ณ ช่วงไหล่เขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ชายฉกรรจ์สวมเสื้อคลุมสีดำหลายคนติดอยู่ในข่ายอาคมโดยที่ไม่มีหนทางจะรอดพ้นออกไปได้
ฉินอวี้โม่ก็เพียงมองพวกเขาด้วยสีหน้าแววตาเรียบเฉยและไม่รีบร้อนทำสิ่งใด
เมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ที่แยกย้ายกันออกไปก่อนหน้านี้ก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งและล้อมรอบกลุ่มคนชุดดำอยู่ไม่ห่าง
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ สีหน้าของหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
พวกเขาเคยสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มาแล้วจริงและทราบดีว่าหานโม่ฉือฝึกทักษะที่น่าสะพรึงกลัวประเภทใด ยิ่งไปกว่านั้น มันก็เป็นทักษะที่ทรงพลังอย่างยิ่งซึ่งสามารถขุดคุ้ยเข้าไปในความทรงจำของเป้าหมายและแม้แต่สิ่งที่เป็นความลับที่สุดก็จะถูกเปิดเผยออกไปอย่างชัดเจน
สิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่านั้นคือทักษะดังกล่าวมีผลกระทบที่ร้ายแรงมาก เมื่อใดที่ถูกขุดคุ้ยเข้าไปในความทรงจำ คนผู้นั้นก็จะเสียสติและกลายเป็นคนเบาปัญญา อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตไปอีกด้วย
“พวกเจ้าอยากรู้เรื่องอะไร ?”
เมื่อนึกถึงผลลัพธ์อันเลวร้ายและน่าสะพรึงกลัว หัวหน้าคนชุดดำก็กล่าวออกมาในที่สุด
“มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าอยากรู้ทีเดียว เราไปหาที่คุยกันสบาย ๆ จะดีกว่า”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและคิดว่าอีกฝ่ายตัดสินใจเลือกทางที่ถูกต้องแล้ว
“ตกลง แต่พวกเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรนัก เจ้าต้องปล่อยพวกเขาไปก่อน”
หัวหน้าคนชุดดำชี้ไปที่คนชุดดำคนอื่น ๆ ที่ติดอยู่ในข่ายอาคมกับตนและระบุเงื่อนไขของตนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่มีปัญหา พวกข้าจะปล่อยพวกเขาไป”
ฉินอวี้โม่ไม่กังวลว่าบุรุษชุดดำจะมีเล่ห์เหลี่ยมใดซ่อนไว้ คนชุดดำนับสิบคนเหล่านั้นเป็นเพียงลิ่วล้อที่ยังอายุน้อยนักและเชื่อได้ว่าพวกเขาคงจะไม่ทราบถึงข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์จริง ๆ เพราะเหตุนั้นการปล่อยพวกเขาไปจึงไม่ส่งผลใดต่อพวกนาง
ถึงอย่างไรกลุ่มคนชุดดำทั้งหมดที่เข้ามาในสมรภูมิรบเดนตายคงจะรวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้แล้วและไม่มีกำลังเสริมใด ๆ อีก ต่อให้พวกเขาจะคิดลอบโจมตีพวกนางอีก ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มั่นใจว่ากลุ่มคนชุดดำเพียงไม่กี่สิบคนนี้มิใช่คู่ต่อสู้ของพวกนางอย่างแน่นอน
“หัวหน้า !”
บุรุษชุดดำหลายสิบคนตะโกนเป็นเสียงเดียวและไม่ต้องการทอดทิ้งหัวหน้าของพวกตนไว้เพียงลำพัง
“เชื่อฟังคำสั่งของข้าและไปรอข้าอยู่ที่เชิงเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อย่าคิดทำสิ่งใดบุ่มบ่ามเด็ดขาด !”
หัวหน้าคนชุดดำกล่าวกับคนเหล่านั้นก่อนร่ายบางอย่างบนร่างของตนเองเพื่อปิดผนึกพลังทั้งหมดไว้และต้องการให้ฉินอวี้โม่มั่นใจว่าตนจะไม่ขัดขืน
“ขอรับ !”
แม้ไม่เต็มใจนัก คนชุดดำเหล่านั้นก็ไม่มีทางขัดคำสั่งของผู้เป็นหัวหน้า พวกเขาจึงพยักศีรษะรับคำอย่างรวดเร็ว
“ไปกันเถอะ ตามพวกเราขึ้นไปบนยอดเขา ข้าจะให้อสูรมายาของข้าคลายข่ายอาคมของที่นี่”
ฉินอวี้โม่โบกมือเบา ๆ และบุรุษชุดดำผู้เป็นหัวหน้าก็ก้าวออกมาจากข่ายอาคมได้ในที่สุด
แม้ประหลาดใจเล็กน้อย บุรุษชุดดำก็เดินไปข้างกายฉินอวี้โม่และมุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างว่าง่าย
อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ก็ตามไปอย่างรวดเร็วเช่นกันในขณะที่มารยาทำการคลายข่ายอาคมทีละชั้นและจับตาดูคนชุดดำคนอื่น ๆ เดินลงจากภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ณ ยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ฉินอวี้โม่นำทางหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำไปยังเรือนที่พักบนยอดเขา
“จะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร ?”
