ณ เชิงเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ชายฉกรรจ์ในเสื้อคลุมสีดำจำนวนหลายสิบคนเข้าปิดล้อมฉินเหยียน หลานเผิงและเหมียวเจินเจินอย่างรวดเร็ว
“ฮ่า ๆ ๆ อยากเห็นนักว่าพวกเจ้าจะหนีอย่างไรอีก !”
บุรุษชุดดำคนหนึ่งหัวเราะเยาะและกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
เมื่อครู่เขาแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจรอบบริเวณแล้วและพบว่าไม่มีผู้อื่นอยู่รอบตัว รวมถึงไม่มีความผันผวนของคลื่นพลังใดแม้แต่น้อย เพราะเหตุนั้นเขาจึงมั่นใจว่าคงจะไม่มีแผนการสมคบคิดอยู่เบื้องหลังอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรก
“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ ? เหตุใดจึงตามข้าไม่เลิกเสียที ? หากมีคำอธิบายที่เข้าท่า บางทีข้าอาจจะยอมกลับไปกับพวกเจ้าแต่โดยดี”
ฉินเหยียนเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วมุ่นในขณะที่ยืนขวางข้างหน้าหลานเผิงและเหมียวเจินเจินอย่างระแวดระวัง
“เหอะ พวกข้าเป็นใครงั้นรึ ? เจ้าจะได้รู้ก็ต่อเมื่อกลับไปกับพวกข้า และเมื่อถึงตอนนั้น เจ้าก็จะได้รู้ถึงจุดประสงค์ของพวกเราเช่นกัน”
บุรุษชุดดำผู้เป็นหัวหน้าไม่คิดเสียเวลาอธิบายสิ่งใด เขาเพียงโบกมือส่งสัญญาณ จากนั้นคนอื่น ๆ ก็ตรงเข้าโจมตีกลุ่มคนทั้งสามของฉินเหยียนทันที
คนชุดดำส่วนใหญ่ก็เล็งเป้าหมายไปที่ฉินเหยียนและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่โจมตีหลานเผิงและเหมียวเจินเจินเพื่อมิให้ทั้งสองมีโอกาสเข้าไปช่วยฉินเหยียนได้
“พี่เหยียน หาทางหลบหนีออกไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ พี่อวี้โม่และพี่โม่ฉืออยู่บนยอดเขา ท่านจะปลอดภัยเมื่อไปรวมกลุ่มกับทั้งสองคนได้”
เหมียวเจินเจินกล่าวแนะนำฉินเหยียนด้วยเสียงที่ดังชัดเจนขณะยกมือตอบโต้คนชุดดำหลายคนที่พยายามโจมตีตน
“ถูกต้อง ท่านรีบขึ้นไปบนยอดเขาเถอะขอรับ เป้าหมายของคนพวกนี้มิใช่เราทั้งสอง ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าทำร้ายเราแน่”
หลานเผิงกล่าวเสียงดังเช่นกันขณะต่อสู้กับคนชุดดำหลายคนโดยที่ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ฉินเหยียนมีท่าทีลังเลครู่หนึ่งขณะคนชุดดำคนหนึ่งโจมตีเข้าใส่นางอย่างจัง
“ระวังตัวด้วยล่ะ !”
ในที่สุดนางก็ตัดสินใจได้และปลดปล่อยการโจมตีอย่างสุดกำลังเพื่อกระแทกคนชุดดำตรงหน้าออกไปให้พ้นทางก่อนพุ่งตรงขึ้นไปบนยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“จับนางให้ได้ !”
เมื่อหัวหน้าคนชุดดำเห็นว่าฉินเหยียนฝ่าทะลวงวงล้อมของพวกเขาได้สำเร็จ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปทันทีและพุ่งตัวไล่ตามนางไปอย่างรวดเร็ว
คนอื่น ๆ ก็ไม่เสียเวลาติดพันกับหลานเผิงและเหมียวเจินเจินอีกต่อไปขณะมุ่งหน้าขึ้นไปบนยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตาม ๆ กันเพื่อไล่ตามฉินเหยียนให้ทัน
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ฉินเหยียนมุ่งมั่นที่จะหลบหนีและการเคลื่อนไหวของนางก็รวดเร็วอย่างสุดขีดจนถึงจุดที่กลุ่มคนชุดดำไล่ตามไม่ทันในช่วงสั้น ๆ
“เราจะปล่อยให้นางขึ้นไปถึงยอดเขาไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นเราจับตัวนางไม่ได้แน่”
หัวหน้าคนชุดดำจดจำคำกล่าวของเหมียวเจินเจินและหลานเผิงเมื่อครู่ได้ดี นั่นคือฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออยู่บนยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หากฉินเหยียนเข้าไปรวมตัวกับคนทั้งสองได้สำเร็จ โอกาสที่พวกเขาจะจับตัวนางก็จะลดน้อยลงมาก
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนกระทั่งเข้าใกล้ฉินเหยียนได้ในที่สุด
เนื่องจากหลบหนีอย่างสุดแรงเกิดมาถึงช่วงครึ่งทางของภูเขา พลังมายาของฉินเหยียนจึงถูกใช้ไปมาก เมื่อเห็นหัวหน้าคนชุดดำที่ใกล้เข้ามาถึงตัว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที
“ตามพวกเรากลับไปเสียดี ๆ เถอะ ไม่ต้องกังวล…พวกข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”
หัวหน้าคนชุดดำโล่งใจมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าระยะห่างระหว่างตนและฉินเหยียนน้อยลงเรื่อย ๆ และในขณะที่กล่าวเช่นนั้น เขาก็ปล่อยก้อนพลังมายาออกไปโจมตีฉินเหยียนเพื่อขัดขวางการเคลื่อนไหวของนางไว้
“ไม่มีทางซะหรอก !”
