จางซือถงเองก็ไม่คิดเลยว่าจางฟางซิ่นจะคิดทำร้ายตนอีกครั้ง นางได้เพียงตะลึงงันเมื่อเห็นฝ่ามือของผู้เป็นบิดาที่ง้างอยู่ตรงหน้า
“จางฟางซิ่น ไม่คิดรึว่าการกระทำของเจ้าจะน่ารังเกียจเกินไปแล้ว !”
การโจมตีของจางฟางซิ่นไม่ทันกระทบเข้าที่ใบหน้าของจางซือถง เนื่องจากถูกขัดขวางไว้โดยบิดาของเมิ่งเยี่ย—เมิ่งเสวียนหล่าง
เมิ่งเสวียนหล่างจ้องหน้าจางฟางซิ่นและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงความรังเกียจอย่างชัดเจน
“มีจิตใจที่ลำเอียงจนไม่เห็นหัวลูกสาวอีกคนของตัวเองด้วยซ้ำ คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำตระกูลจางเลยสักนิด !”
เขากวาดสายตามองสมาชิกตระกูลจางคนอื่น ๆ และกล่าวเสริมอย่างไม่ไว้หน้าจางฟางซิ่น
สีหน้าของจางฟางซิ่นเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่ายังไม่คิดว่าตนกระทำสิ่งใดผิดไป
“เมิ่งเสวียนหล่าง นี่เป็นเรื่องของตระกูลจาง เกี่ยวอะไรกับเจ้าไม่ทราบ ? ทางที่ดีอย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า !”
เขาจ้องหน้าเมิ่งเสวียนหล่างและกล่าวด้วยความไม่พอใจ ก่อนหน้านี้ เพราะจางซือฉีสนใจและหมายปองในตัวเมิ่งเยี่ย เขาจึงไว้หน้าเมิ่งเสวียนหล่างมาตลอดและถึงขั้นเรียกว่าพี่เมิ่งเป็นประจำจนดูราวกับมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันดี ทว่าตอนนี้จางซือฉีตายไปแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไปและถึงเวลาเปิดเผยความคิดที่แท้จริงเสียที
“โอ้ แต่จางซือถงเพิ่งจะกล่าวว่านับจากนี้ไป ท่านจะไม่มีนางเป็นบุตรสาวอีก นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์พ่อลูกได้ถูกตัดขาดไปแล้ว นางเป็นสหายของพวกเรา หากคิดจะทำร้ายหรือกล่าวตำหนิว่าร้ายนาง พวกเราไม่ยอมอยู่เฉยแน่”
ฉินอวี้โม่จับมือหานโม่ฉือและเดินเข้าไปด้านข้างจางซือถงพร้อมสบตาจางฟางซิ่นด้วยแววตามุ่งมั่นแสดงทัศนคติอย่างชัดเจน
“เหอะ พวกคนต่ำต้อยจากเมืองเล็ก ๆ ริอาจคิดเป็นศัตรูกับข้ารึ ? จากที่จางซือถงกล่าวมา การตายของฉีเอ๋อร์ก็มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพวกเจ้าสินะ ? ข้ายังไม่ทันได้เอาเรื่องพวกเจ้า ทว่าพวกเจ้ากลับกล้าเสนอหน้ามาเองเช่นนี้ !”
จางฟางซิ่นแค่นเสียงเย็นชาก่อนกล่าวอย่างยโสโอหังโดยที่ไม่เห็นฉินอวี้โม่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“ก็จริง ข้าเป็นสาเหตุที่ทำให้จางซือฉีต้องตาย”
ฉินอวี้โม่เลิกคิ้วเล็กน้อยและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“นางพยายามฆ่าข้าและคร่าชีวิตของจอมยุทธ์ผู้บริสุทธิ์ไปแล้วหลายร้อยคน การที่นางต้องตายเช่นนั้นมิใช่สิ่งที่น่าเห็นใจเลยสักนิด หากต้องการจะสะสางเรื่องนี้กับข้าก็เชิญได้เลย ต่อให้ข้าจะมาจากเมืองเล็ก ๆ ข้าก็ไม่กลัวผู้ใหญ่ที่จิตใจหยาบช้าอย่างเจ้า !”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบอย่างเย็นชาซึ่งถือว่าเป็นการระบายความโกรธแทนจางซือถงเช่นกัน
จางฟางซิ่นทำให้ฉินอวี้โม่นึกถึงฉินเทียนตัวปลอมในดินแดนหวนหลิงก่อนหน้านี้ เขามีจิตใจที่ลำเอียงต่อบุตรสาวทั้งสองคนและน่ารังเกียจอย่างที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น จางฟางซิ่นผู้นี้ดูจะเลวร้ายยิ่งกว่าฉินเทียนตัวปลอมคนนั้นเสียอีก ฉินอวี้โม่ถึงขั้นนึกสงสัยว่าจางซือถงใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของจางฟางซิ่นหรือไม่ ?
