ฉินอวี้โม่และคณะกางเต็นท์พักแรมอยู่ใกล้กับทะเลสาบและไม่เดินทางไปที่ไหนไกลตลอดหลายวันต่อมา
และด้วยการที่มีตัวตนของฉงฉีอยู่ อสูรมายาจึงไม่กล้าย่างกรายเข้ามาก่อกวน ยิ่งไปกว่านั้นก็โชคดีที่ว่าจอมยุทธ์หลายคนผ่านมาพบกับพวกนางโดยบังเอิญและเลือกที่จะฝึกวิชาต่อในบริเวณนั้นเพื่อรอให้ถึงเวลาสิ้นสุดการคัดเลือกไปพร้อมกัน
สี่วันผ่านไปอย่างรวดเร็วและในที่สุดค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ฉินอวี้โม่และทุกคนมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนก้าวเข้าไปในค่ายกลทีละคน
หลังจากแสงสว่างวาบ ทุกคนก็ปรากฏตัวอีกครั้งในลานจัตุรัสของเมืองเทียนยง
‘เมืองเทียนยง’ คือหนึ่งในห้าเมืองหลักระดับหนึ่งของดินแดนมหาเทพซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้และเป็นสถานีสุดท้ายสำหรับการคัดเลือกศิษย์ของสามสำนักและเก้านิกาย
เวลานี้มีคนมากมายรวมตัวกันในลานจัตุรัสกว้างของเมือง และแน่นอนว่าท่ามกลางคนเหล่านั้นต้องมีตัวแทนจากสามสำนักและเก้านิกายเช่นกัน
จ้าวตั๋ว จ้าวเหลียงและบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งที่ดูมีอายุมากกว่าทั้งสองเล็กน้อยกำลังนั่งหารือร่วมกัน เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และอีกหลายคนก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนในทันที
“ท่านพี่ ตัวแทนจากเมืองเทียนหยวนออกมากันแล้ว”
รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของจ้าวตั๋วขณะเดินตรงเข้าไปทักทายฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่มีใครขาดหายไปและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บมากนัก ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ”
เขาก้าวออกไปข้างหน้าและสำรวจดูสถานการณ์ของคณะคนรุ่นเยาว์ตรงหน้าก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
บรรดาผู้มีอิทธิพลจำนวนหนึ่งจากเมืองเทียนหยวนก็มาที่เมืองเทียนยงเช่นกันและกล่าวทักทายคณะของฉินอวี้โม่อย่างกระตือรือร้น
“นี่คือพี่ใหญ่ของข้าและเป็นเจ้าเมืองของเมืองเทียนยงแห่งนี้—จ้าวไห่”
จ้าวตั๋วกล่าวแนะนำตัวเจ้าเมืองของเมืองเทียนยงกับฉินอวี้โม่ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของเขาและจ้าวเหลียง
รูปลักษณ์ภายนอกของจ้าวไห่ดูคล้ายกับจ้าวตั๋วและจ้าวเหลียงไม่น้อย เพียงแต่ดูสงบนิ่งสุขุมมากกว่าทั้งสองและมีความแข็งแกร่งในระดับที่ฉินอวี้โม่ไม่สามารถรับรู้ได้
จ้าวไห่พยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่เบา ๆ พร้อมคลี่ยิ้มกว้าง “คนรุ่นใหม่สมัยนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ มีฝีมือที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย”
เนื่องจากได้ยินจ้าวตั๋วและคนอื่น ๆ กล่าวถึงคณะของฉินอวี้โม่มาก่อนแล้วและพอจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับพวกนางพอสมควร กอปรกับการที่พวกนางเอาตัวรอดออกจากสมรภูมิรบเดนตายได้อย่างปลอดภัย สิ่งเหล่านี้ล้วนพิสูจน์ให้เห็นถึงพรสวรรค์และความสามารถที่ไม่ธรรมดาของพวกนาง
ในฐานะเจ้าเมืองของเมืองเทียนยง จ้าวไห่ย่อมทราบข้อมูลรายละเอียดของหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่าน้องชายทั้งสองและคนอื่น ๆ มากนัก รวมถึงภยันตรายที่ต้องเผชิญในการคัดเลือกครานี้ แม้ยังไม่ทราบว่าจะมีจอมยุทธ์รอดชีวิตออกมาทั้งหมดกี่คน เขาก็คาดการณ์ไว้ว่าจะต้องมีจอมยุทธ์มากกว่าครึ่งหนึ่งที่ต้องตายในสมรภูมิรบเดนตายอย่างแน่นอน หลังจากนี้ ระดับความแข็งแกร่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ของดินแดนมหาเทพจะลดน้อยลงอย่างมหาศาล
