ทันทีที่หัวหน้ากลุ่มคนชุดดำเข้าร่วมการต่อสู้ ฉินเหยียนก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว
ความแข็งแกร่งของบุรุษผู้นี้เหนือชั้นจนเกินไปและพลังของเขาก็น่าจะอยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุด
นอกเหนือจากพลังที่เหนือกว่าลูกน้องคนอื่น ๆ เขาก็ยังมีประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชนจนสามารถคาดการณ์แนวทางการเคลื่อนไหวทั้งหมดและโจมตีจุดอ่อนของฉินเหยียนได้อย่างแม่นยำส่งผลให้นางตกอยู่ในสภาวะไร้ทางสู้
เดิมทีนางก็ยังพอรับมือกับคู่ต่อสู้มากกว่าสิบคนได้อย่างจวนเจียนและไม่เพลี่ยงพล้ำง่าย ๆ ทว่าเมื่อหัวหน้าคนชุดดำเข้าร่วมการโจมตี ฉินเหยียนก็กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบภายในเวลาเพียงไม่นาน
หากมิใช่เพราะฝ่ายคนชุดดำเหล่านี้ไม่ได้หมายเอาชีวิตหรือต้องการโจมตีให้ถึงตาย เกรงว่านางก็คงจะหมดลมหายใจไปนานแล้ว
“ตรงนั้นเหมือนจะมีคนต่อสู้กันอยู่”
เสียงฝีเท้าของคนหลายคนดังขึ้นไม่ไกลจากจุดที่ฉินเหยียนและกลุ่มชายฉกรรจ์กำลังสู้กัน
คนเหล่านี้คือสหายที่ฉินอวี้โม่รู้จักดีซึ่งก็คือกลุ่มตัวแทนจากเมืองเทียนหยวนที่เข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายพร้อมกันกับนาง ได้แก่ โหรวรั่ว ซ่างจู๋มู่ เฉินหยางชั่วและเฝิงเยี่ย อีกทั้งยังมีหลานเผิงและเหมียวเจินเจินที่เดินทางไปที่จวนตระกูลหลานก่อนหน้านี้และกล่าวว่าจะเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบนี้เช่นกัน
“มีกลุ่มคนชุดดำที่กำลังรุมล้อมรังแกพี่สาวผู้นั้น พวกเราจะเข้าไปช่วยหรือไม่ ?”
เหมียวเจินเจินกล่าวเสริมขึ้นมา คุณหนูตระกูลเหมียวผู้นี้ถือว่าโชคดีมากทีเดียว นับตั้งแต่เข้ามาในสมรภูมิรบเดนตาย นางก็ได้พบกับซ่างจู๋มู่และเดินทางต่อมาด้วยกัน หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้พบกับโหรวรั่ว เฉินหยางชั่วและหลานเผิง ส่วนเฝิงเยี่ยคือสมาชิกคนสุดท้ายที่เข้ามารวมตัวกับกลุ่มคนเหล่านี้
ในตอนนั้นเฝิงเยี่ยกำลังต่อสู้กับอสูรมายาทรงพลังชนิดหนึ่งและสถานการณ์ของเขาก็อันตรายอย่างมากจนเกือบพลาดท่าหลายครั้งหลายครา
อย่างไรก็ตาม เมื่อพบกับกลุ่มคนเหล่านี้ ทุกคนก็ร่วมมือกันสังหารอสูรตัวนั้นได้สำเร็จก่อนเดินทางมาที่ภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ด้วยหวังว่าจะได้พบกับฉินอวี้โม่ที่นี่
“ชายฉกรรจ์ตั้งหลายคนรุมรังแกพี่สาวคนงามเพียงคนเดียว ช่างเป็นการกระทำที่หน้าไม่อายเลยสักนิด พวกเขาไม่กล้าเปิดเผยตัวด้วยซ้ำและคงมิใช่คนดีแน่ ในฐานะที่พวกเราเป็นจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายเหมือน ๆ กัน เราก็ควรที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อีกอย่าง…เราจะได้ถือโอกาสถามด้วยว่าพี่สาวผู้นั้นได้พบพี่อวี้โม่บ้างรึไม่”
หลานเผิงลังเลครู่หนึ่ง ทว่าในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะลงมือ
โหรวรั่วและคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยกับวาจาของหลานเผิงและตรงเข้าไปโจมตีกลุ่มคนชุดดำอย่างไม่ลังเล
เมื่อครู่ฉินเหยียนกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเอาชนะไม่ได้และคิดที่จะหาช่องทางเอาตัวรอด ทว่าจู่ ๆ เมื่อหลานเผิงและคณะเข้ามาช่วย นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
“ขอบคุณมาก”
นางกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจในขณะที่ปล่อยการโจมตีต่อไปด้วยกระบวนท่าที่รุนแรงและเฉียบคมไม่เปลี่ยนแปลง
“เฮ้ พี่สาวคนงาม เราเคยพบกันที่ไหนมาก่อนรึไม่ ?”
