เมิ่งเยี่ยทรุดล้มลงบนพื้นและบาดแผลที่ปรากฏอยู่ทั่วร่างก็ทำให้เขาดูน่าเห็นใจยิ่งนัก เมื่อได้ยินคำถามของจางซือฉี ความเย้ยหยันก็ปรากฏในแววตาของเขาแวบหนึ่งก่อนกลายเป็นความเย็นชาเมื่อมองสตรีตรงหน้า
“ข้าเป็นถึงสตรีงามอันดับหนึ่งของเมืองเทียนยงและเป็นที่หมายปองของบุรุษทั่วทั้งเมือง เพราะอะไรกันเจ้าจึงไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาและทำให้ข้าอับอายหลายครั้งหลายครา เพราะอะไรกัน ?!”
จางซือฉีมองเมิ่งเยี่ยและเอ่ยถามอีกครั้ง แม้ที่จริงแล้วนางจะไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่ต่อเขาจากใจจริง ทว่าการถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำแล้วก็เป็นสิ่งที่นางไม่อาจยอมรับได้
เห็นได้ชัดว่านางเป็นสตรีที่โดดเด่นและงดงามที่สุดในเมืองเทียนยง บุรุษมากมายทั่วทั้งเมืองก็หมายปองและมีใจให้กับนาง ทว่าเมิ่งเยี่ยผู้นี้กลับปฏิเสธนางมาตลอดและไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ…
“จางซือฉี สตรีเสแสร้งจอมหลอกลวงอย่างเจ้าตบตาคนอื่นได้เพียงไม่นานเท่านั้น ไม่มีทางที่จะหลอกลวงผู้อื่นได้ตลอดไปหรอก แท้ที่จริงแล้วเจ้าเป็นคนอย่างไร เราทั้งสองต่างก็รู้ดี ไม่ว่าภายนอกเจ้าจะโดดเด่นหรืองดงามเพียงใด ข้าก็ไม่มีทางชอบเจ้าเพราะเจ้าไม่คู่ควรกับข้าเลยสักนิด !”
เมิ่งเยี่ยแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะมีความสนใจในสตรีดอกบัวขาวอย่างจางซือฉี ? ถึงอย่างไรตัวเขาก็มิใช่คนที่สนใจในรูปลักษณ์ภายนอกของสตรีมากนัก ทว่าให้ความสำคัญกับเนื้อแท้ข้างใน หากเปรียบเทียบกัน จางซือถงทำให้เขารู้สึกชื่นชอบได้มากกว่าจางซือฉีเสียอีก
อย่างน้อยที่สุด จางซือถงก็กล้าทำในสิ่งที่คิดอย่างไม่เกรงกลัว อีกทั้งยังมีความจริงใจและความตรงไปตรงมา นางไม่มีทางเสแสร้งแสดงละครเพื่อหลอกลวงผู้คนอย่างแน่นอน
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นสตรีเสแสร้งจอมหลอกลวงงั้นรึ ?”
จางซือฉีขมวดคิ้วมุ่นทันทีและคิดไม่ถึงเลยว่าเมิ่งเยี่ยจะตอบเช่นนี้ หรือว่าเมิ่งเยี่ยจะเห็นธาตุแท้ของนางตั้งแต่ตอนที่อยู่ในเมืองเทียนยงก่อนหน้านี้แล้ว มันจึงเป็นสาเหตุที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงและไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเช่นนี้ ?
“ไม่…ไม่ใช่แค่เพราะความจริงที่ว่าเจ้าเป็นสตรีเสแสร้งจอมหลอกลวงเท่านั้น ทว่าทุกคราที่ข้าเห็นหน้าเจ้า ข้าก็แทบอยากจะอาเจียนออกมา แม้แต่พี่สาวของเจ้า เจ้าก็ยังไม่เว้น จางซือฉี…เจ้าไม่คู่ควรที่จะเกิดเป็นคนด้วยซ้ำ !”
เมิ่งเยี่ยส่ายศีรษะและกล่าวยั่วยุจนจางซือฉีอยู่ไม่ติด
ในเวลานี้ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสพอสมควรและไม่เหลือความสามารถในการต่อสู้อีกต่อไป สำหรับคนอย่างจางซือฉี หากเขาเมินเฉยไม่สนใจไยดีก็มีแนวโน้มสูงว่านางจะสังหารเขาโดยตรง ในทางกลับกัน หากยั่วยุให้นางโมโหขึ้นมา จางซือฉีจะคิดหาวิธีทรมานเขาให้เจ็บปวดและไม่ลงมือสังหารโดยเร็ว
เมิ่งเยี่ยยังไม่อยากตายในตอนนี้ เขาเชื่อมั่นว่าตราบใดที่ถ่วงเวลาได้นานพอ จางซือถงจะตามคนมาช่วยตนได้อย่างแน่นอน
“เมิ่งเยี่ย หุบปากไปซะ !”