ม่านป้องกันปรากฏขึ้นรอบตัวฉินเหยียนและนางก็พุ่งตัวหลบหลีกออกไปได้ในระยะหนึ่ง ทว่าระยะห่างนี้ก็ยังไม่มากพอที่จะหลบแรงระเบิดจากก้อนพลังมายานี้ได้ ส่งผลให้นางได้รับบาดเจ็บอยู่เล็กน้อย
“เจ้าไม่มีทางขึ้นไปถึงยอดเขาได้แน่ !”
หัวหน้าคนชุดดำไม่รีบร้อนและยังคงไล่ตามฉินเหยียนต่อไปโดยไม่ปล่อยให้นางได้หยุดพัก
ความเร็วของฉินเหยียนก็เหมือนจะช้าลงเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการโจมตีเมื่อครู่จะมีผลกระทบต่อนางมากทีเดียว
ในเวลานี้ หัวหน้าคนชุดดำก็ไม่นึกสงสัยสิ่งใดและเข้าไปใกล้ร่างของฉินเหยียนอย่างรวดเร็วขณะยื่นมือออกไปหมายจะคว้าร่างของนางไว้
“เจ้าหลงกลแล้ว !”
จู่ ๆ ฉินเหยียนก็หัวเราะลั่นและร่างของนางก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา
สภาพแวดล้อมรอบตัวของบุรุษชุดดำเปลี่ยนแปลงไปทันทีและเป็นการยืนยันได้ว่าเขาก้าวเข้ามาในขอบเขตของข่ายอาคมลวงตาของฉินอวี้โม่แล้ว
บุรุษชุดดำคนอื่น ๆ ก็ตามหัวหน้าของพวกตนมาอย่างใกล้ชิดและเข้าไปในขอบเขตของข่ายอาคมตาม ๆ กัน อึดใจต่อมา ความสับสนงุนงงก็ปรากฏบนใบหน้าของพวกเขาอย่างชัดเจนและฝีเท้าหยุดลง
หลานเผิงและเหมียวเจินเจินก็มุ่งหน้ามาถึงที่นี่อย่างไม่รีบร้อนนัก ทั้งสองตรงเข้าไปข้างกายฉินเหยียนและมองดูกลุ่มชายฉกรรจ์ชุดดำที่ติดอยู่ในข่ายอาคมเหล่านั้นอย่างใจเย็น
เวลานี้ ร่างของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ปรากฏให้เห็นเช่นกัน ทั้งสองลอยตัวอยู่กลางอากาศและมองลงไปที่กลุ่มคนชุดดำด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกใด
“หึ เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ทีเดียว !”
หัวหน้าคนชุดดำเรียกสติจากภวังค์ความสับสนได้เป็นคนแรก เขาเงยหน้าสบตากับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพร้อมเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวอย่างประหลาด
พวกเขาระวังตัวและรอบคอบอย่างที่สุดแล้ว ทว่ายังหลงกลติดกับคนเหล่านี้จนได้
ฉินเหยียนและอีกสองคนจงใจทำให้พวกเขาเชื่อว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือรออยู่บนยอดเขาส่งผลให้พวกเขาละเลยความจริงที่ว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้ใช้ข่ายอาคมฝีมือดี การที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหันหลังกลับไปที่ยอดเขาก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงหนึ่งในภาพลวงตาเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วพวกนางได้วางข่ายอาคมไว้ในบริเวณไหล่เขาแล้วและรอเพียงกลุ่มของบุรุษชุดดำเข้ามาติดกับเท่านั้น
เมื่อครู่นี้ที่เชิงเขา ฉินเหยียนก็แสร้งทำเป็นตื่นตระหนกและยังจงใจทำให้อีกฝ่ายเห็นความหวาดกลัวของตน เมื่อนึกย้อนกลับไปในตอนนี้ ด้วยปัจจัยแต่ละอย่างที่เชื่อมโยงกัน มันก็ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะหลีกเลี่ยงไปจากกับดักนี้ได้
“หากไม่ทำเช่นนี้แล้วเราจะหลอกล่อเจ้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไรเล่า ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวต่อ “เอาล่ะ บอกมาเดี๋ยวนี้ เหตุใดเจ้าจึงตามไล่ล่าพี่เหยียน ? เจ้าทราบถึงตำแหน่งของนางได้อย่างไร ? แล้วศิษย์พี่ของข้าอยู่ในกำมือพวกเจ้าด้วยรึไม่ ?”
