“เยว่ชิงเฉิง เจ้าว่าใครเป็นคนขี้แย ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยว่ชิงเฉิง หวังรั่วจวินก็โกรธเคืองเป็นอย่างมาก คุณชายอันธพาลตวาดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“ใครอยากจะรับก็รับไปสิ”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวเสียงเบา มุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม
“หวังรั่วจวิน ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็กำลังจะรีบไปงานเลี้ยงอาหารค่ำ งั้นเจ้าก็หลีกทางข้าไปเถอะ”
เมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจงใจมาก่อกวนไม่ให้พวกนางไปงานเลี้ยงอาหารค่ำได้ทัน เยว่ชิงเฉิงก็พยายามข่มอารมณ์เดือดดาลแล้วใช้ความอดทนอดกลั้นกล่าวขึ้นมา คนผู้นี้กำลังต้องการยั่วยุให้นางโกรธเพื่อให้ไปร่วมงานเลี้ยงสาย ดังนั้นการใช้วิธีประนีประนอมแล้วรีบไปเสียเป็นวิธีที่ดีที่สุด
งานเลี้ยงอาหารค่ำจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามข้างหน้า แม้ว่าองค์จักรพรรดิกับองค์ฮองเฮาจะมากพระเมตตาเพียงใด แต่การที่คุณหนูคุณชายแห่งขุมกำลังใหญ่ไปเข้าร่วมงานใหญ่สายก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
“เหอะ ฝันไปเถอะ ตอนนี้ข้ากำลังรอคนอยู่ ถ้าเจ้าไปต่อไม่ได้ก็อยู่คอยพร้อมกับข้าเลยก็ได้”
หวังรั่วจวินส่งเสียง *เหอะ* อย่างเย็นชาก่อนจะกล่าววาจายียวน เขาไม่มีความคิดที่จะหลีกทางให้เยว่ชิงเฉิงกับพวกพ้องของนางแม้แต่น้อย
“หวังรั่วจวิน เจ้าจะหลีกทางหรือไม่ หากเจ้าไม่ยอมถอยไปก็อย่ามาหาว่าข้าใจร้ายกับผู้ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บอย่างเจ้า”
โอวหยางชิงเฟิงเป็นบุรุษซื่อตรงไม่ชอบอ้อมค้อม เมื่อเห็นหวังรั่วจวินจงใจมาก่อกวนและยังไม่มีทีท่าว่าจะหลบหลีกเขาก็โกรธมาก หากคนอันธพาลผู้นี้ยังไม่ยอมไป เขาจะทำให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าระหว่างหมัดของเขากับหน้าของมันสิ่งใดที่แข็งแกร่งกว่า !
“โอวหยางชิงเฟิง เจ้ากล้าเรอะ ?!”
เมื่อหวังรั่วอีได้ยินวาจาของโอวหยางชิงเฟิง แม้ว่าเขาจะพยายามแสร้งทำเป็นไม่กลัวเกรงทว่าเท้าของเขาก็เผลอก้าวถอยหลังกลับไปก้าวหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
ถึงแม้โอวหยางชิงเฟิงจะเพิ่งกลับมายังนครไป๋อวิ๋น ทว่าก็ได้ยินข่าวมาว่าคุณชายรองตระกูลโอวหยางผู้นี้เป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาหกดาราและยังครอบครองอสูรเทวะราชัน ที่สำคัญ โอวหยางชิงเฟิงเป็นคนซื่อ ๆ ที่ทำสิ่งใดไม่เคยอ้อมค้อม หากถูกผู้ใดจงใจยั่วยุ เขาก็พร้อมจะสวนกลับไปในทันที
“หวังรั่วจวิน ข้าว่าเจ้าคงจะลืมความแข็งแกร่งของข้าไปแล้วสินะ ?”