หลานเผิงฟาดฝ่ามือเข้าใส่คู่ต่อสู้คนหนึ่งที่พยายามซุ่มโจมตีฉินเหยียนและได้เห็นใบหน้าของนางอย่างชัดเจนซึ่งทำให้เขาประหลาดใจในทันที หลานเผิงรู้สึกได้ว่าใบหน้ารูปลักษณ์ของสตรีตรงหน้านี้ช่างดูคุ้นตายิ่งนัก
“ข้าไม่เคยรู้จักเจ้ามาก่อน”
ฉินเหยียนมองหลานเผิงและกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงโดยไม่ได้รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์เพราะวาจาของเขาแม้แต่น้อย แววตาของหลานเผิงแสดงถึงความจริงจังอย่างชัดเจน อีกทั้งเขาก็ดูเป็นเพียงบุรุษหนุ่มที่มีอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปีเท่านั้นและมิได้มีความคิดที่จะพยายามริเริ่มบทสนทนาเพื่อเกี้ยวพานสตรี
“ข้านึกออกแล้ว ท่านคือพี่สะใภ้ของพี่อวี้โม่แน่ ๆ”
ในที่สุดภาพของใครคนหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของหลานเผิง
ฉินอวี้โม่เคยมอบภาพวาดของคนหลายคนให้กับเขาก่อนหน้านี้เพื่อวานให้ช่วยสืบหาเบาะแสและหนึ่งในนั้นคือสตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ เขาจดจำได้ถึงวาจาของฉินอวี้โม่ที่กล่าวว่าสตรีผู้นี้คือคู่หมั้นคู่หมายของศิษย์พี่และถือเป็นพี่สะใภ้ของนาง
“เจ้ารู้จักอวี้โม่ด้วยรึ ?”
ฉินเหยียนประหลาดใจทันที คิดไม่ถึงเลยว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าจะรู้จักฉินอวี้โม่และรู้สึกคุ้นหน้าตน
“พี่อวี้โม่เคยมอบภาพวาดของพวกท่านให้ข้าเพื่อให้ข้าช่วยสืบหาเบาะแส น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยพบเบาะแสใดที่เป็นประโยชน์เลย”
หลานเผิงกล่าวอธิบายพร้อมรอยยิ้มขณะยังคงปล่อยการโจมตีใส่คนชุดดำรอบตัวต่อไป
เดิมทีกลุ่มคนชุดดำเหล่านี้ก็คิดว่าตนเองกำลังจะจับตัวฉินเหยียนได้สำเร็จ ไม่คาดคิดว่าจู่ ๆ จะมีคนแปลกหน้าหลายคนเข้ามาช่วยนางไว้ และที่สำคัญคือคนเหล่านี้มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเลย
เมื่อตระหนักแล้วว่าไม่สามารถจับตัวฉินเหยียนกลับไปในวันนี้ได้ พวกเขาก็ไม่ต้องการดึงดูดความสนใจของผู้อื่นมากจนเกินไป
“ถอนกำลัง !”
หัวหน้ากลุ่มคนชุดดำกล่าวและหันหลังก่อนมุ่งหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าคนอื่น ๆ ก็ไม่รอช้าและรีบตามไปอย่างรวดเร็ว
ฉินเหยียนไม่คิดที่จะไล่ตามคนเหล่านั้นและเพียงทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง
“ขอบคุณทุกคนมาก”
นางกวาดสายตามองหลานเผิงและคนอื่น ๆ ก่อนกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“ไม่ต้องเกรงใจเลย ท่านเป็นพี่สะใภ้ของพี่อวี้โม่ นั่นหมายความว่าท่านเป็นมิตรสหายของพวกเราเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณหรือมีพิธีรีตองใด ๆ”
หลานเผิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างและยืนยันมิให้ฉินเหยียนเกรงใจพวกตน
“ข้ามีนามว่าหลานเผิง ส่วนพวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็นสหายของพี่อวี้โม่เช่นกัน พวกเราเป็นจอมยุทธ์ที่มาจากเมืองเทียนหยวน”
เขากล่าวแนะนำตัวเองและคนอื่น ๆ ด้วยท่าทางเป็นมิตรเพื่อมิให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกห่างเหินกัน
“ข้าฉินเหยียน”
ฉินเหยียนกล่าวแนะนำตัวเองสั้น ๆ ก่อนเอ่ยถามสิ่งที่สงสัย “ตอนนี้อวี้โม่อยู่ที่ใด ?”