“รอดูกันเถอะว่าจะมีจอมยุทธ์เหลือรอดออกมากี่คน”
หลังจากจัดหาที่นั่งให้กับทุกคนแล้ว จ้าวไห่ก็กลับไปยังตำแหน่งเดิมของตน
ฉินอวี้โม่และคณะก็นั่งลงในที่ว่างและพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ ขณะกวาดสายตามองไปทั่วลานจัตุรัสเนื่องจากต้องการค้นหาว่าฉินเทียนอยู่ที่นี่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม หลังจากมองสำรวจไปทั่วบริเวณก็ยังไม่มีวี่แววของฉินเทียนแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องกังวลหรอก ท่านพ่อตาจะต้องมาที่นี่แน่นอน”
หานโม่ฉือทราบดีว่าฉินอวี้โม่กำลังคิดสิ่งใด เขาจึงแตะมือนางเบา ๆ เพื่อมิให้นางเป็นกังวล
“อื้อ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและถอนสายตากลับมาก่อนมองไปทางจางซือถงและเมิ่งเยี่ยซึ่งอยู่ด้านข้าง
ทั้งสองมาจากเมืองเทียนยงตั้งแต่ต้น และขุมกำลังของเมืองเทียนยงรวมตัวอยู่ในทางทิศตะวันออกของลานจัตุรัสซึ่งเป็นศูนย์รวมของสมาชิกจากตระกูลใหญ่หลายตระกูล
“ถงเอ๋อร์ ฉีเอ๋อร์ล่ะ ?”
ผู้นำตระกูลจางคือ ‘จางฟางซิ่น’ ผู้ซึ่งดูเหมือนบุรุษธรรมดาทั่วไปทว่ามีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย เขามักจะรักใคร่เอ็นดูจางซือฉีมาเสมอและแน่นอนว่าเขาประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของบุตรสาวคนโปรด
“ท่านพ่อ น้องสามตกไปอยู่ในรังของอสูรร้ายโดยบังเอิญและดวงวิญญาณของนางดับสลายไปแล้วเจ้าค่ะ”
จางซือถงกล่าวถึงความจริงที่เกิดขึ้นและไม่มีความคิดที่จะปิดบัง
“อะไรนะ ?! ฉีเอ๋อร์ตายไปแล้วรึ ?!”
สีหน้าของจางฟางซิ่นเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงและไม่คาดคิดเลยว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ฝีมือโดดเด่นที่สุดของตระกูลจางจะต้องจบชีวิตอยู่ในสมรภูมิเดนตาย
ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าจางซือถงที่มีฝีมือด้อยกว่าน้องสามจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ทว่าเขาไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าบุตรสาวคนโปรดของตนจะต้องตายอยู่ข้างในนั้น
“เจ้าค่ะ ข้าเห็นกับตาและพยายามเข้าไปช่วยทว่ามันก็สายเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น พลังของอสูรร้ายตัวนั้นก็น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ข้ามิใช่คู่มือของมันเลยเจ้าค่ะ”
จางซือถงพยักศีรษะยืนยันโดยไม่กล่าวถึงฉินอวี้โม่หรือคนอื่น ๆ
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร ?!”
จางฟางซิ่นไม่เชื่อวาจาของจางซือถงและจับจ้องนางอย่างดุดัน “เจ้าแข็งแกร่งไม่เท่าน้องสามของเจ้าด้วยซ้ำ หากเผชิญหน้ากับอสูรร้ายที่ทรงพลัง คนที่จะต้องเพลี่ยงพล้ำก็ควรเป็นเจ้า หรือว่าเจ้าทำอะไรน้องสามของเจ้ากัน…นางจึงตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจนถึงแก่ชีวิตเช่นนั้น ?!”
น้ำเสียงของเขาแสดงให้เห็นถึงความลำเอียงไปทางจางซือฉีอย่างชัดเจนและดูจะไม่สนใจความปลอดภัยของบุตรสาวคนรองแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ ข้ารู้สึกว่าท่านลำเอียงมาตลอดและไม่เคยคิดโวยวายสิ่งใด ทว่าตอนนี้การที่ท่านกล่าวว่าข้าเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องสามต้องตาย…มันไม่มากเกินไปหรือเจ้าคะ ? ตอนอยู่ในสมรภูมิรบเดนตาย น้องสามก็พยายามที่จะฆ่าข้าหลายครั้งหลายคราด้วยซ้ำ หากมิใช่เพราะเมิ่งเยี่ยช่วยเอาไว้ ข้าก็คงตายไปนานแล้ว สาเหตุที่น้องสามต้องลงเอยด้วยชะตากรรมเลวร้ายก็เป็นเพราะตัวนางเอง มิใช่ความผิดของใครทั้งสิ้น !”