เยว่ชิงเฉิงจ้องมองหวังรั่วจวินอย่างเย็นชาพลางกล่าววาจาข่มขู่ ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้นางคงต้องใช้ไม้แข็งแล้ว
สงสัยเหลือเกินว่า คุณชายอันธพาลตระกูลหวังผู้นี้คงจะเป็นพวกโรคจิตที่ชื่นชอบความเจ็บปวดเพราะจู่ ๆ วันนี้เขาก็โผล่หน้าออกแกว่งปากหามือหาเท้า เยว่ชิงเฉิงคิดว่าเขาคงจะลืมเรื่องที่เคยถูกนางสั่งสอนไปเมื่อนานมาแล้วหรือไม่ก็กำลังคิดถึงพลังฝ่ามือ เข่า และศอกคม ๆ ของนาง
แน่นอนว่าหวังรั่วจวินทราบดีว่าเยว่ชิงเฉิงเป็นหนึ่งในสามบุคคลรุ่นเยาว์แห่งเมืองหลวงที่ไม่ควรมีเรื่องบาดหมางด้วย แต่บนรถม้าของทางฝั่งเขาก็มีคนนั่งกันอยู่หลายคน นั่นรวมถึงท่านพี่ของเขาด้วย แม้ว่าเยว่ชิงเฉิงจะเป็นลูกหลานของขุมกำลังใหญ่ที่ไม่ควรเข้าไปยั่วยุและโอวหยางชิงเฟิงก็มีระดับพลังที่ไม่ธรรมดา ทว่าหวังรั่วจวินก็ไม่คิดจะเกรงกลัวแม้แต่น้อย
“เสี่ยวจวิน เจ้าไปเอะอะอะไรข้างนอกนั่น ?”
เสียงที่ดัดให้แหลมเล็กของหวังรั่วอีดังออกมา สตรีดอกบัวขาวก้าวลงมาจากรถม้าอย่างช้า ๆ ท่วงท่าสง่างาม
“คุณหนูเยว่ คุณชายโอวหยางก็มาด้วยหรือ ?”
ต้องกล่าวเลยว่าหวังรั่วอีผู้นี้เปลือกนอกดูอ่อนโยน อ่อนหวาน อัธยาศัยดีเป็นอย่างยิ่ง หากว่าไม่ใช่คนที่รู้จักธาตุแท้ของนาง พวกเขาก็จะถูกการแสดงออกของนางลวงตาเอาได้
อย่างไรก็ตาม เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงที่รู้จักโฉมหน้าแท้จริงภายใต้หน้ากากงดงามของคุณหนูตระกูลหวังผู้นี้ก็มีสีหน้าที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
“คุณหนูหวัง ตอนนี้รถม้าของเจ้าขวางทางเราอยู่ พวกเรากำลังรีบไปงานเลี้ยง หากพวกเจ้าจะไปร่วมงานเลี้ยงด้วยก็ได้โปรดออกเดินทางกันเถิด หรือไม่ก็ช่วยหลีกไปให้พ้นทาง พวกเราจะขอบคุณมาก !”
เยว่ชิงเฉิงพยายามควบคุมอารมณ์และค่อย ๆ เจรจา ทว่าน้ำเสียงของนางก็แฝงเอาไว้ด้วยความโกรธอยู่ส่วนหนึ่ง
“โอ้ ? เป็นเช่นนี้เองหรือ”
หวังรั่วอีพยักหน้าก่อนจะมองดูตำแหน่งรถม้าทั้งสองและพบว่ารถม้าของตัวเองกำลังขวางทางรถม้าของอีกฝ่ายอยู่จริง ๆ
“คุณหนูเยว่ พวกเราก็อยากจะหลีกทางให้เจ้า แต่เจ้าดูสิ ถนนเส้นนี้คับแคบมาก พวกเราจึงไม่รู้ว่าจะหลบหลีกอย่างไรดี และตอนนี้เรากำลังคอย ‘สหายคนสำคัญ’ อยู่ ขอให้พวกเจ้าทนรออีกสักหน่อยจะได้หรือไม่ ?”
