
รวมถึงรอคอยให้เสี่ยวโร่วโตขึ้นมากกว่านี้ ฉินอวี้โม่เกรงว่าในตอนนั้นนางคงจะต้องเตรียมตัวจัดงานแต่งงานให้กับพี่ชายและเสี่ยวโร่วโดยเร็วที่สุด
ฉินอวี้โม่คิดว่าหากนางไม่รีบจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจน ภายหลังถ้าหากเสี่ยวโร่วพบพ่อแม่และตัวตนของสาวใช้น้อยถูกเผยออกมา สาวน้อยอาจจะต้องตบแต่งกับบุรุษที่บิดามารดาจัดหาให้ เมื่อเวลานั้นมาถึงผู้เป็นคุณหนูก็คิดว่าตัวนางจะต้องเสียใจเป็นแน่
ณ ตอนนี้ ในเมื่อมีโอกาสจะทำได้ คุณหนูผู้รักเสี่ยวโร่วเสมือนน้องสาวก็อยากจะจัดการให้สาวน้อยที่นางรักได้แต่งงานกับฉินอี้เฟย ได้ทำอาหารและได้ดูแลพี่ชายของนาง หากเป็นเช่นนั้นทุกคนก็จะได้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวที่มีความสุข
การทะลวงพลังของเสี่ยวโร่วกินเวลากว่าสองวัน ในตอนนี้งานเลี้ยงอาหารค่ำที่พระราชวังใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว และในที่สุดเสี่ยวโร่วก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้ การทะลวงพลังของนางเป็นไปอย่างราบรื่น
เมื่อเห็นจอมยุทธ์นภมายาตัวน้อย ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มแย้มและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ตอนนี้เสี่ยวโร่วของนางดูมีราศีแห่งยอดฝีมือเปล่งประกายเฉิดฉาย ยิ่งกว่านั้นใบหน้ามนของสาวน้อยก็ยังดูอิ่มนวลขึ้นมากอีกด้วย
หากรอคอยให้เวลาผ่านไปอีกสักสองถึงสามปี เกรงว่าเสี่ยวโร่วคงจะกลายเป็นสาวงามไม่แพ้ผู้ใดในเมืองเป็นแน่ และเมื่อถึงตอนนั้น … หึ ๆ
“คุณหนู คุณหนูจ้องมองอะไรอยู่หรือเจ้าคะ ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่จ้องมองตัวนางอยู่นาน เสี่ยวโร่วก็หน้าแดง นางอดเขินอายไม่ได้ สาวน้อยไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงรู้สึกว่าสายตาที่คุณหนูใช้มองนางในตอนนี้ถึงได้ดูเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าโตขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว”
ฉินอวี้โม่รีบส่ายหน้าปฏิเสธ คุณหนูคนงามยังไม่คิดจะพูดเรื่องทัศนคติของฉินอี้เฟยหรือเปิดเผยแผนการจับคู่ที่นางตั้งใจเอาไว้
เสี่ยวโร่วน้อยผู้มีสองแก้มแดงเรื่อเดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามายืนข้างกายคุณหนูของตน ตอนนี้สาวใช้น้อยดูเขินอายไม่น้อยเลย
เมื่อเห็นท่าทางของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มขำไม่ได้
“เจ้ารีบไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ข้าจะพาเจ้าเข้าวัง วันนี้เราคงต้องแต่งตัวให้ดูดีกันสักหน่อย อย่าให้ตระกูลฉินต้องเสียหน้าได้”
ฉินอวี้โม่บอกให้เสี่ยวโร่วรีบไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวัง ก่อนที่นางเองจะเดินกลับเข้าห้องส่วนตัวเพื่อเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่เช่นกัน เพื่อให้เกียรติงานใหญ่โตที่จัดต่อหน้าพระพักตร์และเพื่อรักษาหน้าวงศ์ตระกูล วันนี้พวกนางทั้งคู่จะต้องแต่งกายให้ดูดีที่สุด