หลังจากนั่งลงในศาลาพักผ่อนของสวน ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามออกไป
“เยี่ยซา”
หัวหน้ากลุ่มคนชุดดำได้ปล่อยวางความไม่เต็มใจและจิตสังหารไปทั้งหมดแล้ว เวลานี้เขาจึงดูเหมือนบุรุษหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นและแนะนำชื่อของตนเองออกไปอย่างว่าง่าย
“เอาล่ะ ข้าขอถามคำถามแรกก่อน เจ้ามาจากตระกูลใด?”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและจำได้ว่าไม่เคยได้ยินชื่อดังกล่าวมาก่อน จากนั้นนางก็เอ่ยถามต่อไป
“พวกเรามาจากตระกูลเยี่ยและพวกเจ้าก็คงจะไม่รู้จักหรอก”
เยี่ยซาไม่ปิดบังและกล่าวถึงต้นกำเนิดของตนซึ่งก็คือตระกูลเยี่ยที่ฉินอวี้โม่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ตระกูลเยี่ยงั้นรึ ?”
ในที่แห่งนี้ เรียกได้ว่าหลานเผิงเป็นผู้ที่สืบทราบข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนมหาเทพมากที่สุด ทว่าแม้แต่เขาเองก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับตระกูลเยี่ยมาก่อน
“ไม่ต้องพยายามนึกหรอก ตระกูลเยี่ยมิได้อยู่ในเมืองใดของดินแดนมหาเทพแห่งนี้ หากแต่อยู่ในมิติพิเศษแห่งหนึ่ง การที่พวกเจ้าจะไม่รู้จักก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติ”
เยี่ยซากล่าวอธิบายต่อ เขาไม่คิดที่จะโกหกปิดบังและไม่มีความจำเป็นที่จะโกหกเช่นกัน
ฉินอวี้โม่และสหายเหล่านี้ล้วนมีปัญญาเป็นเลิศ ตราบใดที่มีร่องรอยพิรุธใดในวาจาของเขา คนเหล่านี้จะสามารถตัดสินได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น หานโม่ฉือก็จะใช้ทักษะพิเศษที่น่าสะพรึงกลัวนั้นและฉินอวี้โม่จะได้ทราบความจริงทุกอย่างอยู่ดี เพราะฉะนั้นแล้วทางที่ดีที่สุดคือการให้ความร่วมมือและบอกทุกอย่างตามความจริง นอกจากนี้ ผู้นำตระกูลของเขาก็ไม่เคยสั่งห้ามเรื่องนี้มาก่อน
“เหตุใดพวกเจ้าจึงพยายามจับตัวพี่เหยียนไป ? ศิษย์พี่ของข้าอยู่ในกำมือของพวกเจ้าด้วยรึไม่?”