แม้ว่าน้ำเสียงของหวังรั่วอีจะดูนุ่มนวลและผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ทว่าไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็จะเข้าใจตรงกันว่านางจะไม่ยอมหลีกทางออกไปและให้อีกฝ่ายรออยู่ตรงนี้ไปก่อน
ยิ่งกว่านั้นหวังรั่วอีในยามที่กล่าวถึงสหายคนสำคัญ นั้น นางจงใจเว้นช่วงและกล่าวเน้นเสียงให้ทราบว่าสหายผู้นี้สำคัญมากจริง ๆ ซึ่งการทำเช่นนี้ก็ราวกับว่านางอยากจะดึงความสนใจของเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงให้อีกฝ่ายอยากรู้ว่าผู้ใดคือสหายของนาง
อย่างไรก็ตาม เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ความหมายของคุณหนูหวังคืออยากให้รออยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้าใช่หรือไม่ ? ”
เยว่ชิงเฉิงถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง นางไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองเลย ตรงกันข้ามกลับยิ้มออกมาแทน ทว่าคุณหนูตระกูลช่างหลอมก็หันไปสบตากับคุณชายรองตระกูลโอวหยางอย่างสื่อความบางอย่าง ก่อนที่ใบหน้าของอดีตคู่หมั้นหนุ่มสาวจะเริ่มฉายแววชั่วร้าย
“นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ ข้าได้แต่หวังว่าคุณหนูเยว่และคุณชายโอวหยางจะให้อภัยข้า”
หวังรั่วอีสวมหน้ากากสตรีอ่อนหวานผู้รู้สึกผิดจนน่าสงสาร ซึ่งมันทำให้เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงรู้สึกว่าหากนางร้องไห้ออกมาด้วยเลยก็อาจจะสมจริงมากกว่านี้
“มีเรื่องอะไรกันอย่างนั้นหรือ ?”
ทันใดนั้นเอง เสียงหวานของสตรีอีกเสียงหนึ่งดังออกมาจากรถม้าด้านหน้า
เมื่อฉินอวี้โม่ได้ยินเสียงนั้นแววตาของนางก็ปรากฏรังสีสังหารขึ้นมาในทันใด
“คุณหนู นั่นมันนังผู้หญิงต่ำช้า หลิวหว่านเยียน !”
เสี่ยวโร่วกัดฟันกรอดเพราะนางเองก็จดจำสตรีเจ้าของเสียงในนั้นได้ดี
แม้ว่าเสี่ยวโร่วจะเป็นเด็กซื่อ ทว่านางก็ไม่ได้โง่ หลิวหว่านเยียนผู้นี้คือคนที่ส่งชายฉกรรจ์นับสิบมาเล่นงานพวกนางเมื่อครั้งก่อน ฉะนั้นแล้วสาวน้อยจึงถือว่าสตรีใบหน้างามแต่จิตใจอำมหิตผู้นี้คือศัตรู และหากไม่ใช่เพราะถูกฉินอวี้โม่ห้ามไว้นางคงจะลงไปสั่งสอนคนน่ารังเกียจผู้นั้นแล้ว
“หลิวหว่านเยียนก็อยู่นี่ด้วย ?!”
เมื่อเห็นหลิวหว่านเยียน เยว่ชิงเฉิงก็ดูไม่สบอารมณ์ขึ้นอย่างฉับพลัน
ขณะเดียวกันทางด้านหลิวหว่านเยียนที่เพิ่งลงมาจากรถม้า เมื่อได้เห็นหน้าเยว่ชิงเฉิงก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจเช่นกัน ความเกลียดชังหยั่งลึกปรากฏขึ้นชัดในแววตาของนาง
ผู้คนในนครไป๋อวิ๋นล้วนทราบกันดีว่า บุคคลที่หลิวหว่านเยียนไม่ชอบหน้ามากที่สุดก็คือคุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอม–เยว่ชิงเฉิง
เยว่ชิงเฉิงไม่เพียงแต่เกิดในตระกูลที่สูงส่งเท่านั้นแต่นางยังมีรูปโฉมที่งดงามมากอีกด้วย เพียงแต่นางเป็นสตรีใจร้อนและมีนิสัยโผงผางมากไปหน่อยเท่านั้น แต่แม้กระนั้นในตอนที่มีการคัดเลือกจัดอันดับสิบโฉมงาม เยว่ชิงเฉิงเองก็ถูกผู้คนทั้งหลายเลือกให้อยู่ในรายชื่อนั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม คุณหนูตระกูลเยว่ก็ปฏิเสธตำแหน่งนั้น นางกล่าวว่าการจัดอันดับสตรีจากความงามเป็นเรื่องไร้สาระ