“รนหาที่ตายเสียแล้ว !”
จางฟางซิ่นไม่คาดคิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะแสดงจุดยืนที่ตรงไปตรงมาและหนักแน่นถึงเพียงนี้ สีหน้าของเขากลายเป็นเย็นชาและแรงกดดันทรงพลังแผ่ตรงไปกดข่มฉินอวี้โม่
“โอ้ ผู้นำจางช่างมีแรงกดดันที่ทรงพลังจริง ๆ !”
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่คุกรุ่นพอสมควร จ้าวไห่และน้องชายอีกสองคนของเขาก็เดินเข้ามาอย่างอดไม่ได้
“คนเหล่านี้ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายแล้วและกำลังจะได้เป็นศิษย์ของสามสำนักและเก้านิกาย เจ้าแน่ใจรึว่าอยากจะมีเรื่องบาดหมางกับพวกนางในตอนนี้ ?”
เมิ่งเสวียนหล่างกล่าวพร้อมยิ้มเยาะเพราะมั่นใจว่าจางฟางซิ่นไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น
“แล้วอย่างไรเล่า ? ในเมื่อทำให้ลูกสาวของข้าตาย คนผู้นั้นก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ! อีกทั้งการที่ยังไม่ได้เข้าร่วมสามสำนักและเก้านิกายอย่างเป็นทางการ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนของสามสำนักและเก้านิกายจะปกป้องนาง !”
จางฟางซิ่นลังเลเล็กน้อย ทว่าเมื่อนึกถึงบุตรสาวผู้เป็นที่รักที่ต้องตายไป สีหน้าท่าทางของเขาก็เดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง
“จางฟางซิ่น อวี้โม่เป็นคนที่ข้าต้องการปกป้อง แน่ใจรึว่าอยากจะแตกหักกับข้า ?”
จ้าวไห่กล่าวอย่างเยือกเย็นและแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ในฐานะเจ้าเมืองของเมืองเทียนยง ตระกูลใหญ่ต่าง ๆ ในเมืองก็ยังต้องไว้หน้าเขาพอสมควร
“เหอะ !”
จางฟางซิ่นแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ทว่าไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เขาไม่กล้ามีเรื่องบาดหมางกับจ้าวไห่อย่างซึ่ง ๆ หน้า ทว่าหากเป็นการกระทำลับหลัง มันก็ไม่แน่เสมอไป…
ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายอย่างเป็นทางการ เขาก็ยังพอมีโอกาสชำระความแค้นได้ !
“จางซือถง เจ้ามาเข้าร่วมตระกูลเมิ่งของเราเถอะ”
เมิ่งเยี่ยกล่าวเชิญชวนจางซือถงอย่างเปิดเผย
เขาทราบดีว่าจางซือถงในตอนนี้คงผิดหวังในตระกูลจางอย่างที่สุดและไม่มีทางทนอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม หากออกจากตระกูลจางในตอนนี้ นางก็จะไม่มีที่ไป หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกัน เมิ่งเยี่ยรู้สึกถูกชะตากับจางซือถงมากขึ้นพอสมควรและการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเมิ่งก็จะช่วยคุ้มครองจางซือถงได้เช่นกัน
“ตกลง ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีที่ใดให้ไปอีก”
จางซือถงไม่ลังเลและตอบตกลงในทันที
ทุกคนก็ไม่สนใจจางฟางซิ่นอีกต่อไปและเดินกลับไปสนทนาด้วยกัน
“อวี้โม่ เจ้าไม่ควรแสดงตัวออกมาเช่นนั้นเลย”
จางซือถงจับมือฉินอวี้โม่และกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยนัก
การที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือประกาศตัวปกป้องนางอย่างเปิดเผยมิใช่ผลดีกับทั้งสองอย่างแน่นอน
“ข้ารู้จักท่านพ่อของข้าดี เขาไม่เพียงแต่เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ทว่ายังมีเล่ห์เหลี่ยมซ่อนไว้มากมาย การที่เจ้าทั้งสองแสดงตัวออกไปหยามหน้าเขาเช่นนั้น เกรงว่าเขาจะหาทางลอบเล่นงานพวกเจ้าเป็นแน่ ที่นี่คือเมืองเทียนยงซึ่งเป็นถิ่นฐานของเขา ต่อให้พวกเจ้าจะแข็งแกร่งอย่างมาก พวกเจ้าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาได้แน่”
กล่าวได้ว่าการตบหน้าของจางฟางซิ่นเมื่อครู่ได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรสาวไปอย่างสิ้นเชิง และนางไม่จำเป็นต้องปกป้องบิดาอีกต่อไป