ฉินอวี้โม่ยังไม่สนใจเรื่องของตระกูลเยี่ยมากนักขณะเอ่ยถามสิ่งที่พวกตนสงสัยใคร่รู้และกังวลมากที่สุดในตอนนี้
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ ตระกูลเยี่ยของเราส่งคนออกไปสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีหน้าที่จับตัวฉินเหยียนและอีกกลุ่มมีหน้าที่จับตัวฉินเฟิง ท่านผู้นำกำชับไว้ว่าจะต้องจับตัวทั้งสองกลับไปอย่างมีชีวิตและห้ามทำร้ายพวกเขาจนเกินกว่าเหตุเด็ดขาด สำหรับสาเหตุที่ต้องจับตัวคนทั้งสองนั้น…ข้าไม่ทราบหรอก สาเหตุที่พวกเราค้นหาตำแหน่งของนางได้ในทุกคราก็เพราะลูกแก้ววิญญาณที่ได้มาจากท่านผู้นำ ตราบใดที่อยู่ในระยะพันลี้ มันจะแสดงพิกัดของนางได้อย่างชัดเจน”
เขากล่าวพร้อมหยิบลูกแก้วขนาดเท่ากำปั้นออกมาและยื่นให้กับฉินอวี้โม่ เวลานี้มีจุดแสงสีแดงกะพริบบนพื้นผิวอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นพิกัดที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้
ลูกแก้วขนาดเท่ากำปั้นดังกล่าวมีลักษณะคล้ายลูกโลกและมันน่าจะเป็นแผนที่ของทั่วทั้งดินแดนมหาเทพซึ่งระบุพิกัดต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจน
ทันทีที่ตระหนักได้ถึงคุณสมบัติของมัน ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนก็หันมองหน้ากันทันที ด้วยสมบัติที่ล้ำค่าเช่นนี้ คาดการณ์ได้เลยว่าผู้นำตระกูลเยี่ยจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“มีอะไรที่เจ้ารู้อีกหรือไม่ ? บอกข้าเกี่ยวกับข่าวทุกอย่างที่เจ้ารู้มา”
นางไม่เอ่ยถามโดยตรง ทว่าถามออกไปอย่างครอบคลุมด้วยเชื่อว่าเยี่ยซาจะไม่ปิดบังสิ่งใด
“ข้ามาจากตระกูลเยี่ยและตระกูลเยี่ยเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่ดีที่สุดในมิติพิเศษแห่งนั้น ทางเข้าของมิติแห่งนั้นอยู่ทางตะวันออกอันไกลโพ้นของดินแดนมหาเทพ หากพวกเจ้าอยากเข้าไปที่นั่น เจ้าต้องได้รับการแนะนำจากสมาชิกของตระกูลในมิติแห่งนั้นและไม่สามารถเข้า-ออกด้วยตัวเองได้ ในมิตินั้นมีขุมกำลังอยู่มากมายและขุมกำลังที่อ่อนแอที่สุดก็ยังแข็งแกร่งกว่าสามสำนักและเก้านิกายข้างนอกนั่นเสียอีก”
เยี่ยซารวบรวมข้อมูลและกล่าวอธิบายเกี่ยวกับตระกูลเยี่ยอย่างสั้น ๆ
มิติพิเศษที่เขากล่าวถึงคือ ‘โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ ภายในมิติพิเศษแห่งนั้นมีจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าทรงพลังมากมายนับไม่ถ้วน แม้จะมีตระกูลที่ไม่มากนัก ทว่าพวกเขาเหล่านั้นล้วนทรงพลังอย่างมาก สำหรับสามสำนักและเก้านิกายที่เป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนมหาเทพ หากย่างกรายเข้าไปที่นั่น เกรงว่าพวกเขาคงเป็นได้เพียงขุมกำลังที่มีอันดับรั้งท้ายเท่านั้น
แน่นอนว่าการเข้าไปในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มิใช่เรื่องง่าย
หากปราศจากป้ายหยกจากขุมกำลังของที่นั่น คนนอกไม่มีทางที่จะเข้าไปที่นั่นได้เลย ทว่าคนเหล่านี้ที่มีกลิ่นอายของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวเองสามารถเข้าและออกจากที่นั่นได้ตามต้องการ
“ข้าไม่ทราบจริง ๆ ว่าฉินเฟิงถูกจับตัวไปหรือยัง อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของคนกลุ่มนั้นก็เหนือกว่าพวกข้ามาก แม้ฉินเฟิงจะไม่ธรรมดา เขาก็คงจะหนีไปไม่พ้น ข้าไม่ทราบว่าเหตุใดท่านผู้นำจึงต้องการจับตัวฉินเฟิงและฉินเหยียนไป เพียงแต่ข้ามั่นใจได้ว่าชีวิตของทั้งสองจะไม่ตกอยู่ในอันตราย”
เยี่ยซาไตร่ตรองดูและกล่าวต่ออีกประโยคซึ่งยังเป็นความจริงเช่นเดิม
หลังจากฟังข้อมูลจากเยี่ยซา ฉินอวี้โม่และทุกคนก็นิ่งเงียบพลางใช้ความคิดอย่างหนัก บรรยากาศทั่วบริเวณตกอยู่ท่ามกลางความเงียบพักใหญ่และไม่มีผู้ใดเอ่ยปากออกมา
โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นเรื่องใหม่ที่พวกนางไม่เคยทราบมาก่อน เรื่องราวความวุ่นวายในดินแดนมหาเทพยังไม่ได้รับการสะสาง ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ผุดขึ้นมาอีก หากฉินเฟิงตกอยู่ในเงื้อมมือของคนตระกูลเยี่ยแล้วจริง ไม่ว่าอย่างไรฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ต้องเดินทางไปที่นั่นในสักวัน…
“อวี้โม่ ปล่อยให้ข้าไปที่จวนตระกูลเยี่ยในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กับพวกเขาเถอะ”
หลังจากความเงียบครู่ใหญ่ ฉินเหยียนก็คลี่ยิ้มพร้อมกับกล่าวถึงแผนการของตน