เดิมทีหลิวหว่านเยียนอยู่ในอันดับที่สิบเอ็ดแต่เป็นเพราะการถอนตัวออกไปของเยว่ชิงเฉิงทำให้นางได้เลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับสิบ แม้ว่าหลังจากนั้นมานางจะพัฒนาตัวเองจนก้าวข้ามหญิงสาวสองคนที่มีอันดับเหนือกว่าจนได้ขึ้นมาถึงอันดับแปด แต่ภายในหัวใจของนางยังคงรู้สึกขุ่นเคืองเรื่องนี้อยู่ดี
นางคิดว่าตัวเองไม่เคยด้อยกว่าเยว่ชิงเฉิงเลยแม้แต่น้อย ทว่าในสายตาของผู้คนกลับคิดว่าตำแหน่งของนางในทุกวันนี้เยว่ชิงเฉิงเป็นคนทิ้งมาให้และนั่นก็เท่ากับดูหมิ่นในความงามและศักดิ์ศรีของนางยิ่งนัก
ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้สตรีผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอย่างหลิวหว่านเยียนไม่ชอบเยว่ชิงเฉิงถึงขั้นเกลียดชังน้ำหน้า
ไม่ว่าหลิวหว่านเยียนจะทำสิ่งใดผู้คนก็จะชอบนำไปเปรียบกับเยว่ชิงเฉิงเสมอ ซ้ำร้ายยังมองว่านางด้อยกว่าอีกฝ่ายในทุกด้าน นี่ยิ่งตอกย้ำความเกลียดชังของหลิวหว่านเยียนที่มีต่อเยว่ชิงเฉิง สาวงามอันดับแปดแห่งแผ่นดินรู้สึกอิจฉาริษยาคุณหนูตระกูลช่างหลอมยิ่งนัก
“เยียนเอ๋อร์ เหตุใดพี่โม่หยวนของเจ้าถึงยังไม่ออกมาอีก ?”
หวังรั่วอีถามด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน สีหน้าท่าทางของนางดูเป็นกังวลเหลือแสน “คุณหนูเยว่และคุณชายโอวหยางบอกว่ารถม้าของพวกเราขวางทางของพวกเขาอยู่ พวกเราหลีกทางให้พวกเขาก่อนเถอะ”
“ข้าคิดว่าเขาคงกำลังออกมา”
หลิวหว่านเยียนกล่าวตอบหวังรั่วอี ก่อนจะหันไปมองเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงแล้วเชิดหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้มร้าย “เยว่ชิงเฉิง เจ้ารออีกหน่อยก็แล้วกัน สหายของข้าที่กำลังจะมาเป็นคนสำคัญมาก เราคงจะหลีกทางให้เจ้าไม่ได้”
กล่าวจบสายตาของนางก็มองไปที่จวนใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่รถม้าของพวกเขาจอดรออยู่
“หลิวหว่านเยียน เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะไม่ยอมเปิดทางให้เรา ?”
วาจาหน้าไม่อายของสตรีขี้อิจฉาทำให้เยว่ชิงเฉิงเริ่มจะกดข่มอารมณ์เอาไว้ไม่ได้อีก คุณหนูผู้ห้าวหาญแค่นเสียงกล่าวก่อนจะหันไปสบตาโอวหยางชิงเฟิงอีกครั้ง ในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าคงมีแต่ต้องใช้กำลังเท่านั้นถึงจะสามารถผ่านทางไปถึงงานเลี้ยงได้ หึ…หลิวหว่านเยียนผู้นี้หาเรื่องใส่ตัวเองแล้ว
หลิวหว่านเยียนไม่เอ่ยตอบและไม่มีท่าทีที่จะหลบออกไปแม้แต่น้อย
ทว่าในตอนที่เยว่ชิงและโอวหยางชิงเฟิงเตรียมพุ่งเข้าจู่โจมนั้นก็มีบุรุษผู้หนึ่งก้าวย่างออกมาจากประตูจวนใหญ่
บุรุษผู้นั้นสวมชุดสีม่วงที่ดูหรูหรา เขามีรูปร่างสูง ใบหน้าคมดูหล่อเหลา ทว่าแววตากลับดูไม่สดใส ท่าทางของเขาดูเป็นบุรุษใจแคบน่ากลัวและไม่น่าคบหาอย่างยิ่ง
“มีเรื่องอะไรกัน ?”
