หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากจางซือถง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่พลางใช้ความคิดอย่างหนัก
แม้ไม่ได้ประสบพบเจอกับเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง ทว่าเพียงได้ฟังเรื่องราวที่จางซือถงเล่ามา ทุกคนก็รับรู้ได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของมัน
บุรุษผู้สวมเสื้อคลุมสีดำผู้นั้นจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสมรภูมิรบเดนตายอย่างแน่นอน เพียงแต่ยังไม่มั่นใจนักว่าเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใด
“ฉินอวี้โม่ ข้ารู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจ แต่…ได้โปรดช่วยเมิ่งเยี่ยด้วยเถอะ หากเจ้ารับปาก ข้าจะยอมทำทุกอย่าง…”
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่นิ่งเงียบโดยไม่ตอบสิ่งใด จางซือถงก็กังวลใจยิ่งกว่าเดิม นางจับมือฉินอวี้โม่ไว้แน่นและเตรียมคุกเข่าขอร้องตรงหน้า
“ตราบใดที่เจ้าให้สัญญาว่าจะช่วยเมิ่งเยี่ย ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของข้า ข้าก็จะไม่ลังเล”
จางซือถงมิใช่คนจิตใจชั่วร้ายเป็นทุนเดิม ก่อนหน้านี้นางเคยกล่าววาจาดูแคลนฉินอวี้โม่เพียงเพราะต้องการปกป้องน้องสาวของตนเท่านั้น ทว่าแท้ที่จริงแล้วนางเป็นสตรีที่จิตใจดีและยึดมั่นในความยุติธรรม
“ไม่ต้องหรอก เมิ่งเยี่ยก็เป็นสหายของข้าเช่นกัน ตอนนี้การที่เขาตกอยู่ในอันตราย ข้าไม่มีทางอยู่เฉยได้แน่ เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แค่นำทางพวกข้าไปที่นั่นก็พอ”
ฉินอวี้โม่ยื่นมือออกไปประคองร่างจางซือถงไว้เพื่อมิให้นางคุกเข่าอ้อนวอนตน
“ไม่แปลกใจเลยที่เมิ่งเยี่ยจะชื่นชมเจ้านัก ฉินอวี้โม่…เจ้าเป็นสตรีที่น่านับถือจริง ๆ”
น้ำเสียงของนางแสดงถึงความซาบซึ้งใจอย่างชัดเจน ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เมิ่งเยี่ยจึงกล่าวว่าฉินอวี้โม่เป็นบุคคลที่คู่ควรแก่การผูกมิตร
“นำทางเราไปที่นั่นก่อนเถอะ นี่ก็ผ่านมาพักใหญ่แล้ว หวังว่าเมิ่งเยี่ยจะไม่เป็นอะไรไปก่อน”
ฉินอวี้โม่แตะหลังมือของจางซือถงเบา ๆ พร้อมกล่าวออกไป ตอนนี้มิใช่เวลาสำหรับการที่จะชื่นชมเยินยอกันเอง
“เอาล่ะ ตามข้ามา”
จางซือถงพยักศีรษะเบา ๆ ก่อนพุ่งตรงไปในทิศทางที่อยู่ในความทรงจำ
ฉินอวี้โม่และสหายก็ติดตามไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่โหรวรั่วและคนอื่น ๆ ก็ไม่คิดที่จะตีตัวออกห่างจากเรื่องนี้เช่นกัน
หลังจากผ่านเวลาไปหนึ่งก้านธูป ในที่สุดคนทั้งกลุ่มก็ปรากฏตัวข้างหน้าหุบเขาแห่งนั้น
“อยู่ข้างหน้านี้”
สีหน้าของจางซือถงกลายเป็นเย็นชาขณะชี้ตรงไปที่หุบเขาทอดยาวไร้จุดสิ้นสุดตรงหน้า
ภูเขาทั้งสองฝั่งของหุบเขาแห่งนี้มีความสูงที่ไม่มากนักและมีขนาดเล็กกว่าภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก บุปผาและพืชพรรณหลากหลายชนิดก็เติบโตอยู่บนภูเขาทั้งสอง ทว่าไม่มีสิ่งใดที่ดูผิดปกติไป
“เข้าไปกันเถอะ พี่ซื่อเทียนและเซิ่งเซียวจะเดินปิดท้าย ส่วนคนอื่น ๆ อยู่ตรงกลาง”
เนื่องจากยังไม่ทราบสถานการณ์ข้างในนั้น ฉินอวี้โม่จึงวางแผนเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า
