ทุกคนรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของหานโม่ฉือ รวมถึงกลิ่นอายผิดแปลกที่แผ่มาจากตัวเขา อย่างไรก็ตาม ทุกคนไม่ได้กล่าวสิ่งใดและเพียงยืนรออย่างนิ่งเงียบเท่านั้น
“ไม่…นี่มันมิใช่กลิ่นอายของมนุษย์ มัน…มันเหมือนกับ…”
สีหน้าของฉงฉีในตอนนี้ตื่นตระหนกอย่างที่สุดและไม่มีความยโสโอหังอีกต่อไป มันจับจ้องตรงไปที่หานโม่ฉือและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก
เวลานี้ร่างของหานโม่ฉือแผ่กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่างออกมา แม้มันจะเป็นถึงหนึ่งในอสูรร้ายบรรพกาล แต่ฉงฉีก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นและจำต้องยอมจำนนแต่โดยดี
“เจ้าฉงฉีที่ต่ำต้อย คิดที่จะทำร้ายคนรักของข้างั้นรึ ? รนหาที่ตายเสียแล้ว !”
หานโม่ฉือมองฉงฉีด้วยแววตาเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาลจนแม้แต่ฉินอวี้โม่ก็ไม่สามารถมองทะลุระดับพลังของเขาได้เลย
“นี่เจ้าเป็นสมาชิกของเผ่าปีศาจอย่างนั้นหรือ ?”
ฉงฉีพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทรงตัวไว้มิให้เข่าทรุดลงบนพื้น มันเงยหน้าขึ้นสบตาหานโม่ฉือและควบคุมความหวาดหวั่นในใจก่อนเอ่ยถามออกไป
“ไม่สิ กลิ่นอายของมนุษย์ในตัวเจ้าก็ชัดเจนยิ่งนัก เจ้าไม่ควรจะเป็นสมาชิกของเผ่าปีศาจได้… เหตุใดเจ้าจึงมีกลิ่นอายของทั้งสองเผ่าพันธุ์อยู่ในร่างกาย ? และทั้งสองสายเลือดก็ยังเข้มข้นถึงขั้นนี้ ?”
ฉงฉีเป็นอสูรร้ายบรรพกาลและทราบข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายจากร่างของหานโม่ฉือในตอนนี้ทำให้มันสับสนอย่างที่สุด
กลิ่นอายของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายของทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็ไม่สามารถคงอยู่ร่วมกันได้ อีกทั้งสมาชิกจากโลกปีศาจก็ไม่มีทางที่จะใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของหานโม่ฉือกลับมีกลิ่นอายของมนุษย์ที่เข้มข้นและกลิ่นอายของปีศาจที่บริสุทธิ์ พลังงานปีศาจของเขาทำให้ฉงฉีซึ่งเป็นอสูรร้ายบรรพกาลรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะต่อต้านขัดขืนด้วยซ้ำ
ในความทรงจำของมันนับจากอดีตที่ผ่านมา มีสมาชิกเผ่าปีศาจเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ครอบครองพลังบริสุทธิ์ของมนุษย์และปีศาจในเวลาเดียว ทว่าบุคคลผู้นั้นก็ดับสลายไปตั้งแต่เมื่อนับพันปีก่อนแล้ว
“เจ้าคือร่างจุติใหม่ของบุคคลผู้นั้นรึ ?”
ฉงฉีมองหานโม่ฉือด้วยแววตาสงสัย ยิ่งมันมองบุรุษตรงหน้ามากเพียงใด ความรู้สึกในหัวใจของมันก็ชัดเจนมากขึ้นเพียงนั้น มีเพียงร่างจุติใหม่ของ ‘บุคคลผู้นั้น’ เท่านั้นที่จะครอบครองพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถของ ‘เขา’ ถึงแม้จะกล่าวกันว่าจิตวิญญาณของเขาแหลกสลายไปแล้ว ทว่าความจริงก็อาจจะมิใช่เช่นนั้นเสมอไป
แม้ไม่เคยประจันหน้าด้วยตัวเอง แต่ฉงฉีก็ตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของบุคคลผู้นั้นได้เป็นอย่างดี ต่อให้มีพลังของทั้งสามภพที่รวมกันก็ยากที่จะทำลายจิตและวิญญาณของบุคคลผู้นั้นได้อย่างสิ้นซาก บางทีทุกอย่างอาจเป็นเพียงภาพลวงตามาตั้งแต่ต้นและบุคคลผู้นั้นเพียงใช้วิธีการบางอย่างเพื่อตบตาคนอื่น ๆ ทว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเขาไปเกิดใหม่ในที่ใดสักแห่ง
“เหอะ ดูเหมือนว่าครั้งนี้เจ้าจะไม่โง่อีกแล้วสินะ”
หานโม่ฉือยังไม่กล่าวสิ่งใด ทว่ากิเลนอัคคีอดกล่าวยืนยันข้อสงสัยของฉงฉีไม่ได้
“เรื่องนี้มิใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญคือการที่เจ้าพยายามทำร้ายภรรยาของข้า !”