เมื่อบุรุษร่างสูงผู้นั้นเดินมาถึงก็กล่าวด้วยเสียงอันดังอย่างหงุดหงิด น้ำเสียงของเขาคล้ายจะหมดความอดทนลงได้ทุกเมื่อ
เพียงแค่ลอบมองจากในรถม้า ฉินอวี้โม่ก็จดจำตัวตนของคนผู้นั้นได้ในทันที !
เป็นเขาอย่างแน่แท้มิใช่ใครอื่น คนผู้นี้คือผู้ที่เกือบจะปลิดชีวิตหานโม่ฉือภายในป่าแสงจันทร์
ในที่สุด ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลิวหว่านเยียนจึงทำตัวยโสโอหังไม่เกรงกลัวผู้ใดมากนัก ที่แท้นางก็มีบุรุษตระกูลหานผู้นี้คอยให้ท้ายนี่เอง
ต้องทราบก่อนว่าตระกูลหานนั้นถูกจัดเป็นตระกูลลับ แม้ว่าชื่อเสียงในที่แจ้งจะไม่ได้โด่งดังเท่ากับสามตระกูลใหญ่ ทว่าหากเป็นในวงการใต้ดินหรืออิทธิพลในเงามืดแล้ว ขุมกำลังของพวกเขานับว่ามีอำนาจบารมีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสามตระกูลใหญ่เลย หรือบางทีอาจจะทรงอิทธิพลมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
“พี่โม่หยวน ในตอนที่ข้ากำลังรอท่านอยู่ที่นี่ พวกเขาก็เข้ามาแล้วไล่ให้เราหลีกทางไป ข้าอุตส่าห์เจรจาขอว่าให้รอสักครู่ เมื่อท่านมาถึงแล้วพวกเราจึงจะไปได้ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมอีกทั้งยังคิดจะใช้กำลังทำร้าย”
หลิวหว่านเยียนรีบเดินเข้าไปหาหานโม่หยวนด้วยใบหน้าเศร้าโศก นางเอ่ยฟ้องเสียงออดอ้อนพลางชี้นิ้วไปที่เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิง
แม้ใบหน้าจะโศกตรมทว่าในใจของสตรีจอมริษยากำลังรู้สึกสนุกอยู่ หานโม่หยวนผู้นี้ไม่ใช่ตัวตนที่ใครจะสามารถยั่วยุได้ วันนี้เกรงว่าเยว่ชิงเฉิงจะต้องโชคร้ายเสียแล้ว
“หือ ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ ?”
เมื่อหานโม่หยวนได้ยินได้เห็นกิริยาอาการเป็นทุกข์หนักหนาของหลิวหว่านเยียน เขาก็โอบร่างของนางมาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะกล่าวถาม
“ใครมันกล้ามารังแกเยียนเอ๋อร์ของข้า ช่างไม่รู้จักประมาณตน ! พวกเจ้า—”
หานโม่หยวนจ้องมองเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงด้วยสายตาหงุดหงิดรำคาญใจราวกับว่าเขากำลังมองดูแมลงตัวเล็ก ๆ ที่สร้างเสียงหนวกหู เห็นได้ชัดว่าหานโม่หยวนผู้นี้ไม่เห็นตัวตนของคุณหนูคุณชายตระกูลใหญ่ตรงหน้าอยู่ในสายตา
“หยุดแค่นั้นแหละ ! ที่แท้สหายคนสำคัญที่ว่าก็คือคุณชายตระกูลหานนั่นเอง อะไรกัน คุณชายหานเองก็จะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในวังด้วยอย่างนั้นหรือ ?”