นาง หานโม่ฉือและจางซือถงจะเดินนำเข้าไปก่อนและปิดท้ายด้วยผู้ที่ทรงพลังที่สุดในกลุ่มอีกสองคนนั่นก็คืออวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียว ด้วยรูปแบบการเดินขบวนเช่นนี้ ต่อให้เกิดเรื่องด่วนใดที่ไม่คาดฝัน พวกนางก็จะสามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที
“ตกลง”
คนอื่น ๆ ก็พยักศีรษะเห็นด้วยในทันที จากนั้นฉินอวี้โม่ก็จับมือหานโม่ฉือและจางซือถงไว้ก่อนมุ่งหน้าเข้าไปในหุบเขา
ข้างหลังทั้งสามคือหลานเผิงที่จับข้อมือเหมียวเจินเจินไว้อย่างแน่นหนาเพื่อปกป้องนาง
โหรวรั่วและอีกสามคนเดินตามเข้าไปด้วยสีหน้าระมัดระวัง
เซิ่งเซียวก็คอยคุ้มกันความปลอดภัยให้กับอวิ๋นซื่อเทียนขณะแผ่พลังวิญญาณออกไปรอบตัวเพื่อสังเกตดูสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา
และก็เป็นจริงดังที่คิดไว้ ทันทีที่ก้าวเข้ามาในหุบเขา หมอกหนาทึบก็เข้าปกคลุมทั่วบริเวณ ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นมืดจนมองไม่เห็นสิ่งใด ทว่าพวกนางก็ไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้เกินกว่าห้าก้าว
ฟึ่บ !
นิ้วมือของฉินอวี้โม่ขยับเล็กน้อยก่อนเปลวเพลิงเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นมา หมอกรอบตัวก็มีปฏิกิริยาราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจและสลายหายไปเล็กน้อย จากเดิมที่มองเห็นทางข้างหน้าได้ไม่เกินกว่าห้าก้าว ตอนนี้พวกนางก็สามารถมองเห็นได้ประมาณยี่สิบก้าวแล้ว
ที่นี่ดูเหมือนหุบเขาธรรมดา ๆ ที่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติและไม่มีกลิ่นคาวของเลือดแตะจมูกด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่มั่นใจว่าจางซือถงไม่มีทางโกหกนางอย่างแน่นอน
“ระวัง !”
เสียงเตือนดังขึ้นจากข้างหลังในขณะที่เฝิงเยี่ยชักกระบี่ออกมาฟาดฟันเถาวัลย์หลายเส้นที่พยายามจะพันรอบพวกตน
เสียง ‘เปร๊ง เปร๊ง เปร๊ง’ ดังขึ้นอีกหลายครั้งและกริชแหลมคมหลายเล่มถูกปัดร่วงจากกลางอากาศลงสู่พื้นดินซึ่งเป็นหนึ่งในกับดักหลายชนิดของหุบเขาแห่งนี้
“เราเผชิญหน้ากับกับดักพวกนี้มาก่อน ทว่าเมิ่งเยี่ยทำลายพวกมันไปทั้งหมดแล้ว ข้าไม่คิดเลยว่ากลไกของพวกมันจะฟื้นตัวกลับคืนมาได้เร็วเช่นนี้”
จางซือถงก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างชัดเจน ความทรงจำเกี่ยวกับกับดักของนางมีเพียงน้อยนิดเท่านั้น นางจึงไม่ได้เตือนเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่และทุกคน นอกจากนี้ เมิ่งเยี่ยก็ทำลายกับดักเหล่านี้ไปทั้งหมดแล้วและนางคิดว่ามันจะไม่มีอุปสรรคขวากหนามใด ๆ อีก
“ทุกคนระวังตัวด้วย ที่นี่น่าจะมีกับดักอีกมากทีเดียว”
ฉินอวี้โม่เตือนทุกคนอีกครั้งขณะก้าวต่อไปข้างหน้า ทว่าจู่ ๆ นางก็รู้สึกได้ว่าพื้นดินใต้เท้าของตนหายไป
นางก็ไม่รอช้าและกระโดดขึ้นไปเหยียบบนอากาศทันทีโดยไม่ลืมที่จะดึงร่างจางซือถงที่ไม่ทันได้ตอบสนองไปกับตน
เมื่อก้มลงมอง จางซือถงก็มองเห็นหลุมลึกที่ดูไร้ที่สิ้นสุดตรงหน้า หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เกรงว่านางคงจะตกลงลงไปข้างในแล้ว
หลุมใหญ่ดังกล่าวทั้งมืดสนิทและลึกมาก ไม่มีทางทราบได้เลยว่ามีวิกฤตใดรออยู่ข้างในนั้น แม้แต่ฉินอวี้โม่เองก็ไม่กล้าที่จะรับประกันว่าหากตกลงไปแล้ว นางจะเอาตัวรอดออกมาจากหลุมนั้นได้
ทุกคนเดินหน้าต่อไปอย่างช้า ๆ และเดินเข้าไปได้เกือบหนึ่งร้อยก้าวเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นในหู
“จางซือฉี หากเจ้าคิดว่ามีฝีมือมากพอก็ฆ่าข้าเสียเถอะ !”
