ฉงฉีมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปและถึงขั้นให้คำมั่นสัญญาในเรื่องที่แทบจะสวนทางกับสัญชาตญาณของมัน
มันเคยกลืนกินสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน รวมถึงบรรดาจอมยุทธ์จากดินแดนมหาเทพ อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นอาจไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องเสียทีเดียว พวกเขาล้วนติดกับที่ฉงฉีวางไว้เพียงเพราะความโลภของตนเองและต้องกลายเป็นอาหารมื้อโอชะของมันในที่สุด
ในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นหานโม่ฉือหรือฉินอวี้โม่ ตราบใดที่ไม่ได้รับคำสั่งจากทั้งสอง ฉงฉีก็จะไม่ทำสิ่งใดตามอำเภอใจและจะไม่กลืนกินสิ่งมีชีวิตใดอีก ตอนนี้มันยอมแม้กระทั่งหลั่งเลือดสาบานต่อฉินอวี้โม่
“นายท่าน นายหญิง ฉงฉีมีความแข็งแกร่งที่ไม่เลวเลยและพรสวรรค์ของมันก็ไม่ด้อยไปกว่าข้า เพราะฉะนั้นมันอาจจะเป็นตัวช่วยที่ดีในอนาคตได้”
ในที่สุดกิเลนอัคคีก็เอ่ยปากอีกครั้ง ทว่ามิใช่การกล่าวเข้าข้างเพื่อช่วยฉงฉี หากแต่เป็นการกล่าวความจริงออกไป
มันทราบถึงความแข็งแกร่งของฉงฉีอย่างชัดเจนที่สุด หากอยู่ในสภาวะที่มีพลังสูงสุด มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะเอาชนะฉงฉีตัวนี้ได้
แม้ความแข็งแกร่งของฉงฉีในตอนนี้จะไม่มากเท่ากับระดับสูงสุดในอดีต แต่มันก็กำลังพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่ฝึกฝนบ่มเพาะวิชาต่อไปเป็นระยะเวลาหนึ่งและฟื้นฟูพลังในสภาวะสูงสุดกลับคืนมาได้ มันจะเป็นตัวช่วยสำคัญให้กับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้อย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รับมันไว้เถอะ โม่เอ๋อร์”
หานโม่ฉือตัดสินใจและกล่าวขึ้นเบา ๆ
เมื่อได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ ฉงฉีก็รู้สึกโล่งใจอย่างที่สุดเพราะนั่นหมายความว่ามันจะได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ต่อไป
“เจ้าควรเก็บมันไว้ ข้ามีอสูรมายามากพอแล้ว”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและบอกให้หานโม่ฉือเก็บฉงฉีไว้เอง แม้ยังไม่ทราบปริศนาที่ซ่อนไว้ในร่างกายของหานโม่ฉืออย่างแน่ชัด ทว่านางก็พอจะคาดการณ์ได้จากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา ศัตรูที่เขาต้องเผชิญหน้าในอนาคตอาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของดินแดนมหาเทพหลายเท่าตัว
ปัจจุบันนี้หานโม่ฉือมีอสูรพันธสัญญาเพียงสองตัวเท่านั้น ซึ่งก็คือกิเลนอัคคีและมังกรเหมันต์ แม้ทั้งสองจะมีพลังที่มากพอสมควร แต่พวกมันก็ยังคงขาดแคลนปัจจัยบางส่วนไป ซึ่งฉงฉีสามารถเติมเต็มปัจจัยเหล่านั้นได้และเป็นตัวช่วยที่ทรงพลังให้กับหานโม่ฉือในอนาคต
“นายท่าน ฉงฉีเหมาะที่จะอยู่กับท่านมากกว่า ถึงอย่างไรซิวก็ไม่ชอบหน้าเจ้านี่เท่าใดนัก ยิ่งไปกว่านั้น ตัวตนของนายหญิงและพลังในร่างของนางก็ไม่เหมาะสำหรับมัน”
กิเลนอัคคีกล่าวย้ำเตือนหานโม่ฉืออีกครั้ง แม้มันจะไม่ชอบหน้าฉงฉีอย่างที่สุด แต่มันก็ต้องการช่วยผู้เป็นนายและไม่สามารถผลักไสไล่ส่งตัวช่วยที่ดีออกไปได้
ฉงฉีเป็นหนึ่งในอสูรร้ายบรรพกาลซึ่งชำนาญในด้านพลังความมืดและพลังงานปีศาจ เรียกได้ว่าพลังงานปีศาจในร่างของหานโม่ฉือเหมาะสมกับฉงฉีเป็นที่สุดและสามารถช่วยกระตุ้นให้มันฟื้นฟูพลังได้เร็วมากขึ้น หากได้ติดตามหานโม่ฉือ กิเลนอัคคีคาดว่าความเร็วในการพัฒนาของฉงฉีก็อาจจะเร็วกว่าตัวมันด้วยซ้ำ
“ถ้าเช่นนั้นก็จงติดตามข้า !”