เยว่ชิงเฉิงจ้องมองหานโม่หยวนด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่มีวี่แววหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็เป็นเช่นเดียวกันกับโอวหยางชิงเฟิง แค่ตัวตนของหานโม่หยวนจากตระกูลหานไม่เพียงพอที่จะข่มพวกเขาได้
บิดาและท่านปู่ของเยว่ชิงเฉิง รวมถึงบิดาและท่านปู่ผู้นำตระกูลของโอวหยางชิงเฟิงมักจะบอกกับพวกเขาว่า บุรุษเดียวในตระกูลหานที่ไม่ควรไปยั่วยุคือหานโม่ฉือ ขอเพียงไม่ยั่วยุหานโม่ฉือก็ไม่มีปัญหาสิ่งใด
ชื่อเสียงของหานโม่ฉือนั้น ทั้งเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงได้ยินมามากพอสมควร เขาคือหนึ่งในสามจอมมารรุ่นเยาว์แห่งไป๋อวิ๋น เขาเป็นบุรุษโหดเหี้ยม เฉียบขาด และเป็นผู้นำที่เด็ดเดี่ยว ว่ากันว่าความแข็งแกร่งของหานโม่ฉืออยู่ในระดับที่น่าสะพรึงกลัวมากถึงขั้นที่ว่า…แทบจะไร้เทียมทานในแผ่นดินหวนหลิง ตระกูลหานในตอนนี้ตกอยู่ภายใต้อำนาจบารมีของหานโม่ฉือเกือบทั้งหมดแล้ว ขอเพียงแค่หานโม่ฉือออกคำสั่ง แม้เพียงครึ่งคำก็สามารถสร้างความโกลาหลไปได้ทุกที่
ดังนั้นเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงจึงไม่เห็นหานโม่หยวนอยู่ในสายตา สีหน้าของพวกเขานอกจากจะไม่กลัวเกรงแล้วยังมีแววเหยียดหยามฉายชัด
“เยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิง ที่พวกเจ้าสบประมาทข้า ข้าไม่ถือสาเอาความก็ได้ แต่พวกเจ้าต้องขอโทษเยียนเอ๋อร์ของข้าก่อน หาไม่แล้วพวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้ไปงานเลี้ยงในคืนนี้เลย !”
หานโม่หยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่
“หานโม่หยวน เจ้าละเมออะไรอยู่ พวกเจ้าเป็นฝ่ายทำให้เราเสียเวลาแล้วยังใช้วาจาหน้าไม่อายขู่เข็ญให้เราขอโทษ ก่อนออกจากประตูบ้านเจ้าได้พกสมองออกมาด้วยรึเปล่า ?”
เย่วชิงเฉิงไม่เกรงกลัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย จู่ ๆ ฝ่ายที่ทำผิดก็บีบบังคับให้พวกนางขอโทษ… นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน
“ชิงเฉิง ชิงเฟิง ถอยออกมา ถ้าพวกเขาไม่ยอมหลีกทาง พวกเราก็ไร้ทางเลือก !”
เสียงของฉินอวี้โม่ดังออกมาจากภายในรถม้าด้านหลัง นางไม่ต้องการจะเสวนากับคนพวกนี้ให้เสียเวลาอีกแล้ว
ในตอนนี้ ความสัมพันธ์ของนางกับหานโม่ฉือก็ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว และนางเองก็กำลังคิดหาสิ่งตอบแทนให้เขาอยู่พอดีเช่นกัน ! …ซึ่งการลงมือกับบุรุษน่าตายตรงหน้าก็ดูจะเป็นของขวัญที่ดีไม่น้อย
แม้ว่าเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงจะไม่เข้าใจความหมายในวาจาของฉินอวี้โม่อย่างกระจ่างชัดนัก ทว่าพวกเขาก็ยังถอยออกมาอยู่ข้าง ๆ รถม้า
ซึ่งก็แน่นอนว่าทางด้านหลิวหว่านเยียนนั้นไม่ยินยอมให้ศัตรูถอยห่างไปได้ง่าย ๆ ทว่าในตอนที่นางกำลังจะเคลื่อนไหว จู่ ๆ หนึ่งในสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่รุนแรงพุ่งตรงออกมาจากรถม้าที่เยว่ชิงเฉิงนั่งมา !
.