ระเบิดพลังมายาที่ระเบิดภายในร่างของฉงฉีทั้งสามตัวนั้นส่งเสียงดังสนั่นขึ้นมาและทำให้พวกมันตกอยู่ในสภาพที่น่าสิ้นหวังไม่น้อย
แม้ความสามารถในการป้องกันของมันจะแข็งแกร่งมาก ทว่าอวัยวะภายในร่างกายของมันก็ไม่ต่างจากอสูรธรรมดาทั่วไป พลังของระเบิดพลังมายาก็มิใช่สิ่งที่จะประเมินความสามารถต่ำเกินไปได้ เมื่อระเบิดเกือบสิบลูกถูกจุดชนวนขึ้นในร่างของฉงฉี ความรุนแรงของมันจึงเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าจินตนาการ
หลังจากเกลือกกลิ้งบนพื้นหลายตลบ ความแข็งแกร่งของฉงฉีก็ลดน้อยลงไปอย่างมาก แม้แต่ร่างอวตารทั้งสองก็ไม่สามารถต้านทานแรงระเบิดเหล่านี้ได้และสหายหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
ภัยคุกคามได้รับการคลี่คลายแล้วและในที่สุดทุกคนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“เป็นอย่างไร ? รสชาติดีหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่เดินตรงเข้าไปใกล้ฉงฉีและเอ่ยถามพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“บัดซบ !”
ฉงฉีสบถด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นอย่างที่สุด ทว่าลมหายใจของมันก็อ่อนแอลงมาก เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของมันในตอนนี้ร่อแร่เต็มที
ทว่าในฐานะอสูรร้ายบรรพกาล ถึงแม้พลังของระเบิดพลังมายาจะน่าอัศจรรย์อย่างมาก แต่มันก็ไม่มากพอที่จะปลิดชีวิตของมันได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้อวัยวะภายในของฉงฉีก็ได้รับความเสียหายมากเกินไป มันไม่หลงเหลือความสามารถในการต่อสู้อีกแล้วและเป็นได้เพียงปลาบนเขียงเท่านั้น
“ฮ่า ๆ ๆ ฉงฉี ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าเจ้ามีสมองที่ไม่ดี ทว่าเจ้ากลับไม่ยอมรับมัน”
กิเลนอัคคีหัวเราะเสียงดังและถือโอกาสนี้โจมตีฉงฉีอีกครั้ง
“เหอะ คิดว่าเอาชนะข้าได้แล้วรึ ?!”
ฉงฉีแค่นเสียงเย็นชาและย่อส่วนร่างกายกลับคืนขนาดดั้งเดิม จากนั้นมันก็พยายามลุกขึ้นยืนและกล่าวพร้อมสีหน้าเยาะเย้ย
จากนั้นลำตัวของมันก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้งด้วยจุดประสงค์ที่ชัดเจน
“ท่าไม่ดีแล้ว มันคิดจะระเบิดตัวเอง !”
สีหน้าของกิเลนอัคคีเปลี่ยนไปทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าฉงฉีกำลังจะระเบิดตัวเอง
“กิเลนอัคคี สำหรับพวกเราอสูรร้ายบรรพกาล ต่อให้ระเบิดตัวเอง ทว่าตราบใดที่จิตวิญญาณยังคงอยู่ เราก็จะฟื้นคืนชีพใหม่ได้อย่างง่ายดาย ทว่าคนพวกนี้เป็นมนุษย์ธรรมดา เมื่อใดที่ถูกครอบงำโดยพลังระเบิดของข้า การฟื้นคืนชีพมิใช่เรื่องง่ายแน่ !”