การที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือแสดงจุดยืนเพื่อปกป้องนางอย่างเปิดเผยทำให้จางซือถงซาบซึ้งใจอย่างมาก ในสมรภูมิรบเดนตายก่อนหน้านี้ แม้นางเคยคิดมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่ ทว่าหลังจากนั้น ฉินอวี้โม่ไม่เพียงแต่จะช่วยนางหลายครั้งหลายคราเท่านั้น ทว่ายังปกป้องนางจากบิดาอย่างไม่เกรงกลัว
“ไม่เป็นไรหรอก หากเขาต้องการจะเล่นงานพวกเรา เราก็จะรอรับมืออย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่แตะมือจางซือถงเบา ๆ เพื่อยืนยันมิให้อีกฝ่ายเป็นกังวล
สำหรับจางฟางซิ่นเพียงคนเดียว พวกนางไม่เก็บมาคิดให้เสียเวลาด้วยซ้ำ ต่อให้ไม่มีการคุ้มครองจากจ้าวไห่ หากจางฟางซิ่นกล้าทำอะไรจริง พวกนางจะไม่ปล่อยให้เขาทำสำเร็จอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าทั้งสองก็ระวังตัวด้วยล่ะ คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสองถึงสามวันเพื่อให้ทราบได้อย่างชัดเจนว่ามีจอมยุทธ์เหลือรอดกี่คน หลังจากนั้นสามสำนักและเก้านิกายจึงจะตัดสินใจกันได้”
เพียงนึกถึงความสามารถอันทรงพลังของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ จางซือถงก็ไม่กังวลอีกต่อไป ไม่ว่าบิดาของนางจะมีเล่ห์เหลี่ยมไพ่ตายใดซ่อนไว้ นางก็เชื่อว่าเขาไม่สามารถเอาชนะฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้อสูรร้ายบรรพกาลฉงฉีก็ติดตามอยู่ข้างกายหานโม่ฉือ บิดาของนางคงจะมิใช่คู่มือของมัน…
ขณะเวลาผ่านไป จอมยุทธ์ก็ก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายเพิ่มมากขึ้นและปรากฏตัวขึ้นมาในลานจัตุรัสแห่งนี้
ทว่าเมื่อท้องฟ้าค่อย ๆ มืดหม่นลง บนลานจัตุรัสก็ยังมีจอมยุทธ์ปรากฏอยู่เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น
“เหตุใดจึงมีคนเพียงน้อยนิดเช่นนี้ ?”
หลายคนเริ่มสับสนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยหลักการแล้วการคัดเลือกในรอบสุดท้ายนี้ควรจะมีคนเข้าร่วมนับพันนับหมื่นคน อย่างไรก็ตาม ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ปรากฏขึ้นเป็นเวลานานกว่าครึ่งวันแล้วทว่ายังมีจอมยุทธ์ออกมาเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น หรือว่าคนที่เหลือยังไม่มีความคิดที่จะกลับออกมา ?
“คงจะมีคนเหลือรอดเพียงไม่มากหรอก”
จ้าวไห่กล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่น เขาได้ยินฉินอวี้โม่เล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ในสมรภูมิรบเดนตายแล้ว การเอาตัวรอดจนถึงวันสุดท้ายจะต้องอาศัยทั้งความแข็งแกร่งและโชคลาภควบคู่กันไป ยิ่งไปกว่านั้น ข้างในนั้นมีวิกฤตอันตรายอยู่มาก ตราบใดที่เห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นมา จอมยุทธ์ที่ยังมีชีวิตรอดก็จะต้องเลือกเดินทางกลับออกมาโดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอน
ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปเกือบหนึ่งวันแล้ว เกรงว่าการคัดเลือกรอบสุดท้ายนี้อาจมีจอมยุทธ์กลับออกมาเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น
“รอประเดี๋ยว คนของสามสำนักและเก้านิกายแจ้งข้อมูลมาแล้วว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายจะคงอยู่ได้นานสามวัน และการตัดสินใจจะเกิดขึ้นเมื่อครบกำหนดเวลานั้น”
เมิ่งเสวียนหล่างขมวดคิ้วมุ่นเช่นกัน หากการคัดเลือกครานี้มีจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ของดินแดนรอดชีวิตออกมาเพียงไม่กี่สิบคน การคัดเลือกครานี้ก็นับว่าโหดหินและน่าหวาดหวั่นจนเกินไป
“ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
หลังจากทุกคนได้รับสัญญาณให้แยกย้ายกันไปพักผ่อน ฉินอวี้โม่และคณะก็ติดตามจ้าวตั๋วไปยังจวนเจ้าเมืองของเมืองเทียนยง