“พี่อวี้โม่เข้ามาในสมรภูมิรบเดนตายพร้อมกับพวกเรา ทว่าตอนนี้ไม่อาจทราบได้เลยว่านางอยู่ที่ใด”
หลังจากใช้เวลาอยู่ในสมรภูมิรบเดนตายมานานหลายวัน เขาและบรรดาสหายก็ยังไม่พบฉินอวี้โม่หรือแม้แต่ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับนางแม้แต่น้อย แม้ได้พบจอมยุทธ์หลายคนระหว่างทางก่อนหน้านี้ ทว่าพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เคยพบฉินอวี้โม่เช่นกัน คาดการณ์ได้ว่าตอนนี้นางน่าจะอยู่ในอีกฝั่งหนึ่งของภูเขา
“พี่เหยียนไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ การที่พี่อวี้โม่และพี่โม่ฉืออยู่ด้วยกัน ข้าเชื่อว่าจะไม่เกิดอันตรายใดกับทั้งสองแน่”
ด้วยกังวลว่าฉินเหยียนจะเป็นห่วงสถานการณ์ของฉินอวี้โม่ เหมียวเจินเจินจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี”
ฉินเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที คิดไม่ถึงเลยว่าหานโม่ฉือจะได้พบกับฉินอวี้โม่แล้ว อย่างไรก็ตาม มันก็ถือเป็นเรื่องที่ปกติ ด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งแนบแน่นระหว่างฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ แม้มาถึงที่ดินแดนมหาเทพที่กว้างใหญ่ ทั้งสองก็ต้องได้พบกันอย่างแน่นอน
“พี่เหยียน ท่านเดินทางเพียงลำพังหรือ ? แล้วเหตุใดคนชุดดำพวกนั้นจึงตามไล่ล่าท่านได้ ?”
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวและทำความรู้จักกัน หลานเผิงก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน คนพวกนั้นหมายหัวข้าตั้งแต่เดินทางมาถึงดินแดนมหาเทพในตอนแรก ข้าพยายามตามหาเบาะแสของฉินอวี้โม่และสหายคนอื่น ๆ เช่นกันทว่าไม่เคยได้รับเบาะแสใด เมื่อคาดการณ์ได้ว่าพวกนางน่าจะเข้าร่วมในการคัดเลือกนี้ ข้าจึงหาโอกาสเข้ามาที่สมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้เช่นกัน”
ฉินเหยียนส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาขณะกล่าวถึงเรื่องราวที่ผ่านมา
ทัศนคติท่าทางของกลุ่มคนชุดดำทำให้นางสับสนและไม่สามารถควบคุมความคิดของตนได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ นางก็ไม่เคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับฉินเฟิงแม้แต่น้อย บางทีเขาก็อาจจะตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มคนชุดดำเช่นกัน…
“ไม่ต้องห่วง ต่อไปนี้พี่เหยียนร่วมเดินทางไปกับพวกเราเถอะ คนพวกนั้นจะได้ไม่กล้าทำสิ่งใดที่บุ่มบ่ามอีก”
หลานเผิงกล่าวปลอบใจฉินเหยียนเช่นกัน
“เข้าใจแล้ว”
ฉินเหยียนพยักศีรษะตอบรับในทันที ไม่ว่าสถานการณ์ของฉินเฟิงจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ก็คือการตามหาฉินอวี้โม่ให้พบและหารือว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป
หลังจากหยุดพักชั่วคราว ทุกคนก็เริ่มออกเดินทางต่อและมุ่งหน้าไปยังยอดเขา
หลังจากเดินทางไปเพียงไม่กี่สิบก้าว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากระยะที่ไม่ไกลนัก
“พี่อวิ๋นเย่ ท่านคิดว่าอวิ๋นซื่อเทียนและคนพวกนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ?”
เสียงนั้นดังมาจากเสี่ยวยวี่ยวี่และหวังอวิ๋นเย่ที่ชิงหลบหนีไปก่อนหน้านี้นั่นเอง
หลังจากหลบหนีมา ทั้งสองก็พบเส้นทางที่สามารถอ้อมหลบหนีไปจากอสูรยักษ์ซึ่งเป็นเส้นทางที่ทอดตรงไปยังอีกฝั่งหนึ่งของภูเขา หลังจากนั้นทั้งสองจึงไม่ลังเลอีกและมุ่งหน้ามาตามทางจนสุดท้ายก็ปรากฏตัวอยู่ในบริเวณนี้
เมื่อนึกย้อนไปถึงสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ในใจเสี่ยวยวี่ยวี่ก็ยังคงหวาดกลัวไม่หาย ความแข็งแกร่งของอสูรยักษ์ใหญ่ตนนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด ต่อให้อวิ๋นซื่อเทียนและสหายทั้งสามจะแข็งแกร่งอย่างเหนือธรรมชาติ เกรงว่าพวกนางก็อาจเอาชนะยักษ์มหึมานั่นไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้นกับซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ?”
สีหน้าของฉินเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘อวิ๋นซื่อเทียน’ นางไม่รอช้าและเดินเข้าไปขวางหน้าเสี่ยวยวี่ยวี่และหวังอวิ๋นเย่พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที