ไม่เพียงเฉพาะหวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่เท่านั้น ทว่าแม้แต่อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ เองก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่
“ใช่ เสี่ยวยวี่ยวี่ เจ้าพร่ำบอกว่าเจ้าชอบหวังอวิ๋นเย่นักหนามิใช่รึ ? อยากจะเห็นนักว่ามันมากพอที่จะทำให้เจ้าสละชีวิตของตัวเองเพื่อเขารึไม่ !”
อวิ๋นซื่อเทียนเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ขณะกล่าววาจาด้วยใบหน้าเรียบเฉยและไม่คิดขัดขวางวิธีการดังกล่าว
“รีบเลือกเร็วเข้า มิฉะนั้น…ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยเลือกให้พวกเจ้า !”
เซิ่งเซียวก็กล่าววาจาเชิงข่มขู่และแสดงสีหน้าที่ตั้งตารอเรื่องสนุก ๆ เช่นกัน
คนอื่น ๆ ก็ยังคงล้อมรอบหวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่ไว้โดยเว้นเพียงพื้นที่ที่ติดกับสมุนไพรวิญญาณที่ใกล้ที่สุดเท่านั้น แม้ฉินเหยียนและคนอื่น ๆ จะไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทว่าพวกนางก็พร้อมที่จะสนับสนุนการตัดสินใจของฉินอวี้โม่อย่างไม่มีเงื่อนไข
“ข้า…”
เสี่ยวยวี่ยวี่ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะพลางนึกถึงภาพของศิษย์ตระกูลเสี่ยวที่กลายเป็นเถ้าถ่านต่อหน้าต่อตาโดยไม่อาจต่อต้านขัดขืนใด ๆ ได้ แม้ว่านางจะชอบหวังอวิ๋นเย่เป็นอย่างมาก ทว่าหากต้องเผชิญหน้ากับความตายเช่นนี้ ความชอบดังกล่าวก็ไม่มีประโยชน์
ยิ่งไปกว่านั้น นางต้องการจะเห็นเช่นกันว่าหวังอวิ๋นเย่จะแสดงความรับผิดชอบและยอมเสียสละโอกาสเอาตัวรอดของตนเองหรือไม่
หวังอวิ๋นเย่นิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใดนับตั้งแต่ได้ยินเงื่อนไขของฉินอวี้โม่ เขาเป็นคนรักตัวกลัวตายอย่างที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ทอดทิ้งอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ เพื่อเอาตัวรอด ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่เคยมีใจให้เสี่ยวยวี่ยวี่เลยสักนิดและการแสดงท่าทางเป็นมิตรให้ความหวังทั้งหมดที่ผ่านมาก็เป็นเพียงการเสแสร้งหลอกลวงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากกล่าวออกไปตรง ๆ อวิ๋นซื่อเทียนก็คงจะเกลียดชังเขายิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ทางที่ดีที่สุดคือการปล่อยให้เสี่ยวยวี่ยวี่ตัดสินใจหยิบสมุนไพรขึ้นมาเอง ส่วนตัวเขาก็จะพายเรือตามน้ำต่อไป
* 顺水推舟 พายเรือตามน้ำ ความหมายคือ ถือโอกาสทำตามสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของเสี่ยวยวี่ยวี่ คาดว่านางคงจะไม่ตัดสินใจเลือกทางที่เขาหวังไว้อย่างแน่นอน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงแค่โน้มน้าวให้เสี่ยวยวี่ยวี่ตัดสินใจเท่านั้น
“เสี่ยวยวี่ยวี่ หากข้าบอกกับคนตระกูลเสี่ยวว่าศิษย์ของตระกูลเสี่ยวทั้งหมดที่เข้าร่วมการคัดเลือกครานี้ต้องตายไปเพราะความเห็นแก่ตัวของเจ้า เจ้าคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นไรขึ้นมา ?”