เมื่อได้ยินวาจาของเมิ่งเยี่ย จางซือฉีก็เดือดดาลมากขึ้นเรื่อย ๆ นางก้าวไปข้างหน้าและเตะเขาอย่างรุนแรงพร้อมกับใบหน้าที่บูดบึ้ง
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายไปง่าย ๆ หรอก ข้าจะทรมานเจ้าจนสาแก่ใจและทำให้เจ้าสำนึกถึงชะตากรรมของผู้ที่ริอาจดูหมิ่นข้า !”
นางตะโกนเสียงแข็งออกมาและไม่เหลือร่องรอยของความอ่อนโยนจิตใจดีที่เสแสร้งก่อนหน้านี้อีกต่อไป
“อีกอย่าง…อย่าคิดว่าข้าจะอ่านความคิดของเจ้าไม่ได้ เจ้ากำลังรอให้นังโง่จางซือถงนั่นตามคนมาช่วยใช่หรือไม่ ข้าขอบอกเจ้าไว้เลย ต่อให้ฉินอวี้โม่และสหายจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ข้าก็มีวิธีที่จะขุดหลุมฝังพวกนางไว้ที่นี่ตลอดไป !”
จางซือฉีมิใช่คนโง่เขลาและนางคาดเดาความคิดของเมิ่งเยี่ยได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่นางยังปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ก็เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่เช่นกัน เพราะถึงอย่างไรหากเขาตายไปก่อน นางจะใช้ใครเป็นเหยื่อเพื่อหลอกล่อให้ฉินอวี้โม่เข้ามาติดกับดักกัน ?
จางซือฉีรู้สึกริษยาฉินอวี้โม่เป็นที่สุด ไม่เพียงแต่สตรีผู้นั้นจะเหนือกว่านางในทุกด้านเท่านั้น ทว่ายังได้รับการยอมรับจากเมิ่งเยี่ยอย่างออกนอกหน้าและเป็นคนเปิดเผยธาตุแท้ของนางจนส่งผลให้นางและจางซือถงแตกคอกัน เพราะเหตุนั้น จางซือฉีจึงอยากจะหลอกล่อฉินอวี้โม่มาที่นี่เพื่อกำจัดสตรีผู้นั้นให้สิ้นซาก
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้ามิใช่คู่มือของอวี้โม่หรอก และจะไม่มีวันเป็นได้ !”
เมิ่งเยี่ยหัวเราะอย่างสาแก่ใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แม้ได้ทำความรู้จักกันเพียงสั้น ๆ เขาก็เชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่อย่างเต็มเปี่ยม ต่อให้บุรุษสวมเสื้อคลุมสีดำผู้นั้นจะทรงพลังอย่างมาก เมิ่งเยี่ยก็เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะรับมือกับเขาได้อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น สามีของฉินอวี้โม่ผู้มีนามว่าหานโม่ฉือก็มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาเลยเช่นกัน สำหรับผู้ที่สามารถสยบเนตรปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น บุรุษชุดดำก็มิใช่ศัตรูที่น่าหวาดหวั่นเลย
“ดูเหมือนเจ้าจะเชื่อมั่นในตัวนางมากสินะ ทว่านี่ก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว ข้าไม่คิดว่านางจะเข้ามาช่วยเจ้าหรอก”
ความไว้วางใจและความเชื่อมั่นที่เมิ่งเยี่ยมีต่อฉินอวี้โม่ทำให้จางซือฉีรู้สึกริษยายิ่งกว่าเดิม นางจึงกล่าวออกไปเพื่อยั่วโมโหอีกฝ่าย
“ตราบใดที่จางซือถงพบตัวนาง อวี้โม่จะมาที่นี่อย่างแน่นอน”
เมิ่งเยี่ยกล่าวด้วยความมั่นใจ เขาเชื่อมั่นในนิสัยใจคอของฉินอวี้โม่อย่างมาก แม้มิใช่สหายเก่าแก่ยาวนานและเพิ่งรู้จักกันในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ ทว่าทั้งสองก็กลายเป็นสหายคนสนิทต่อกันแล้ว หากทราบว่าตัวเขาตกอยู่ในอันตราย เมิ่งเยี่ยมั่นใจว่าฉินอวี้โม่จะหาทางเข้ามาช่วยตนอย่างแน่นอน นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาชื่นชมฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก
ไม่ไกลออกไป ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองอย่างชัดเจน
“ไม่คิดเลยว่าจะมีบุรุษที่แอบปลื้มพี่อวี้โม่อยู่ที่นี่ด้วย”
หลานเผิงหัวเราะเบา ๆ และรับรู้ได้ถึงความประทับใจที่เมิ่งเยี่ยมีต่อฉินอวี้โม่ อย่างไรก็ตาม สำหรับสตรีที่โดดเด่นเหนือธรรมชาติอย่างฉินอวี้โม่ผู้นี้ เป็นธรรมดาที่จะมีบุรุษมากมายชื่นชมและรู้สึกถูกชะตากับนางด้วย
“อวี้โม่คู่ควรแก่ความเชื่อมั่นไว้วางใจอย่างแท้จริง”
เซิ่งเซียวกล่าวเสริมและรู้สึกว่าการที่เมิ่งเยี่ยเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่มากเช่นนั้นเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลแล้ว
“บุรุษชุดดำผู้นั้นอยู่ที่ใดกัน ?”
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจวาจาของทั้งสองคน ทว่ามองสำรวจไปรอบ ๆ และอดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
แม้ทุกคนจะมองเห็นเมิ่งเยี่ยและจางซือฉีได้อย่างชัดเจน ทว่าบุรุษสวมเสื้อคลุมสีดำกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ท่ามกลางหมอกหนารอบตัว การเคลื่อนไหวของพวกนางจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก หากไม่มั่นใจว่าบุรุษผู้นั้นอยู่ใดและมีความแข็งแกร่งในระดับใด ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ไม่อาจทำสิ่งใดบุ่มบ่ามออกไปได้
“ข้าก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในบริเวณนี้”
พลังวิญญาณของหานโม่ฉือก็แผ่ออกไปสำรวจสถานการณ์โดยรอบทั้งหมดทว่าไม่รับรู้ถึงกลิ่นอายของบุรุษชุดดำแม้แต่น้อย ในบริเวณนี้เหมือนจะมีเพียงเมิ่งเยี่ยและจางซือฉีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ทุกคนมั่นใจได้ว่าบุรุษผู้นั้นจะต้องซ่อนตัวอยู่ในที่ใดสักแห่งเพื่อรอให้ฉินอวี้โม่และสหายปรากฏตัวอย่างแน่นอน
“ดูนั่นสิ จางซือฉีคิดจะทำอะไรกัน ?!”
สายตาของจางซือถงเลื่อนมองไปที่มือของจางซือฉีและความกังวลฉายชัดในแววตาทันที เวลานี้กริชเล่มคมปรากฏในมือของจางซือฉีและจ่อไปตรงหน้าเมิ่งเยี่ย
“เมิ่งเยี่ย หากข้ากรีดใบหน้าที่หล่อเหลาของเจ้าและทำลายความเป็นชาย รวมถึงรากฐานพลังของเจ้า เมื่อกลับไปที่เมืองเทียนยง คิดว่าสตรีเหล่านั้นจะคลั่งไคล้เจ้าเหมือนเดิมรึไม่ ?”
จางซือฉีกล่าวอย่างเย็นชาและข่มขู่อีกฝ่ายอย่างชัดเจน วาจาของนางในตอนนี้ฟังดูโหดเหี้ยมอย่างที่สุด
“ข้าไม่สนใจว่าพวกนางจะปฏิบัติต่อข้าเหมือนเดิมรึไม่ ข้ารู้เพียงว่า…เมื่อข้าและจางซือถงกลับไปที่เมืองเทียนยงได้ ธาตุแท้ของเจ้าจะถูกเปิดเผยต่อทุกคน อยากเห็นนักว่าเจ้าจะทำอย่างไรเมื่อถึงตอนนั้น”
แม้เมิ่งเยี่ยกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทว่าความตื่นตระหนกก็ฉายวาบในแววตาของเขาเล็กน้อยก่อนหายไปอย่างรวดเร็วโดยที่จางซือฉีไม่ทันสังเกตเห็น
“แม้แต่ตอนนี้เจ้าก็ยังกล้าข่มขู่ข้าอีกรึ !”
เมื่อได้ยินวาจาของเมิ่งเยี่ย สีหน้าของจางซือฉีก็เยือกเย็นลงทันที
นางเหวี่ยงมือออกไปข้างหน้าและกริชเล่มคมก็ทิ้งรอยแผลไว้บนใบหน้าของเมิ่งเยี่ยทันที
เลือดสดไหลจากบาดแผลในขณะที่เมิ่งเยี่ยกัดฟันอย่างแน่นเพื่อมิให้เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเล็ดลอดออกมา เขายังคงพยายามสงบสติอารมณ์และแสดงแววตาเย็นชาเช่นเดิม
“อยากเห็นนักว่าเจ้าจะทนได้อีกสักกี่น้ำ !”
เมื่อเห็นว่าเมิ่งเยี่ยยังคงนิ่งเฉยเช่นนี้ จางซือฉีก็ยิ่งฉุนเฉียวมากขึ้นและเหวี่ยงกริชในมืออีกครั้งเพื่อพยายามเฉือนเข้าที่อวัยวะความเป็นชายของเมิ่งเยี่ย
“หยุดนะ !”
ในที่สุดจางซือถงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปและตะโกนกร้าวพร้อมพุ่งตรงเข้าจู่โจมจางซือฉี