หานโม่ฉือไม่ปฏิเสธอีกต่อไปขณะโบกมือเบา ๆ และจิตวิญญาณของฉงฉีก็กลับคืนเข้าไปในร่างที่แน่นิ่งของมัน
ร่างของฉงฉีที่หมดลมหายใจในตอนแรกก็เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้นในขณะที่มันลืมตาขึ้นมา
หลังจากที่ลุกขึ้นยืนได้ มันก็จำแลงร่างมนุษย์และเข้ามาโค้งคำนับตรงหน้าหานโม่ฉือด้วยท่าทางที่เคารพนอบน้อม “คารวะนายท่าน”
ตอนนี้ฉงฉียอมจำนนต่อหานโม่ฉืออย่างสมบูรณ์แล้ว การที่ได้ติดตาม ‘บุคคลผู้นั้น’ ถือว่าเป็นความฝันอันสูงสุดของสิ่งมีชีวิตมากมาย และแม้แต่อสูรร้ายบรรพกาลก็มิใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน ในเวลานี้ ฉงฉีก็สามารถจินตนาการได้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะฟื้นฟูกลับถึงระดับสูงสุดในเวลาอีกไม่นานและอาจจะเหนือยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ โดยที่บรรลุไปถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าในอดีตเสียอีก
เฝิงเยี่ยและคนอื่น ๆ ก็ไม่คาดคิดว่าฉงฉีจะกลายเป็นอสูรพันธสัญญาของหานโม่ฉือภายในชั่วพริบตาเช่นนี้
บทสนทนาทั้งหมดที่เกิดขึ้นดูจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับเฝิงเยี่ยและคนอื่น ๆ ทว่าพวกเขาก็ไม่เอ่ยถามให้มากความ พวกเขามิใช่คนโง่เขลาและทราบดีว่าควรถามหรือไม่ถามสิ่งใดขณะสบตาอย่างเข้าใจตรงกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า พวกเขาจะร่วมมือกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือและพร้อมฝ่าฟันอุปสรรคเคียงข้างกันไปตลอด ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังกว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ล่าถอยอย่างแน่นอน !
หลังจากที่คณะของฉินอวี้โม่หยุดพักเป็นการชั่วคราว ฉงฉีก็ทำลายม่านป้องกันโดยรอบและมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางที่หลานเผิงออกไปก่อนหน้านี้พร้อมกับคณะของฉินอวี้โม่
“ฉงฉี ก่อนหน้านี้จางซือฉีพบเจ้าได้อย่างไรกัน ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“นายหญิง จอมยุทธ์คนแรกที่ข้าจับได้คือจางซือฉี ข้าไม่ชอบกลิ่นอายที่แผ่มาจากตัวนาง ข้าคิดที่จะกลืนกินนางตั้งแต่ต้น ทว่านางบอกว่าสามารถล่อลวงคนมากมายให้เข้ามาหาข้าได้และกล่าวถึงเรื่องของท่านเช่นกัน ข้าจึงคิดว่าหากได้กลืนกินท่าน พลังของข้าจะพัฒนาขึ้นมากอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นข้าจึงให้สัญญาว่าจะไว้ชีวิตนางเป็นการชั่วคราว”
ในตอนนี้ฉงฉีก็มีความสุขมาก โชคดียิ่งนักที่มันฉลาดขึ้นมาทันเวลาและตัดสินใจยอมศิโรราบต่อหานโม่ฉือในทันที ไม่เช่นนั้น เกรงว่ามันจะถูกกำจัดไปอย่างสิ้นซาก
เมื่อนึกย้อนกลับไป ฉงฉีก็นึกคับแค้นใจต่อจางซือฉีไม่น้อย หากทราบว่าคนที่นางกล่าวถึงคือฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ มันจะกล้ายั่วยุและพยายามกลืนกินทั้งสองได้อย่างไร…
“ไม่คิดเลยว่าจางซือฉีจะฆ่าผู้คนมากมายเพียงเพื่อความต้องการที่เห็นแก่ตัวของตนเอง ความตายของนาง มิใช่สิ่งที่น่าเห็นใจเลยสักนิด !”
