ภายในโพรงต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากทะเลสาบ จางซือถงกำลังขดตัวซ่อนอยู่ในนั้นและตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างไม่หยุดหย่อนด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย…”
แววตาของนางบ่งบอกถึงความหวาดกลัวสุดขีดราวกับเผชิญสิ่งที่เลวร้ายมาและสติของนางก็ดูจะเลือนรางเต็มที
“จางซือถง เกิดอะไรขึ้น ?”
ฉินอวี้โม่นั่งยอง ๆ และสบตาจางซือถงพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
ในวันนั้น หลังจากจางซือถงออกจากเมืองอู๋เริ่นและเมิ่งเยี่ยตามไปอย่างใกล้ชิด ฉินอวี้โม่ก็ไม่พบทั้งสองอีกเลย ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับนางในตอนนี้
เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็ทราบได้ทันว่าจะต้องเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นอย่างแน่นอน มิฉะนั้นสตรีที่มั่นใจเด็ดเดี่ยวอย่างจางซือถงคงไม่อยู่ในสภาพเช่นนี้
แม้ไม่ได้ทำความรู้จักหรือใกล้ชิดกับนางนานนัก ฉินอวี้โม่ก็พอจะทราบนิสัยใจคอของคุณหนูรองแห่งตระกูลจางอยู่เล็กน้อย จางซือถงมิใช่คนที่จะเกรงกลัวต่อสิ่งใดง่าย ๆ แม้ในตอนที่เผชิญหน้ากับเนตรปีศาจก่อนหน้านี้ นางก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่หวาดผวาเหมือนอย่างในตอนนี้ นอกจากนี้ นางก็ยังไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำ
“จะ…เจ้าคือฉินอวี้โม่”
จางซือถงสบตาฉินอวี้โม่ครู่หนึ่งด้วยความลังเลก่อนเรียกสติกลับคืนมาได้เล็กน้อย
“ใช่ ข้าเอง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและช่วยประคองจางซือถงออกมาจากโพรงต้นไม้พร้อมถ่ายทอดพลังมายาไปให้อีกฝ่ายเพื่อปรับสภาวะพลังในร่างกายของนางและทำให้นางสงบสติอารมณ์โดยสมบูรณ์
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าจึงมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ? แล้วตอนนี้เมิ่งเยี่ยอยู่ที่ไหน ?”
เมื่อเห็นจางซือถงเรียกสติกลับคืนมามากพอที่จะสนทนากัน ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามออกไปทันที
“เมิ่งเยี่ย…ใช่แล้ว ! ช่วยเมิ่งเยี่ยด้วย ! หากมิใช่เพราะพยายามช่วยข้า เมิ่งเยี่ยก็คงจะไม่ติดอยู่ที่นั่น…”
เมื่อนึกถึงเมิ่งเยี่ย น้ำเสียงของจางซือถงก็หนักแน่นขึ้นมา นางรีบจับมือฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยสีหน้าแววตาจริงจังในทันที
“ไม่ต้องห่วง เล่าให้ข้าฟังเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น”
ฉินอวี้โม่แตะมืออีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อปลอบประโลมให้นางใจเย็นลงและเอ่ยถามความเป็นมาอย่างช้าๆ
“วันนั้นข้าออกไปจากเมืองอู๋เริ่นและเมิ่งเยี่ยติดตามข้ามา หลังจากหารือกัน เราก็ตัดสินใจที่จะออกเดินหน้าสั่งสมประสบการณ์ต่อไปด้วยกัน ในตอนแรกเราก็วางแผนที่จะกลับไปยังเมืองอู๋เริ่นก่อน ทว่าเรากลับหลงทางและตามหาตำแหน่งของเมืองอู๋เริ่นไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เราจึงเดินหน้ามาในทิศทางหนึ่งจนมาถึงบริเวณนี้…”
สีหน้าของจางซือถงยังคงแสดงความกังวลอย่างชัดเจน ทว่าพยายามปรับสีหน้ารักษาท่าทางให้ใจเย็นที่สุดขณะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบ
แรกเริ่มเดิมที นางและเมิ่งเยี่ยวางแผนจะกลับไปที่เมืองอู๋เริ่น ทว่าฉินอวี้โม่ทำลายคำสาปของเมืองได้สำเร็จและทำให้เมืองดังกล่าวหายสาบสูญไปจากสมรภูมิรบเดนตาย ในเมื่อไม่พบเมืองแห่งนั้นและอับสิ้นหนทาง ทั้งสองจึงเดินหน้าต่อมาในทิศทางหนึ่งจนมาถึงบริเวณนี้