น้ำเสียงของฉงฉีบ่งบอกถึงความแน่วแน่และความหยิ่งทะนงของมัน
แม้การระเบิดตัวเองจะส่งผลกระทบต่อตัวมันมากพอสมควร และหลังจากที่มันระเบิดตัวเองแล้ว มันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายร้อยปีในการจำศีลเพื่อฟื้นฟูพลังให้กลับคืนมา ทว่าตอนนี้มันก็ไม่สนใจเรื่องเหล่านั้นเท่าไหร่นัก
ฉงฉีทราบดีว่าต่อให้มันไม่ระเบิดตัวเองเสีย ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ไม่มีทางปล่อยมันไปอย่างแน่นอน การใช้วิธีนี้เพื่อทำลายอีกฝ่ายไปพร้อมกันจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“ฉงฉีเป็นอสูรร้ายที่มีพลังกลืนกินที่น่าสะพรึงกลัวตั้งแต่กำเนิด เมื่อมนุษย์ธรรมดาตายไป มันจะสามารถกลืนกินจิตวิญญาณของมนุษย์เหล่านั้นได้และทำให้พวกเขาสูญเสียโอกาสในการฟื้นคืนชีพ”
กิเลนอัคคีอธิบายกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลเล็กน้อย
โดยปกติแล้วสำหรับจอมยุทธ์ที่ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตพสุธาเซียนได้ ตราบใดที่จิตวิญญาณยังคงอยู่ คนเหล่านั้นก็จะสามารถฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง คนอย่างฉินอวี้โม่และสหายเหล่านี้ เว้นแต่ว่าจิตวิญญาณจะถูกทำลายไปอย่างสิ้นซาก ต่อให้ต้องตายไป พวกนางก็จะสามารถหลบหนีไปด้วยจิตวิญญาณของตนเองและหาทางฟื้นคืนชีพใหม่ได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงหากถูกสังหารโดยอสูรร้ายบรรพกาลตัวนี้
อสูรร้ายบรรพกาลมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งและสามารถกลืนกินจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไปได้อย่างง่ายดาย หากฉงฉีระเบิดตัวเองและทุกคนตายไป จิตวิญญาณของฉินอวี้โม่และคนเหล่านี้จะต้องถูกกลืนกินโดยฉงฉีและไม่มีโอกาสฟื้นคืนชีพได้อีก นี่คือสาเหตุที่จางซือฉีผู้เป็นหนึ่งในเหยื่อของฉงฉีต้องตายไปอย่างสมบูรณ์ ฉงฉีไม่เพียงแต่กลืนกินร่างกายของนางเท่านั้น ทว่ายังรวมถึงจิตวิญญาณของนางด้วยเช่นกัน
“จิตวิญญาณของคนเหล่านั้นก็ถูกฉงฉีกลืนกินไปแล้ว สภาพของพวกเขาจึงเป็นเช่นนั้น…”
กิเลนอัคคีก็ชี้ไปที่กองซากศพในหลุมขนาดใหญ่ไม่ไกลออกไปและถอนหายใจยาว
“ฮ่า ๆ ๆ ท้ายที่สุดข้าก็ยังเป็นผู้ชนะ พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องกลายเป็นอาหารของข้า !”
ฉงฉีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขณะที่ลำตัวของมันยังคงพองโตอย่างต่อเนื่อง
“เราจะทำอย่างไรกันดี ?!”
เฝิงเยี่ยเริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับพลังระเบิดตัวเองของฉงฉีนั้น พวกเขาไม่มีทางต้านทานได้อย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่นและพยายามเชื่อมต่อเข้ากับคฤหาสน์เฟิงหัว ทว่านางก็ยังต้องพบว่ามีพลังบางอย่างปิดกั้นการเชื่อมต่อไว้และยังคงเข้าไปไม่ได้เช่นเดิม
หากทุกคนได้เข้าไปคฤหาสน์เฟิงหัว เชื่อว่าพลังการระเบิดตัวเองของฉงฉีในครานี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อพวกนางอย่างแน่นอน
“ข้าจะพามันไปเอง !”
ร่างของหานโม่ฉือพุ่งออกไปปรากฏตัวถัดจากฉงฉีอย่างรวดเร็วและคว้าแขนของมันไว้เพื่อจะนำตัวมันออกไป
“ปล่อยให้ข้าไปเอง”
เซิ่งเซียวตรงเข้าไปปรากฏตัวอีกฟากหนึ่งและจับแขนอีกข้างของฉงฉีเช่นกัน
ด้วยความเร็วของคนทั้งสอง หากฉงฉีถูกนำตัวออกจากที่นี่ได้ทันเวลา ฉินอวี้โม่และทุกคนก็จะรอดพ้นจากวิกฤติในครั้งนี้ได้
ในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ การแยกเปิดห้วงมิติเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ เพราะเหตุนั้นหานโม่ฉือจึงไม่สามารถแหวกเปิดห้วงมิติและโยนฉงฉีเข้าไป หากต้องการรักษาความปลอดภัยให้กับทุกคน พวกเขาก็จำต้องเลือกเสียสละใครสักคนไปเท่านั้น
“ไม่ ข้าจะไปเอง!”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคง
การระเบิดตัวเองของฉงฉีอาจทำอะไรนางไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรในร่างกายของนางก็ยังมีพลังลึกลับบางอย่างซ่อนอยู่ เมื่อเผชิญกับวิกฤต มันจะแสดงตัวออกมาและช่วยชีวิตนางไว้อย่างทันท่วงที การระเบิดตัวเองของฉงฉีก็ถือเป็นหนึ่งในวิกฤตเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ยังไม่สามารถมั่นใจได้เต็มร้อย นางทำได้เพียงแค่ลองเสี่ยงดูเท่านั้น
“เหอะ ในเมื่อข้าอยากจะระเบิดตัวเองแล้ว ใครหน้าไหนก็ขวางไว้ไม่ได้ !”