จางซือถงคาดการณ์ไว้แล้วว่าบิดาของตนอาจมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ทว่ายังอดคับแค้นใจไม่ได้ ในเมื่อพวกนางเป็นบุตรสาวของเขาเช่นเดียวกัน แล้วเหตุใดจางฟางซิ่นจึงลำเอียงอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้ ?
“หุบปากไปเสีย ! เจ้ากล้าพูดถึงน้องสาวของเจ้าเช่นนั้นได้อย่างไร ?!”
จางฟางซิ่นบันดาลโทสะและเหวี่ยงฝ่ามือฟาดเข้าที่ใบหน้าของจางซือถงอย่างแรง
เพี๊ยะ !
เสียงฝ่ามือฟาดใบหน้าดังสนั่นไปทั่วและใบหน้าของจางซือถงก็มีรอยฝ่ามือสีแดงปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน
“ท่านพ่อ ท่านตบข้า…”
จางซือถงเงยหน้าสบตาผู้เป็นบิดาด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ผู้นำจาง ท่านจะลำเอียงเกินไปแล้ว ข้าได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสมรภูมิรบเดนตายและเป็นสักขีพยานได้ จางซือฉีไม่เพียงแต่พยายามทำร้ายจางซือถงเท่านั้น ทว่านางยังพยายามฆ่าข้าด้วย หากมิใช่เพราะมีจอมยุทธ์ยอดฝีมือเข้ามาช่วยพวกเราไว้ เกรงว่าข้าก็คงต้องตายไปแล้ว ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ ที่ท่านไม่คิดแม้แต่จะปลอบใจจางซือถงและยังตบใบหน้าของนางเช่นนี้ !”
เมิ่งเยี่ยอดกล่าวออกไปไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าจางฟางซิ่นจะลำเอียงอย่างชัดเจนโดยไม่สนใจสายตาของผู้ใด
“เหอะ ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร การที่น้องสาวของเจ้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าจะกุแต่งเรื่องขึ้นมาใส่ร้ายนางอย่างไรก็ได้ !”
จางฟางซิ่นไม่คิดว่าตนทำอะไรผิดแม้แต่น้อยและยังคงแค่นเสียงเย็นชาต่อไป เขาไม่สนใจเลยว่าจางซือถงจะรู้สึกอย่างไร
“ท่านพ่อ ข้าเข้าใจดี…”
จางซือถงหัวเราะอย่างขมขื่นและส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา “นับจากวันนี้ไป ท่านจะไม่มีข้าเป็นลูกสาวอีกต่อไป ก่อนหน้านี้ข้าไม่อยากเปิดโปงสิ่งที่น้องสามทำ แต่มันไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกแล้ว”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น นางก็เริ่มเล่าถึงเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสมรภูมิรบเดนตายให้ทุกคนได้ทราบ ทว่านางก็ไม่ลืมที่จะปิดบังข้อมูลสำคัญบางส่วนไว้ นางไม่มีทางเปิดเผยเรื่องความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ รวมถึงเรื่องเนตรปีศาจและฉงฉีอย่างแน่นอน
“แม่เจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าจางซือฉีจะมีจิตใจที่ชั่วร้ายถึงเพียงนั้น ข้ามองนางผิดไปจริง ๆ !”
เมื่อได้ทราบธาตุแท้ที่ชั่วร้ายของคุณหนูสามแห่งตระกูลจางซึ่งตรงกันข้ามกับที่เคยพบเจออย่างสิ้นเชิง บุรุษหลายคนที่เคยหลงใหลเคลิ้มไปกับละครตบตาของนางต่างก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังไปตาม ๆ กัน
“ข้าเคยคิดมาตลอดว่านางเป็นสตรีที่จิตใจดีและอ่อนหวาน ไม่คิดเลยว่านางจะโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ แม้แต่พี่สาวของตนเองก็ยังไม่เว้น ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก !”
บุรุษอีกคนกล่าวเสริมและไม่สงสัยในวาจาของจางซือถงแม้แต่น้อย
พวกเขาทราบดีว่าจางซือฉีและจางซือถงมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมาตลอด หากไม่เกิดเรื่องดังที่กล่าวไว้จริง จางซือถงก็คงไม่กล่าววาจาให้ร้ายจางซือฉีอย่างแน่นอน
“นังเด็กสามหาว หุบปากไปเสีย !”
ในตอนนี้เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นรอบตัวและสีหน้าของจางฟางซิ่นก็บิดเบี้ยวจนแทบดูไม่ได้ อึดใจต่อมา เขาก็ตะโกนกร้าวและง้างฝ่ามือเตรียมฟาดเข้าใส่จางซือถงอีกครั้ง !