หานโม่ฉือกล่าวขึ้นเบา ๆ พร้อมโบกมือปล่อยพลังโจมตีจนฉงฉีล้มลงไปกองกับพื้น
“ในเมื่ออยากจะระเบิดตัวเองนัก ข้าก็จะสนองให้ !”
กลุ่มพลังสีดำทะมึนจากนิ้วมือของเขาเจาะเข้าไปในจิตของฉงฉีและทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจากมัน
ร่างของฉงฉีที่อยู่บนพื้นหมดลมหายใจไปทันที ทว่าในมือของหานโม่ฉือกลับมีร่างโปร่งแสงของฉงฉีที่มีขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏอยู่และมันคือจิตวิญญาณของฉงฉีนั่นเอง
“โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด ข้าไม่ทราบจริง ๆ ว่าเป็นท่าน…ท่านผู้ยิ่งใหญ่ !”
จิตวิญญาณของฉงฉีในมือของหานโม่ฉือส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นตระหนก ในตอนนี้มันทั้งหวาดกลัวและรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป หากทราบมาก่อนว่าหานโม่ฉือคือร่างเกิดใหม่ของ ‘บุคคลผู้นั้น’ มันก็คงไม่กล้าทำให้เขาขุ่นเคืองใจอย่างแน่นอน ต่อหน้า ‘บุคคลผู้นั้น’ อสูรร้ายบรรพกาลอย่างก็มันไม่ต่างไปจากลูกแมวที่ไร้ค่าแม้แต่น้อย
“ฉงฉี เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ ? นายท่านไม่ได้โกรธที่เจ้าพยายามทำร้ายเขา ทว่าเป็นเพราะเจ้าคิดจะทำร้ายนายหญิงต่างหากล่ะ !”
กิเลนอัคคีกลอกตาอย่างเอือมระอาให้กับระดับสติปัญญาที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของฉงฉี
สำหรับพลังของหานโม่ฉือที่ปรากฏขึ้นมาในเวลานี้ มันก็ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน มันก็ทราบเรื่องนี้มานานแล้ว…
ในอนาคตข้างหน้า หากพวกเขาต้องการจะกลับไปทวงคืนทุกอย่างที่เคยเป็นของพวกตน พลังนั้นก็จะต้องถูกเปิดเผยออกไปและมันก็มิใช่เรื่องใหญ่นัก ต่อให้คนเหล่านั้นจะทราบถึงการปรากฏตัวของผู้เป็นนาย กิเลนอัคคีก็ทราบว่าพวกเขาคงไม่กล้าบุกมาที่ดินแดนมหาเทพในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่หานโม่ฉือไม่ใช้พลังนั่นอีก คนเหล่านั้นก็ไม่สามารถตามหาเขาได้พบและผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะไม่ร้ายแรงจนเกินไป
“สตรีคนนั้น หรือว่านางคือ…”
สายตาของฉงฉีเลื่อนไปบรรจบลงที่ฉินอวี้โม่และความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจทันที
กล่าวกันว่าในอดีตก่อนที่บุคคลผู้นั้นจะหายตัวไปและไม่ปรากฏตัวขึ้นมาอีก เขาเจ็บช้ำตรอมใจจากความรัก และจากที่ได้เห็นภาพตรงหน้านี้ ฉงฉีก็คิดว่าข่าวลือเหล่านั้นอาจจะเป็นความจริง
เกรงว่าบุคคลผู้นั้นคงจะตามผู้เป็นที่รักของเขาไปเพื่อเข้าสู่วัฏจักรสังสารวัฏและกลับชาติมาเกิดใหม่เช่นกัน
ทว่าผู้เป็นที่รักของเขาก็คือสตรีผู้นั้นมิใช่รึ ?!
สีหน้าของฉงฉีกลายเป็นซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูกทันที ไม่คิดเลยว่ามันจะยั่วยุและหาเรื่องผู้ที่น่าสะพรึงกลัวถึงสองคนในคราวเดียว
ต่อให้หานโม่ฉือจะไม่แสดงพลังนี้ออกมา การระเบิดตัวเองของมันก็ไม่สามารถทำอันตรายต่อสตรีผู้นั้นได้อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรนางก็เป็นตัวตนในตำนานผู้นั้น !