ฉงฉีทราบถึงความคิดของฉินอวี้โม่และไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใด ความเร็วในการพองตัวของมันเพิ่มมากขึ้นจนจุดตันเถียนใกล้ที่จะระเบิดเต็มที
“เราไปไหนไม่ได้ ที่นี่ยังมีคุกทมิฬที่กักขังเราอยู่ เราทำได้เพียงหาทางยับยั้งมันเท่านั้น !”
กิเลนอัคคีก็ย้ำเตือนคนทั้งสามว่าการพาตัวฉงฉีออกไปจากที่นี่มิใช่เรื่องง่าย หากสามารถทำได้ มันก็คงจะนำตัวฉงฉีออกไปจากที่นี่นานแล้วและไม่มีทางปล่อยให้ฉินอวี้โม่ต้องคิดลงมือด้วยซ้ำ
“ฮ่า ๆ ๆ จงกลายเป็นผีเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดไป !”
ฉงฉีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังจินตนาการถึงภาพของฉินอวี้โม่และทุกคนที่ตายไปตรงหน้า
“ฉงฉี เจ้าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ คิดจริงรึว่าจะไม่มีใครหยุดการระเบิดตัวเองของเจ้าได้ !”
ทันใดนั้น น้ำเสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของฉงฉีจนมันสั่นสะท้านเล็กน้อย
จากนั้นกลุ่มพลังสีดำประหลาดก็ปรากฏบนร่างของหานโม่ฉือและห่อหุ้มรอบตัวฉงฉีไว้ทันที
ภายในเวลาเพียงไม่นาน ลำตัวที่ขยายใหญ่ขึ้นของฉงฉีก็หดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็วและกลับคืนขนาดเดิมภายในชั่วพริบตา พลังระเบิดที่อัดแน่นในร่างของมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน นอกจากนี้ จุดตันเถียนที่ใกล้ระเบิดเต็มทีก็สงบนิ่งลงราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“อะไรกัน ?!”
สีหน้าของฉงฉีเปลี่ยนไปทันที เมื่อครู่มันสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างของมันกำลังจะระเบิดแล้ว อย่างไรก็ตาม พลังสีดำประหลาดกลับแทรกซึมเข้ามาในร่างของมันและปิดผนึกพลังที่แปรปรวนภายในร่างกายไปอย่างสิ้นเชิงจนมันไม่เหลือพลังที่จะระเบิดตัวเองได้อีกต่อไป
“โม่ฉือ ?”
ฉินอวี้โม่มองไปที่บุรุษคนรักและสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างของเขา
เวลานี้ร่างของหานโม่ฉือปกคลุมไปด้วยพลังสีดำประหลาดและกลิ่นอายจากร่างของเขาก็กลายเป็นเยือกเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประหลาดเกินเข้าใจ นัยน์ตาสีม่วงไร้อารมณ์ของเขาก็บรรจบลงไปที่ฉงฉีเพียงแวบเดียว ทว่ามันกลับอัดแน่นไปด้วยแรงกดดันอย่างไม่รู้จบที่ทำให้ฉงฉีแทบคุกเข่าลงบนพื้นอย่างไม่อาจควบคุม หานโม่ฉือในตอนนี้ราวกับเปลี่ยนกลายเป็นคนละคนและกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาก็ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ทว่านางก็รู้สึกราวกับเคยเห็นมันมาจากที่ใดสักแห่ง
“นายท่าน…”
เสียงของเนตรปีศาจดังขึ้นในโสตประสาทของหานโม่ฉือ มันเองก็คาดไม่ถึงว่าหานโม่ฉือจะตัดสินใจใช้ ‘พลังนั้น’ ในตอนนี้ ต่อให้พลังดังกล่าวถูกใช้ในสมรภูมิรบเดนตาย มันก็มีโอกาสที่ ‘คนพวกนั้น’ จะค้นพบได้