ระหว่างทางที่ผ่านมา ทั้งสองก็เผชิญกับวิกฤตความวุ่นวายหลายอย่างและแม้จะผ่านไปทางภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองก็ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น
เมิ่งเยี่ยสันนิษฐานว่าบนภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะต้องเต็มไปด้วยภยันตรายมากมาย เขาจึงไม่มีความคิดที่จะขึ้นไป จางซือถงเองก็ไม่ต้องการถ่วงแข้งถ่วงขาของเขา นางจึงไม่คัดค้านและเชื่อวาจาของเขาแต่โดยดี สุดท้ายหลังจากฝ่าฟันและหลบหลีกอุปสรรคระหว่างทางทั้งหมด ทั้งสองก็มาถึงบริเวณใกล้ทะเลสาบเมื่อสองวันก่อน
“ในตอนแรกก็ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก เมิ่งเยี่ยและข้าวางแผนจะหยุดพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นจางซือฉีปรากฏตัวอยู่ที่นี่”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของจางซือถงก็กลายเป็นความโกรธแค้นในทันที
นางซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนและตรงไปตรงมาเสมอ ทว่าคาดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วน้องสามของตนจะเป็นผู้ร้ายในคราบคนดีและเสแสร้งทำตัวเป็นน้องสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์ตลอดเวลาที่ผ่านมา
ในเมืองอู๋เริ่นก่อนหน้านี้ ธาตุแท้ของจางซือฉีก็ถูกเปิดโปงแล้วและจางซือถงก็รู้สึกผิดหวังในตัวนางอย่างที่สุด เพียงแต่ทั้งสองยังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ไม่อาจตัดขาดได้และจางซือถงก็ยังสนใจความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายอยู่ลึก ๆ
สมรภูมิรบเดนตายเต็มไปด้วยวิกฤตที่คาดไม่ถึงมากมายและหากจางซือฉีตายอยู่ที่นี่ มันก็มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จางซือถงจะอธิบายกับทุกคนเมื่อกลับออกไป
“เมื่อเห็นร่างของจางซือฉีที่อยู่ในระยะห่างออกไป ข้าก็หารือกับเมิ่งเยี่ยและต้องการเข้าไปหานางเพื่อถามว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนั้น รวมถึงต้องการจับตาดูนางไว้เพื่อมิให้นางได้มีโอกาสทำร้ายผู้อื่นอีก คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นแผนการของนางตั้งแต่แรก !”
ในขณะที่กล่าวอยู่ ความโกรธแค้นในแววตาและสีหน้าของจางซือถงก็เปลี่ยนกลายเป็นจิตสังหารราวกับต้องการจะจับตัวจางซือฉีมาปาดคอด้วยตัวเอง
“เราเดินตามร่างของนางไปเรื่อย ๆ จนไปถึงหุบเขาแห่งหนึ่งที่ดูธรรมดาทั่วไป ทว่าเมื่อเราก้าวเข้าไป หมอกหนาทึบก็ปรากฏรอบตัวทันที”
เมื่อนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหุบเขาก่อนหน้านี้ จู่ ๆ ร่างของจางซือถงก็สั่นเทาขึ้นมา
การติดอยู่ท่ามกลางหมอกหนาเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายอย่างแท้จริง หากมิใช่เพราะเมิ่งเยี่ยที่ทำทุกวิถีทางเพื่อส่งนางออกมาก่อน จางซือถงไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะออกมาได้หรือไม่
“ท่ามกลางหมอกนั้นมีจิตสังหารและกับดักหลากหลายชนิดที่ทำให้เราบาดเจ็บกันพอสมควร อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นยังมิใช่ส่วนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของมัน”
จางซือถงหลับตาลงและความรู้สึกทั้งหมดที่เผชิญในหมอกหนาก่อนหน้านี้ค่อย ๆ ย้อนกลับมาในหัว
วิสัยทัศน์รอบด้านมีเพียงหมอกหนาทึบซึ่งแทบไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้และรอบ ๆ หมอกก็เต็มไปด้วยกับดักมากมาย อย่างไรก็ตาม เมิ่งเยี่ยมีไพ่ตายสำหรับเอาตัวรอดหลายอย่าง กอปรกับพลังวิญญาณที่เฉียบแหลมของเขา ทั้งสองจึงเอาตัวรอดจากกับดักเหล่านั้นมาได้