“ท่านจอมยุทธ์ ข้าผิดไปแล้ว…ข้าไม่ควรทำสิ่งที่เลวร้ายลงไปและริอาจคิดทำร้ายท่าน ได้โปรดอภัยให้ข้าเถิด ข้ายอมเป็นทาสรับใช้ท่านตลอดไป”
เมื่อได้ยินคำเตือนจากกิเลนอัคคี ฉงฉีก็ทราบว่าควรทำอย่างไรต่อไป จิตวิญญาณของมันลอยไปตรงหน้าฉินอวี้โม่และกล่าวอย่างจริงใจทันที
“เจ้าฆ่าคนไปแล้วมากมายและเจ้าก็ยังเป็นอสูรร้ายบรรพกาลอีกด้วย ข้าจะวางใจให้เจ้ามาอยู่ข้างกายได้อย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปข้างหน้าและเขย่ามือหานโม่ฉือเบา ๆ เพื่อยืนยันกับเขาว่าไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาจะเป็นใคร นางก็ไม่สนใจ
นางรักหานโม่ฉือเพียงผู้เดียวและไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจทำให้ความรู้สึกนั้นสั่นคลอนได้
หานโม่ฉือเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ได้เป็นอย่างดีและบีบมือบางเล็กน้อย เวลานี้ประกายสีม่วงในแววตาของเขาก็หายไปแล้ว พลังสีดำทะมึนที่แผ่จากร่างกายก็หายไปเช่นกันและกลับคืนสภาพปกติดังเดิม
ฉงฉีถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที พลังเมื่อครู่นี้ของหานโม่ฉือทำให้มันรู้สึกกดดันอย่างที่สุด อย่างไรก็ตาม ต่อให้จิตสังหารจากหานโม่ฉือจะจางหายไปแล้ว ฉงฉีก็ไม่กล้าคิดขัดขืนอีกแล้ว สำหรับผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้…มันไม่กล้าทำสิ่งใดให้ขุ่นเคืองใจอีกต่อไป
“นายหญิง ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำเช่นนั้น พวกเราฉงฉีจะพัฒนาความแข็งแกร่งได้ก็ต่อเมื่อกลืนกินสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ก่อนหน้านี้ข้าก็ควบคุมพวกมนุษย์ที่บุกเข้ามาในอาณาเขตของข้าไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านั้นก็เข้ามาที่นี่เพราะความโลภ หากมิใช่เพราะหลงเชื่อในความงามภายนอกของจางซือฉี คนพวกนั้นจะเหยียบเข้ามาในอาณาเขตของข้าได้อย่างไร…”
ฉงฉีรีบอธิบายตัวเองอย่างรวดเร็วและเป็นการหาโอกาสเอาตัวรอดไปในเวลาเดียวกัน มันยังไม่อยากตายและยินยอมก้มหัวศิโรราบ การที่มีโอกาสได้ติดตามผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองนี้ มันจะสามารถตื่นลืมตาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มอันสดใสในทุกวันด้วยซ้ำ แล้วมันจะไม่เต็มใจยอมจำนนได้อย่างไร ?
“แต่เมื่อครู่เจ้าก็ต้องการจะกินข้า”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยความลังเล ในตอนนี้นางและคนอื่น ๆ ยังถือว่าไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควรและฉงฉีก็จะเป็นผู้ช่วยที่ดีไม่น้อย หากมีมันอยู่ด้วยก็ถือเป็นหนึ่งในไพ่ตายใบสำคัญของนาง
“ไม่เลยนายหญิง ข้ามิกล้า ข้าผิดไปแล้ว…ข้าเก็บสะสมสมบัติล้ำค่ามากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมาและยินดีมอบพวกมันทั้งหมดให้กับนายหญิง ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะหลั่งเลือดสาบานและจำนนต่อนายหญิงอย่างสมบูรณ์ ข้าจะไม่กลืนกินสิ่งมีชีวิตใดอย่างไม่เลือกหน้าอีก ต่อให้นางหญิงสั่งห้ามมิให้ข้ากินเนื้อและกินได้เพียงพืชหญ้า ข้าก็ยินดี”
ฉงฉีกล่าวยืนยันอย่างรวดเร็วและแสดงท่าทีเคารพนอบน้อมต่อฉินอวี้โม่ มันถึงขั้นหันไปโค้งคำนับกับกิเลนอัคคีเนื่องจากต้องการให้มันช่วยโน้มน้าวใจฉินอวี้โม่