น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนแอของบุรุษคนหนึ่งดังขึ้น บุรุษผู้นั้นก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเมิ่งเยี่ยที่ติดอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้นั่นเอง
แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่าครึ่งวันแล้ว เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้จะไม่ทราบว่าเขาเผชิญสิ่งใดมาบ้าง มันก็ทำให้ฉินอวี้โม่และทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เมิ่ง…”
จางซือถงกำลังจะเอ่ยปากเรียกเมิ่งเยี่ย ทว่าฉินอวี้โม่ปิดปากนางไว้เสียก่อน จางซือฉีและบุรุษเสื้อคลุมสีดำยังไม่สังเกตเห็นพวกตนที่เข้ามา เพราะเหตุนั้นมันจึงเป็นโอกาสที่ดีในการแอบฟังบทสนทนาของอีกฝ่ายก่อนและดูว่าจะได้ข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์หรือไม่
“เมิ่งเยี่ย เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้างั้นรึ !”
เสียงของจางซือฉีดังขึ้นในหูของทุกคนซึ่งเป็นน้ำเสียงที่ทั้งเยือกเย็นและฟังดูโหดเหี้ยม
“แน่นอนว่าข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น สำหรับสตรีหน้าซื่อใจคดอย่างเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าจะไม่กล้าทำ !”
เมิ่งเยี่ยกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าและน้ำเสียงแสดงถึงความชิงชังที่มีต่อจางซือฉีอย่างชัดเจน
“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเจ้า !”
จางซือฉีเดินตรงเข้าไปหาเมิ่งเยี่ยและยื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้าของเขาหลายครา
“เมิ่งเยี่ย ข้าไม่เข้าใจเลย เห็นได้ชัดว่าข้าเป็นสตรีที่โดดเด่นที่สุดในเมืองเทียนยง เหตุใดเจ้าจึงไม่ใจอ่อนและต่อต้านข้ามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ? ไม่ว่าจะด้านพรสวรรค์หรือรูปลักษณ์ ข้าก็คู่ควรกับเจ้าทุกอย่าง เหตุใดเจ้าจึงไม่สนใจไยดีข้าเลยสักนิด ?”
จู่ ๆ ความสับสนและความสงสัยก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง นี่เป็นสิ่งที่นางไม่เคยคิดหาคำตอบได้
ในเมืองเทียนยงก่อนหน้านี้ นางแสดงความชอบต่อเมิ่งเยี่ยอย่างชัดเจนและไม่เคยคิดปิดบังใด ๆ ทว่าเคราะห์ร้ายที่เมิ่งเยี่ยปฏิเสธนางอย่างไม่ไยดี สำหรับเมิ่งเยี่ย นางเปรียบเสมือนดั่งตัวกาลกิณีที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดซึ่งเป็นสิ่งที่คุณหนูสามแห่งตระกูลจางไม่เคยเข้าใจได้เลย
ในเวลานี้ เมิ่งเยี่ยก็กำลังนั่งอยู่บนพื้นในสภาพที่น่าเห็นใจและสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก เสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาขาดวิ่นและทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล คราบเลือดหลายส่วนแห้งกรังไปแล้วทว่ายังมีเลือดสดไหลซึมในบางส่วนเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เขาเจ็บปวดทรมานมามากพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ยังคงไร้ซึ่งบาดแผล ทว่าดูซีดเซียวอย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินวาจาของจางซือฉี เขาก็เงยหน้าขึ้นมองนางและกล่าวตอบเบา ๆ “เจ้าแน่ใจรึว่าอยากจะรู้คำตอบจริง ๆ ?”
ในเมื่อจางซือฉีเอ่ยถามเช่นนี้ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะไขข้อสงสัยให้กับนาง