ช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ บ่าวรับใช้มาแจ้งว่ามีผู้ส่งชุดงดงามสำหรับไปงานเลี้ยงอาหารค่ำมาให้คุณหนูสี่ตระกูลฉิน
เมื่อฉินอวี้โม่ลองเปิดห่อชุดออกดูก็พบกระดาษแผ่นน้อยที่เขียนข้อความสั้น ๆ แนบมาด้วย –จากหานโม่ฉือ– นั่นทำให้สตรีเลอโฉมรู้ในทันทีว่าชุดงดงามนี้เป็นของบุรุษเย็นชาผู้ขยันทำให้หัวใจนางอบอุ่น
ในเรื่องนี้ฉินอวี้โม่เกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก เพราะคืนนั้นนางจำได้ว่านางไม่ได้บอกหานโม่ฉือว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในพระราชวัง แล้วเหตุใดคนผู้นั้นถึงได้ส่งชุดมาให้นางในวันนี้ได้อย่างพอดิบพอดี
อย่างไรก็ตาม คุณหนูโฉมงามก็ทราบว่าตนไม่มีเวลาให้นึกสงสัยสิ่งใดมากนัก จึงจัดการผลัดเปลี่ยนมาสวมใส่อาภรณ์งดงามในมืออย่างรวดเร็ว
ต้องบอกเลยว่าชุดที่หานโม่ฉือเลือกและส่งมานั้นช่างเหมาะสมและถูกใจฉินอวี้โม่เป็นอย่างยิ่ง
อาภรณ์ชุดนี้ตัดเย็บมาอย่างประณีตเพื่อใช้สำหรับสวมใส่ออกงานเลี้ยงใหญ่โดยเฉพาะ อาภรณ์ชุดนี้เป็นชุดกระโปรงยาวสีขาวนวลดุจแสงจันทร์ เมื่อมองแล้วให้ความรู้สึกสง่างามเรียบหรู ตัวชุดนั้นแม้ว่าจะมีรายละเอียดที่ซับซ้อนแต่ทว่าก็ทำได้อย่างงดงามลงตัว มองดูแล้วสบายตาและยังช่วยขับเน้นความงามของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญมันยังมีน้ำหนักเบา แม้จะสวมใส่ครบทุกชิ้นแล้วแต่ฉินอวี้โม่ก็ยังรู้สึกว่ามันเบากว่าชุดธรรมดาของนางเสียด้วยซ้ำ
นอกจากอาภรณ์งดงามเต็มชุดแล้ว บุรุษน้ำแข็งยังส่งเครื่องประดับที่เข้ากันกับชุดมาให้ด้วย เครื่องประดับชิ้นนั้นคือปิ่นปักผมสีนวล เพียงแค่มองด้วยสายตาก็ทราบได้ว่าราคาของมันไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย แม้ว่าตัวปิ่นจะดูไม่โดดเด่นนัก แต่เมื่อใส่รวมกับอาภรณ์ยาวสีขาวนั้นแล้วกลับดูงดงามลงตัวเป็นอย่างมากและยังช่วยทำให้สตรีผู้สวมใส่โดดเด่นเฉิดฉายราวเทพธิดาจากสรวงสวรรค์
เสี่ยวโร่วที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในห้องของฉินอวี้โม่ เมื่อก้าวเข้ามาและมองเห็นคุณหนูของนาง สาวใช้น้อยก็ต้องตกตะลึงในทันที
“โอ้โห ! คุณหนูสวยสุด ๆ ไปเลยเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วน้อยกล่าวชื่นชมจากใจจริง แววตาเป็นประกายของนางเต็มไปด้วยความเทิดทูนและภาคภูมิใจในตัวฉินอวี้โม่
“ใช่ไหมล่ะ ? ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
ฉินอวี้โม่มองดูตัวเองในกระจกและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ต้องบอกเลยว่าหากนางสวมชุดนี้ไปปรากฏตัวที่งานเลี้ยงอาหารค่ำในวังหลวงคืนนี้ เกรงว่าบรรดาสาวงามทั้งหลายที่มาเข้าร่วมงานอาจจะดูหม่นหมองลงไปถนัดตา
“เสี่ยวโร่วไปเอาผ้าคลุมสีดำมาให้ข้าที”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจปกปิดอาภรณ์งามนี้ไว้ก่อน
เสี่ยวโร่วพยักหน้าก่อนจะรีบไปหยิบฉวยผ้าคลุมยาวสีดำมาและช่วยฉินอวี้โม่สวมใส่
“ไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางและเสี่ยวโร่วออกเดินทางจากตระกูลฉินไปพร้อมกัน
ท่านผู้นำตระกูลฉินเฟินนั้นออกไปก่อนหน้าพวกนางสักพักหนึ่งแล้ว ท่านปู่บอกว่ามีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องไปหารือกับคนผู้หนึ่งก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม ส่วนฉินอี้เฟยนั้น เขามีงานบางอย่างต้องทำในสมาคมโอสถทำให้ไม่สามารถไปร่วมงานเลี้ยงได้ ดังนั้นฉินอวี้โม่จึงต้องไปกับเสี่ยวโร่วเพียงสองคน
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่ออกจากจวน ฉินอวี้โม่ก็พบกับหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีกำลังยืนรออยู่
“อวี้โม่ ในที่สุดเจ้าก็ออกมา พวกเรารอเจ้าอยู่นานแล้ว”
ผู้ที่กำลังยืนรออยู่ใกล้ ๆ กับด้านหน้าประตูทางเข้าออกของจวนตระกูลฉินก็คือเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิง สองสหายรักของฉินอวี้โม่
ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ แต่ทั้งเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงต่างก็สวมใส่อาภรณ์สีน้ำเงินด้วยกันทั้งคู่ คนผู้หนึ่งดูนุ่มนวลและงดงาม ส่วนอีกคนก็ดูสง่าผ่าเผย หากยืนนิ่ง ๆ อยู่เคียงข้างกัน ทั้งสองก็ดูเหมาะสมกันไม่น้อย แต่ถ้าหากมีฝ่ายใดเปิดปากกล่าวกับอีกฝ่ายขึ้นมาก็ได้แต่เตือนผู้ที่อยู่ใกล้เคียงว่าให้หาที่หลบพายุกันเอาเอง
“จริงหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างให้สหายก่อนจะกล่าวต่อ “งั้นเราก็ไปกันเถอะ”
กล่าวจบคุณหนูตระกูลฉินก็ก้าวขึ้นไปบนรถม้าของเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิง
“ว่าแต่ทำไมพวกเจ้าสองคนถึงมาด้วยกันได้ล่ะ ?”
ปกติแล้วโอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงไม่ต่างจากศัตรูคู่อาฆาตที่บาดหมางแค้นเคืองกันมาแต่ชาติปางก่อน หากได้อยู่ใกล้กันก็คงไม่พ้นทะเลาะกันเสียทุกครา ทว่าการที่ในวันนี้พวกเขาทั้งคู่อยู่ด้วยกันอย่างสงบได้มากถึงเพียงนี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“ในตอนที่รถม้าของโอวหยางชิงเฟิงกำลังผ่านหน้าสมาคมของเรา ข้าบังเอิญเห็นเข้าพอดีจึงตะโกนเรียกเขาไว้ ข้าไม่อยากจะไปพร้อมกับท่านพ่อและไม่อยากอยู่บ้านกับท่านปู่เพราะมันน่าเบื่อ เขาเลยคิดว่าจะไปพร้อมเขา ถ้าไปพร้อมคุณชายที่ไม่รู้จักโตผู้นี้ท่านพ่อและท่านปู่คงจะอนุญาต อีกอย่างจะได้มาเรียกเจ้าด้วย”
เยว่ชิงเฉิงอธิบาย ตอนนี้ดูเหมือนนางจะอารมณ์ดีไม่น้อย
เยว่ชิงเฉิงไม่ชอบอยู่กับบิดาและปู่ของนางเพราะมันทำให้นางรู้สึกเบื่อและอึดอัด คุณหนูช่างหลอมอยากจะอยู่กับสหายรักอย่างฉินอวี้โม่มากกว่า ทว่าในวาจาของนางก็ยังมิวายมีคำพูดจิกกัดโอวหยางชิงเฟิงอยู่
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดทั้งคู่ถึงมาด้วยกันได้ และเหลือบเห็นสายตาไม่ชอบใจจากคุณชายหน้ามนที่กำลังมองจ้องคุณหนูตระกูลเยว่
“อวี้โม่ ชุดของเจ้าสวยมาก !”