จากนั้นจางซือถงและเมิ่งเยี่ยก็เดินหน้าต่อไปลึกมากขึ้นจนกระทั่งพบกับจางซือฉีที่อยู่ไม่ไกลออกไป
จางซือฉีก็มองเห็นทั้งสองเช่นกันและจู่ ๆ นางก็แสยะยิ้มอย่างชวนขนลุก
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่จางซือถงไม่มีทางลืมเลือนได้อย่างแน่นอน และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้นางรู้สึกหวาดผวาจนถึงตอนนี้
ในเวลานั้น มีหลุมขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ด้านข้างจางซือฉีและทั้งสองก็สามารถมองเห็นหลุมนั้นได้อย่างชัดเจนเมื่อมุ่งหน้าเข้าไปใกล้มันมากขึ้น
หลุมขนาดใหญ่ดังกล่าวเต็มไปด้วยซากศพมากมายและพื้นดินก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแดงฉาน ศพเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นศพของจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายครานี้และสภาพศพก็ยังดูสดใหม่ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องเผชิญกับสิ่งที่เลวร้ายก่อนตายและสีหน้าของพวกเขาล้วนแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นซากศพจำนวนมากกองอยู่ตรงหน้า จางซือถงก็แทบจะอาเจียนออกมา เมิ่งเยี่ยเองก็รู้สึกถึงสัญญาณของวิกฤตที่ร้ายแรงเป็นครั้งแรกและรีบหันหลังกลับเพื่อหนีไปกับจางซือถง
อย่างไรก็ตาม หมอกหนารอบตัวก็บดบังวิสัยทัศน์ของพวกเขาจนเกินไปและจำกัดการเคลื่อนไหวของพวกเขาไว้จึงไม่สามารถเร่งความเร็วได้อย่างเต็มที่นัก
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน จางซือฉีก็ตามทั้งสองได้ทันโดยมาพร้อมกับบุรุษสวมเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่งข้างกาย คลื่นพลังของคนผู้นั้นแกร่งกล้าอย่างมาก เพียงการโบกมือครั้งเดียวของเขาก็ทำให้ทั้งเมิ่งเยี่ยและจางซือถงกระเด็นออกไป
“เมิ่งเยี่ยทราบดีว่าข้ารับมือไม่ได้แน่ เขาจึงผลักข้าออกไปในขณะที่ตัวเองเข้าไปประจันหน้ากับบุรุษชุดดำและจางซือฉี ในตอนนั้นข้าก็ไม่ต้องการทอดทิ้งเขาไว้เพียงคนเดียว ทว่าเมิ่งเยี่ยก็ยืนกรานเสียงแข็งและบอกให้ข้าตามคนมาช่วย ส่วนตัวเขาจะถ่วงเวลาไว้และรอจนกว่าข้าจะพาคนมาช่วยเขาได้”
จางซือถงมิใช่คนรักตัวกลัวตายเป็นทุนเดิม เมื่อเผชิญกับวิกฤตเช่นนั้น ในตอนแรกนางก็ต้องการจะฝ่าฟันมันไปด้วยกันกับเมิ่งเยี่ย
อย่างไรก็ตาม เมิ่งเยี่ยยืนกรานที่จะให้นางออกไปก่อนและกล่าวว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับนางเพียงผู้เดียว นางก็ไม่อาจทำให้เมิ่งเยี่ยผิดหวังได้และรีบวิ่งหนีออกมาอย่างสุดแรงเกิดเพื่อตามหาคนมาช่วย ทว่าจางซือฉีก็พยายามไล่ตามมาติด ๆ และโจมตีจางซือถงอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าจางซือถงก็ไม่ยอมอยู่เฉยและปล่อยฝ่ามือโจมตีออกไปเพื่อเปิดช่องทิ้งระยะห่างระหว่างตนกับจางซือฉี สุดท้ายนางก็มีโอกาสหลบหนีออกมาได้สำเร็จ
เนื่องจากกังวลว่าจางซือฉีจะตามหาตนพบ นางจึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในโพรงต้นไม้เช่นนี้ หลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่และมั่นใจว่าจางซือฉีกลับไปแล้ว จางซือถงจึงกล้าตะโกนขอความช่วยเหลือ
ในหัวใจของจางซือถงก็ทราบดีว่าอาจไม่มีผู้ใดยินดีช่วยเหลือตน เว้นเพียงแต่ฉินอวี้โม่เท่านั้น ซึ่งเคราะห์ดีที่ว่าคณะของฉินอวี้โม่ผ่านมาทางนี้พอดิบพอดีและทำให้ความปรารถนาของนางกลายเป็นจริง