เขาส่งกระแสจิตตรงไปที่จิตวิญญาณของเสี่ยวยวี่ยวี่และเป็นน้ำเสียงที่แสดงถึงการข่มขู่อย่างชัดเจน
“พี่อวิ๋นเย่ นี่ท่านหมายความว่าอะไร ?!”
สีหน้าของเสี่ยวยวี่ยวี่เปลี่ยนไปทันทีขณะมองตรงไปที่หวังอวิ๋นเย่ผู้เคยแสดงตัวเป็นบุรุษจิตใจดีมีเมตตามาตลอด
“สิ่งที่ข้าหมายถึงคือเจ้าต้องไปหยิบสมุนไพรขึ้นมาและช่วยให้ข้าได้มีชีวิตอยู่ต่อ เมื่อข้าออกจากสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ได้ ข้าก็จะช่วยให้ตระกูลเสี่ยวขึ้นเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองฉีอวิ๋น ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะบอกทุกคนว่าเจ้ายอมสละชีวิตเพื่อช่วยข้าและมอบตำแหน่งภรรยาผู้ล่วงลับให้กับเจ้า”
เขากล่าวต่ออย่างตรงไปตรงมาด้วยวาจาที่ทั้งข่มขู่และพยายามหลอกล่อเสี่ยวยวี่ยวี่อย่างไม่ปิดบัง
“หึ คิดไม่ถึงเลยว่าที่จริงแล้วเจ้าจะเป็นคนเห็นแก่ตัวเช่นนี้ !”
เสี่ยวยวี่ยวี่หัวเราะเบา ๆ ให้กับความโง่เขลาของตนเอง คิดไม่ถึงเลยว่าหวังอวิ๋นเย่ที่นางหมายปองมาตลอดจะกล่าววาจาข่มขู่นางเช่นนี้ เมื่อครั้งยังอยู่ในเมืองฉีอวิ๋น เขามักแสดงละครตบตาทุกคนด้วยท่าทางที่สุภาพจิตใจดีมาตลอด
“หวังอวิ๋นเย่ ไม่ต้องขู่ข้าหรอก อย่าว่าแต่เรื่องของศิษย์ตระกูลเสี่ยวที่ตายไปเลย ต่อให้พวกเขาจะตายไปเพื่อข้าจริง ๆ คนของตระกูลเสี่ยวก็จะไม่เอ่ยปากตำหนิข้าแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม…เจ้ามั่นใจรึว่าจะรอดชีวิตไปจากสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ได้ ?”
ในเมื่อความรู้สึกดี ๆ ทั้งหมดที่ผ่านมาถูกทำลายไปแล้ว เสี่ยวยวี่ยวี่ก็ไม่ไว้หน้าหวังอวิ๋นเย่อีกต่อไป
เมื่อได้ทราบธาตุแท้ของบุรุษผู้นี้ นางก็นึกไม่เสียใจแม้แต่น้อยและรู้สึกว่าตนยังพอโชคดีอยู่บ้างที่เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา มิฉะนั้น นางก็คงจะโง่เขลาหลงเชื่อในภาพลักษณ์สุภาพอ่อนโยนที่เป็นเพียงละครตบตาของหวังอวิ๋นเย่ไปอีกนาน
ตอนนี้ความรู้สึกดี ๆ ทั้งหมดหายไปแล้วและสิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความรังเกียจเดียดฉันท์ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา นางช่างมีดวงตาที่มืดบอดจริง ๆ ที่มองไม่เห็นธาตุแท้ของบุรุษผู้นี้ อีกทั้งยังมีสตรีอีกมากมายในเมืองฉีอวิ๋นที่หลงใหลคนจิตใจหยาบช้าผู้นี้อย่างหัวปักหัวปำ เขาไม่คู่ควรกับความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้นเลยสักนิด
หวังอวิ๋นเย่ก็ไม่คาดคิดเลยว่าเสี่ยวยวี่ยวี่จะตาสว่างขึ้นมาเช่นนี้ เดิมทีเขาคิดไปว่านางจะคล้อยตามและยอมทำตามสิ่งที่เขากล่าวออกไปแต่โดยดี
“เสี่ยวยวี่ยวี่ เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว !”
สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวในทันทีและมองเสี่ยวยวี่ยวี่ตาเขม็งพร้อมแผ่จิตสังหารออกไป
“คิดว่ามีฝีมือมากพอที่จะสังหารข้ารึ ?”
เสี่ยวยวี่ยวี่มองตอบด้วยความโกรธแค้นและไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ
“อวิ๋นซื่อเทียน ก่อนหน้านี้ไม่คิดเลยว่าข้าจะหมายหัวคิดทำร้ายเจ้าในทุกหนแห่งเพียงเพราะบุรุษที่น่ารังเกียจผู้นี้ สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ข้าต้องขอโทษเจ้าจากใจจริง”
นางหันไปมองอวิ๋นซื่อเทียนและกล่าวด้วยแววตาจริงใจซึ่งพบเห็นได้ยาก
อวิ๋นซื่อเทียนไม่ทราบถึงบทสนทนาทางกระแสจิตระหว่างเสี่ยวยวี่ยวี่และหวังอวิ๋นเย่ ทว่าเมื่อเห็นแววตาจริงใจของเสี่ยวยวี่ยวี่ นางก็พอจะคาดเดาบางอย่างได้
“ข้าจะหยิบสมุนไพรนั่นเอง แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ปล่อยเขาไป !”
หลังจากกล่าวพร้อมชี้ตรงไปที่หวังอวิ๋นเย่ เสี่ยวยวี่ยวี่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและเดินตรงเข้าไปที่สมุนไพรวิญญาณที่อยู่ใกล้ที่สุดพร้อมเอื้อมมือออกไปหมายจะหยิบมัน แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะรักตัวกลัวตายเป็นอย่างมาก ทว่าในเมื่อไม่มีทางที่จะรอดออกไปจากที่นี่ได้และได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับบุรุษที่นางหมายปองมาตลอด นางก็ไม่นึกสนใจสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว
“ลืมมันไปเถอะ ข้าไม่อยากรังแกคนอ่อนแอ”
อวิ๋นซื่อเทียนส่ายศีรษะและพุ่งตรงไปขวางหน้าเสี่ยวยวี่ยวี่อย่างรวดเร็ว ฉินอวี้โม่เองก็ขยับข้อมือเบา ๆ และทำให้สมุนไพรชิ้นนั้นสลายกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที
“ไสหัวไปซะ !”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวขึ้นเบา ๆ ก่อนหลีกทางออกไปด้านข้างและไม่เหลือบตามองเสี่ยวยวี่ยวี่อีกต่อไป
“ทำไมกัน ?”
เสี่ยวยวี่ยวี่สับสนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในเมื่อก่อนหน้านี้มีเรื่องบาดหมางใจกันมากมาย เหตุใดอวิ๋นซื่อเทียนจึงเลือกปล่อยตนไปง่าย ๆ เช่นนี้ ?
“เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอก ข้าเพียงคิดว่าเจ้าอ่อนแอเกินไปและไม่อยากจะรังแกเจ้าก็เท่านั้น”
อวิ๋นซื่อเทียนโบกมือเพื่อให้เสี่ยวยวี่ยวี่ไปจากที่นี่โดยเร็ว
ทว่าก่อนที่เสี่ยวยวี่ยวี่จะขยับเขยื้อน หวังอวิ๋นเย่ก็เตรียมที่จะหนีไปเช่นกัน
“ใครอนุญาตให้เจ้าไปรึ ?”
เซิ่งเซียวตรงเข้าไปขวางหน้าเขาไว้ทันที
“อย่ารังแกคนอื่นให้มากเกินไปนัก !”
หวังอวิ๋นเย่รู้สึกไม่พอใจและใบหน้าเริ่มแดงก่ำ ทว่าเมื่อเห็นเซิ่งเซียวและคนอื่น ๆ ที่กำลังจับจ้องตาเขม็ง เขาก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวและทำได้เพียงอดทนกล้ำกลืนเท่านั้น
“หวังอวิ๋นเย่ เจ้าขี้ขลาดยิ่งกว่าสตรีเสียอีก ไม่รู้เลยว่าเจ้ากลายเป็นที่ชื่นชอบของสตรีทั่วทั้งเมืองฉีอวิ๋นได้อย่างไร !”
เซิ่งเซียวกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจอย่างชัดเจน แม้แต่บุรุษเช่นนี้ก็ทำให้สตรีมากมายในเมืองฉีอวิ๋นชื่นชอบหมายปองได้ หากเป็นข้า สตรีเหล่านั้นจะไม่เสียสติและคลุ้มคลั่งกันไปเลยรึ ?
ในเวลานี้ เสี่ยวยวี่ยวี่ก็หันหลังและจากไปอย่างรวดเร็วและตัดสินใจไว้แล้วว่าในอนาคตข้างหน้านางจะไม่หาเรื่องกวนใจอวิ๋นซื่อเทียนหรือสหายคนอื่น ๆ ของนางอีก
หวังอวิ๋นเย่ก็ทำได้เพียงกัดฟันกรอดขณะมองดูแผ่นหลังของเสี่ยวยวี่ยวี่ที่ค่อย ๆ หายลับไป
แม้ต้องการหลบหนีออกไปเช่นกัน ทว่าการที่มีเซิ่งเซียวและคนอื่น ๆ ปิดล้อมเขาอยู่นั้น เขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย
เขาเชื่อมั่นมาเสมอว่าตนมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา ทว่าหากต้องเผชิญหน้ากับใครสักคนในกลุ่มคนเหล่านี้ เขาก็ไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าจะมีโอกาสเอาชนะได้
ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างยังไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ทว่านางก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของอวิ๋นซื่อเทียน
แม้เสี่ยวยวี่ยวี่จะพยายามก่อกวนพวกนางมาโดยตลอด ทว่าสตรีผู้นั้นก็ไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นภัยร้ายแรงจนเกินไป นางเพียงเป็นคุณหนูจากตระกูลหนึ่งที่เคยชินกับการถูกเอาใจและไม่จำเป็นต้องลงโทษให้ถึงตาย ไม่เหมือนกับผู้ที่น่ารังเกียจที่แท้จริงอย่างหวังอวิ๋นเย่ คนผู้นี้ควรได้รับบทเรียนอย่างสาสม
“หวังอวิ๋นเย่ หากวันนี้เจ้าต้องการจะรอดออกไป มันก็มิใช่เรื่องที่ยากเลย เพียงคุกเข่าและเรียกข้าว่า ‘ท่านทวด’ สามครา รวมถึงกล่าวยอมรับผิดในสิ่งที่ทำลงไป แน่นอนว่าพวกข้าก็จะปล่อยเจ้าไปได้ !”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าววาจาเย็นชาทว่าทำให้ใบหน้าของหวังอวิ๋นเย่บิดเบี้ยวเหยเกไปในทันที
“ไม่มีทาง !”
เขาส่ายศีรษะอย่างแรงและปฏิเสธเสียงแข็งทันที ในฐานะยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของเมืองฉีอวิ๋น เขาไม่เคยถูกดูหมิ่นให้อับอายมากเช่นนี้มาก่อน
“ไม่มีทางรึ ? ถ้าอย่างนั้นก็ไปหยิบสมุนไพรมาซะ หากเจ้ารอดชีวิตจากมันได้ เจ้าก็จะไปจากที่นี่ได้เช่นกัน”
ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปยืนข้างอวิ๋นซื่อเทียนและกล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าความหมายของนางก็ชัดเจนอย่างยิ่ง
“เจ้า…”
ในเวลานี้ หวังอวิ๋นเย่ก็วิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะอ้าปากออกมา ทว่าเขาก็ไม่อาจสรรหาคำพูดใดกล่าวออกไปได้เลย
ตุบ !
ทันใดนั้น เสียงกระแทกพื้นก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของเขาที่คุกเข่าลงตรงหน้าอวิ๋นซื่อเทียน