เมื่อสังเกตเห็นอาภรณ์ของคุณหนูตระกูลฉินผู้เป็นสหาย เยว่ชิงเฉิงก็อุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
“ชุดนี่ทำมาจากไหมน้ำแข็งหมื่นปี ว่ากันว่ามันอยู่ยงคงกระพันและยังต้านพิษได้ด้วย เจ้าไปได้มันมาจากที่ใดกัน ?”
แม้ว่าทักษะการหลอมของเยว่ชิงเฉิงจะธรรมดาเหลือแสน ทว่านางก็คงถือเป็นช่างหลอมผู้หนึ่ง อีกทั้งยังถูกทั้งบิดาและปู่บังคับให้อ่านตำราและท่องจำวัตถุดิบต่าง ๆ สำหรับการหลอมตั้งแต่เริ่มจำความได้ ดังนั้นเมื่อมองเห็นเนื้อผ้าที่ใช้ตัดเย็บอาภรณ์ของฉินอวี้โม่ชัดถนัดตา คุณหนูช่างหลอมก็มองวัสดุสำหรับทอออกในทันทีและมันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้นางประหลาดใจ
อาภรณ์ที่ทำจากไหมน้ำแข็งหมื่นปีนั้นหาได้ยากยิ่ง แม้แต่ขุมกำลังที่ทรงอิทธิพลในการเลือกสรรวัตถุดิบอย่างสมาคมช่างหลอมของพวกนางยังหามันมาไม่ได้เลย ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะมีของล้ำค่าถึงเพียงนี้อยู่ด้วย
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของเยว่ชิงเฉิง ฉินอวี้โม่ก็นิ่งอึ้งทว่าไม่นานนักมุมปากของนางก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้
ในตอนแรกฉินอวี้โม่เพียงแต่รู้สึกว่าชุดนี้งดงามมากและเหมาะกับตัวนาง แต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อได้ทราบถึงวัสดุที่ใช้สร้างแล้วมันจะน่าตกใจถึงเพียงนี้ …อาภรณ์ชุดนี้เป็นของขวัญที่หานโม่ฉือมอบมาเพื่อจะทำให้นางประหลาดใจครั้งใหญ่อย่างแท้จริง…และมันก็ทำให้หัวใจดวงน้อยอุ่นซ่านอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“ข้าได้มาจากสหายคนหนึ่ง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและตอบออกไปสั้น ๆ โดยไม่ได้เอ่ยนามผู้ให้
“ได้มาจากสหายอย่างนั้นหรือ ?” เยว่ชิงเฉิงประหลาดใจอีกครั้ง “สหายคนไหนกันถึงได้ใจกว้างถึงเพียงนั้น ? เจ้าแนะนำให้ข้ารู้จักบ้างสิ—”
— โครม ! —
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่คุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมจะทันได้กล่าวจนจบประโยค นางก็รู้สึกว่ารถม้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนจะหยุดชะงักลง
“เกิดอะไรขึ้น ?”
เยว่ชิงเฉิงเกือบจะกระเด็นตกจากรถม้าไปเพราะความแรงจากการกระแทก หากไม่ใช่เพราะโอวหยางชิงเฟิงคว้าตัวนางเอาไว้ นางก็คงต้องขายหน้าและเจ็บตัวไปแล้ว
“เรียนคุณหนูเยว่ จู่ ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งโผล่ออกมาจากตรอกด้านหน้าและขวางหน้ารถม้าของเราไว้จนทำให้ม้าตกใจขอรับ !”
เสียงของบ่าวรับใช้ผู้บังคับรถม้าดังขึ้นจากด้านนอก น้ำเสียงของเขาฟังดูกังวลใจอย่างมาก
“ใครกันที่ไร้ความสามารถแต่ยังกล้าขับรถม้ามาบนถนน ?”
เยว่ชิงเฉิงเปิดม่านแล้วชะโงกหน้าออกไป ตรงหน้ารถม้าที่พวกนางนั่งมีรถม้าคันหนึ่งจอดขวางทางอยู่จริง ๆ
“เยว่ชิงเฉิง เรื่องนั้นช่างเถอะ ถ้าเราไม่รีบ พวกเราจะไปสาย”
โอวหยางชิงเฟิงหยุดเยว่ชิงเฉิงที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงและตั้งท่าจะกระโจนออกไปดูหน้าเจ้าของรถม้าคันนั้น
เยว่ชิงเฉิงได้แต่จ้องมองไปที่รถม้าคันนั้นด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะสั่งให้คนขับรถม้าของตระกูลโอวหยางเบี่ยงไปด้านข้างเพื่อเดินทางต่อ
ทว่าเมื่อคนขับรถม้าพยายามเบี่ยงเส้นทางเพื่อหลบรถม้าเจ้าปัญหานั้น ไม่คิดเลยว่าพอรถม้าของพวกเขาขยับ รถม้าที่อยู่ข้างหน้าก็ขยับตามมาเพื่อขวางทางพวกเขาอีก
หลังจากการพยายามอยู่หลายครั้งเยว่ชิงเฉิงก็ทนไม่ไหวและโอวหยางชิงเฟิงก็ฉุดรั้งนางไว้ไม่ได้ ในที่สุดคุณหนูผู้ห้าวหาญไม่ต่างจากบุรุษก็กระโดดออกจากรถม้าไป~
“เฮ้ เจ้ารถม้าข้างหน้ารีบถอยออกไปอย่ามาขวางทางพวกข้านะ !”
เมื่อออกมาจากรถม้า เยว่ชิงเฉิงก็เดินตรงเข้าไปพร้อมตะโกนเข้าใส่ในทันที
“โอ้ ! ข้าก็สงสัยอยู่ว่าใครกันที่กำลังซ่อนอยู่ด้านหลังรถม้าของข้า ? ที่แท้ก็เป็นคุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมนี่เอง”
เสียงเย้ยหยันของบุรุษผู้หนึ่งดังออกมา จากนั้นก็มองเห็นร่างของเขาเดินออกมาจากรถม้าคันข้างหน้า
“คุณหนู นั่นมันหวังรั่วจวิน”
เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เพิ่งลงจากรถม้าที่จงใจขวางทางพวกนาง เสี่ยวโร่วก็จดจำเขาได้ ซึ่งก็แน่นอนเพราะอีกฝ่ายเป็นบุรุษอันธพาลที่นางซัดจนหมอบไปเมื่อเดือนก่อน
“ข้าก็สงสัยอยู่ว่าใครมันกล้ามาขวางทาง ที่แท้ก็เป็นคุณชายขี้แยจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร ทำไม เมื่อเดือนก่อนที่เจ้าถูกสตรีสองคนสั่งสอนไปนั่นมันยังหนักไม่พอใช่ไหม ?”
เมื่อเยว่ชิงเฉิงเห็นหวังรั่วจวิน สีหน้าของนางก็ดูไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้น คุณหนูตระกูลช่างหลอมอดไม่ได้ที่จะถากถางอีกฝ่ายออกไปพร้อมสาดสายตาดุร้าย
เมื่อโอวหยางชิงเฟิงเห็นว่าผู้ที่ลงจากรถม้าคือหวังรั่วจวิน เขาก็รีบลงไปยืนเคียงข้างเยว่ชิงเฉิงทันที