นางยิงคำถามออกไปอย่างรวดเร็วและรอคำตอบจากหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำ
“เหอะ คิดว่าข้าจะบอกพวกเจ้างั้นรึ ?”
หัวหน้าคนชุดดำหัวเราะเบา ๆ ในลำคอและโบกมือเล็กน้อย จากนั้นบุรุษชุดดำอีกหลายคนที่ติดอยู่ในข่ายอาคมก็ได้สติกลับคืนมา
จากนั้นพลังมายาก็รวมตัวกันที่มือของเขาก่อนก่อตัวกลายเป็นก้อนพลังมายาและพุ่งตรงไปในทิศทางที่ฉินอวี้โม่ยืนอยู่
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ก้อนพลังดังกล่าวจะไปถึงตัวของนาง ม่านแสงก็ปรากฏขึ้นและสะท้อนก้อนพลังนั้นกลับคืนสู่เจ้าของมัน
ตูมมม !
เสียงระเบิดดังสนั่นและคนชุดดำหลายคนก็ถูกโจมตีด้วยก้อนพลังนั้นอย่างจังจนลอยกระเด็นออกไปกระแทกม่านแสงอีกครั้งและกระเด้งกลับมา
“ข้าขอแนะนำเจ้ามิให้ทำอะไรวู่วามจะดีกว่า ข้าไม่ได้วางข่ายอาคมธรรมดาเพียงเท่านั้น หากเจ้ายังต้องการดิ้นรนโดยเปล่าประโยชน์อีกละก็ ข้าก็ไม่อาจควบคุมสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น ข่ายอาคมที่นางและมารยาร่วมมือกันจัดวางมิใช่สิ่งที่คนชุดดำเหล่านี้จะทำลายได้ง่าย ๆ ไม่เพียงแต่ข่ายอาคมลวงตาเท่านั้นทว่ายังรวมถึงข่ายอาคมมายาที่สามารถกักขังคนเหล่านี้ไว้ที่นี่ได้ตลอดไป
กลุ่มบุรุษชุดดำเหล่านี้ก็มิใช่คนที่จะยอมตายง่าย ๆ พวกเขารักชีวิตของตนเองและไม่มีทางระเบิดทำลายตัวเองโดยเร็ว เพราะเหตุนั้น หากต้องการแงะปากไขความลับจากพวกเขาก็ยังถือว่ามีโอกาสมากพอสมควร
“นี่เป็นความประมาทเลินเล่อของพวกเราเอง อย่างไรก็ตาม หากต้องการให้เราปริปากบอกอะไร เจ้าก็ฝันไปเถอะ หากเจ้าต้องการจะฆ่าเราก็เชิญได้เลย อย่ามัวแต่เสียเวลาพูดจาไร้สาระ”
หัวหน้าคนชุดดำกล่าวด้วยใบหน้าสงบนิ่งเรียบเฉยอย่างไม่กลัวตาย คนอื่น ๆ ก็ไม่แสดงสีหน้าหวาดหวั่นเช่นกันและไม่กล่าวค้านวาจาของหัวหน้า พวกเขาทุกคนต่างก็มีแววตาที่ไร้ซึ่งความกลัวอย่างแท้จริง
“งั้นรึ ?”
เนื่องจากคาดการณ์ไว้แล้วว่าคนชุดดำน่าจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ฉินอวี้โม่จึงไม่สนใจมากนัก
“คาดว่าพวกเจ้าน่าจะรู้จักพวกเราพอสมควร พวกเจ้าเคยได้ยินมาหรือไม่ว่าโม่ฉือฝึกทักษะที่พิเศษอย่างหนึ่ง…ตราบใดที่เขาต้องการทราบสิ่งใด ต่อให้พวกเจ้าไม่ยอมเอ่ยปาก เขาก็สามารถขุดคุ้ยความจริงจากความทรงจำของพวกเจ้าได้ พวกเจ้าอยากจะลองดูหรือไม่ ?”
ทักษะดังกล่าวเป็นทักษะที่หานโม่ฉือไม่เต็มใจใช้เท่าไหร่นักและมักจะเก็บไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย ถึงอย่างไรแล้วมันก็ทั้งโหดร้ายและมีผลสืบเนื่องตามมา
อย่างไรก็ตาม หากคนชุดดำเหล่านี้ไม่ให้ความร่วมมือแต่โดยดี ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่จำเป็นต้องปรานีอีกต่อไป ต่อให้อีกฝ่ายเป็นซากศพไร้ชีวิต พวกนางก็ยังสามารถแงะเปิดปากของอีกฝ่ายได้ !