เฉินหยางชั่วอดกล่าวขึ้นไม่ได้ เพียงนึกถึงชะตากรรมของจอมยุทธ์มากมายที่ต้องตายเพราะฉงฉี เขาก็รู้สึกว่าสตรีผู้นั้นโหดเหี้ยมอำมหิตเกินไป
“จางซือฉีมีจิตใจที่ชั่วร้ายอย่างแท้จริง ทว่าคนเหล่านั้นก็ถูกความโลภเข้าครอบงำเช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่หลงกลหรือถูกนางหลอกล่อไปได้ง่าย ๆ”
แม้โหรวรั่วจะคิดว่าจางซือฉีมิใช่คนดีและทำสิ่งที่ชั่วร้ายเกินให้อภัย แต่เขาก็ไม่ได้เห็นใจบรรดาจอมยุทธ์ที่ต้องตายมากนัก
ฉงฉีเป็นผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยตาตัวเอง จางซือฉีบอกกับคนเหล่านั้นว่ามีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ในหุบเขาที่เป็นที่อยู่ของฉงฉี จอมยุทธ์เหล่านั้นจึงเกิดโลภมากและตามนางเข้ามา โดยหารู้ไม่ว่ากำลังเดินเข้าหากับดักที่นางวางไว้ หากจะโทษว่าเป็นความผิดของจางซือฉี คนเหล่านั้นก็ต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน
“ถูกต้อง พวกเขาก็ผิดเช่นกัน”
เฉินหยางชั่วพยักศีรษะเห็นด้วยกับวาจาของโหรวรั่ว
หลังจากเวลาผ่านไปสองก้านธูป ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เดินออกมาพบกับหลานเผิงซึ่งซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล
“พี่อวี้โม่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่ ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นมา หลานเผิงและเหมียวเจินเจินก็ตรงเข้าไปทักทายด้วยสีหน้ากังวลทันที
ก่อนหน้านี้พวกเขารับรู้ได้เพียงความผันผวนของพลังบางอย่างและกังวลว่าฉินอวี้โม่อาจตกอยู่ในอันตราย ทั้งสองวางแผนว่าหากฉินอวี้โม่และทุกคนไม่ออกมาภายในเวลาสองก้านธูป พวกเขาก็จะเข้าไปสำรวจดูสถานการณ์ด้วยตัวเอง
“ข้าไม่เป็นไร”
ฉินอวี้โม่หยิกแก้มเหมียวเจินเจินเบา ๆ พร้อมกล่าวตอบเพื่อมิให้อีกฝ่ายกังวลจนเกินไป
“อวี้โม่ แล้วนางล่ะ ?”
ในเวลานี้ อาการบาดเจ็บของเมิ่งเยี่ยก็ฟื้นฟูขึ้นจนเกือบสมบูรณ์แล้วและพลังมายาที่จางซือถงสูญเสียไปก็ฟื้นฟูกลับมาแล้วเช่นกัน ทั้งสองเดินตรงเข้ามาทว่าเมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ปลอดภัยดี จางซือถงก็อดเอ่ยถามไม่ได้
นางไม่เอ่ยเรียกชื่อของจางซือฉีด้วยซ้ำเพราะรู้สึกผิดหวังในตัวน้องสามของตนเป็นที่สุด การที่นางเอ่ยถามเช่นนี้เพียงเพราะยังเห็นแก่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น
“ขอโทษด้วย ข้ากินนางไปแล้ว”
ฉงฉีเกาศีรษะแกรก ๆ และกล่าวอย่างขอโทษขอโพย
ก่อนหน้านี้มันยังไม่ยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ การที่มันจะกลืนกินจางซือฉีเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดา
“เจ้าคือฉงฉีรึ ?”
จางซือถงตกตะลึงเล็กน้อยขณะมองไปที่ฉงฉีในร่างมนุษย์และกล่าวด้วยความสงสัย
“ตอนนี้ฉงฉีเป็นอสูรพันธสัญญาของโม่ฉือแล้ว น้องสามของเจ้าพยายามที่จะฆ่าข้า แต่ก็คาดไม่ถึงเลยว่านางจะถูกฉงฉีกินไปเสียก่อนและกลายเป็นอาหารของมัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวอธิบายด้วยความรู้สึกที่อึดอัดใจเล็กน้อย ถึงอย่างไรจางซือฉีก็เป็นน้องสาวของจางซือถง เมื่อได้ทราบว่าผู้เป็นน้องสาวถูกกลืนกินทั้งร่างและจิตวิญญาณจนไม่เหลือแม้แต่เศษซากเช่นนั้น ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจางซือถงจะตอบสนองอย่างไร