การกระทำของหานโม่ฉือทำให้ฉินอวี้โม่แอบยิ้มอยู่ในใจ ตานี่ชักจะขี้หึงมากขึ้นในทุกวัน !
ฟู่อวิ๋นซิวผู้ซึ่งร่าเริงเป็นมิตรและเข้ากับคนได้ง่ายก็ยิ้มตอบหานโม่ฉือและกล่าวออกมา “ที่แท้ก็เป็นสหายหานนี่เอง ไม่ทราบว่าท่านสนใจเข้าร่วมสำนักเมฆาครามของเรารึไม่ ?”
เขากล่าวเชื้อเชิญออกไปอย่างเปิดเผย อัจฉริยะอย่างหานโม่ฉือคือผู้ที่สำนักเมฆาครามของเขาต้องการอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ บิดาของฟู่อวิ๋นซิวก็ได้กำชับไว้ว่าสำนักเมฆาครามมิใช่ต้องการเพียงพรสวรรค์เท่านั้น ทว่าบุคลิกเฉพาะตัวก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน แม้เพิ่งพบหน้าหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่เพียงครู่เดียว ฟู่อวิ๋นซิวก็รู้สึกถูกชะตากับทั้งสองเป็นอย่างมาก
เขาไม่แสดงความท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนหรือยโสโอหัง ทว่ามีความน่าเกรงขามที่ไม่ธรรมดาและไม่มีทีท่าว่าจะประจบประแจงฟู่อวิ๋นซิวที่เป็นบุตรชายของขุมกำลังใหญ่แม้แต่น้อย เพียงเท่านี้ก็คาดการณ์ได้แล้วว่าบุรุษผู้นี้จะต้องมีบุคลิกนิสัยที่ไม่เลวร้ายอย่างแน่นอน
“ข้าให้ภรรยาเป็นคนตัดสินใจ”
หานโม่ฉือแสดงจุดยืนของตนเองในทันทีโดยที่ไม่ตอบรับคำเชิญจากฟู่อวิ๋นซิว
“ถ้าอย่างนั้นแม่นางสนใจเข้าร่วมสำนักเมฆาครามของเรารึไม่ ?”
สายตาของฟู่อวิ๋นซิวเลื่อนไปหยุดลงที่ฉินอวี้โม่และเอ่ยถามในสิ่งเดียวกัน
“ขอบคุณสำหรับคำเชิญของท่าน แต่ข้ามีเหตุผลบางอย่างที่จะต้องเลือกเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผา”
ฉินอวี้โม่ปฏิเสธในทันทีและกล่าวขอบคุณฟู่อวิ๋นซิวพร้อมเปิดเผยความคิดของตนเองอย่างไม่ปิดบัง
“ช่างน่าเสียดายจริง ๆ แต่ก็เอาเถอะ ตราบใดที่สหายหานและแม่นางอวี้โม่อยากที่จะเข้าร่วม สำนักเมฆาครามของเราก็พร้อมที่จะต้อนรับพวกท่านเสมอ”
ฟู่อวิ๋นซิวกางมือออกเล็กน้อย ทว่าเขาก็รู้สึกผิดหวังอย่างแท้จริงและนี่ก็มิใช่เป็นการกล่าวตามมารยาทเท่านั้น
“ไม่ทราบว่าคนอื่น ๆ มีชื่อเสียงเรียงนามอย่างไรบ้างรึ ?”
จากนั้นเขาก็ทักทายอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ด้วยท่าทางกระตือรือร้น
อวิ๋นซื่อเทียนและทุกคนก็แนะนำตัวเองอย่างรวดเร็วและกล่าวว่าพวกตนจะเลือกตามฉินอวี้โม่ไปเช่นกัน
ฟู่อวิ๋นซิวก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ ออกมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่เสียดาย เขารู้สึกอิจฉาในมิตรภาพระหว่างฉินอวี้โม่และคนเหล่านี้อย่างแท้จริง ถึงอย่างไรแล้วสำนักเมฆาครามก็เป็นถึงสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในทั้งสามสำนัก การที่สามารถปฏิเสธข้อเสนอที่ดึงดูดใจเช่นนี้และยืนยันว่าจะติดตามฉินอวี้โม่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามิตรภาพระหว่างพวกนางมั่นคงและยากที่จะทำลายได้
หลังจากพูดคุยกันครู่หนึ่ง ฟู่อวิ๋นซิวก็กลับไปนั่งลงในตำแหน่งของตน
“แม่เจ้า ! คนเหล่านั้นโง่เขลาหรือว่าอย่างไรกัน ? นั่นสำนักเมฆาครามเชียวนะ นายน้อยของสำนักเมฆาครามก็ถึงขั้นเอ่ยปากชวนด้วยตัวเอง หากพวกนางตอบรับคำเชิญ พวกนางก็จะได้กลายเป็นศิษย์หลักของสำนักอย่างแน่นอน ทว่าพวกนางกลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเช่นนั้น…”
จอมยุทธ์คนหนึ่งที่ผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้ายกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็อดกล่าวด้วยความอิจฉาปนความเสียดายไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดเชิญชวนเขาด้วยซ้ำ ตราบใดที่ได้เข้าร่วมหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกาย สำหรับเขา นั่นก็ถือว่าเป็นความฝันที่กลายเป็นจริงแล้ว
“นั่นเป็นเพราะว่าพวกนางมีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนี้ได้ ไม่ว่าด้านรูปลักษณ์หรือพรสวรรค์ความสามารถ ทุกอย่างล้วนอยู่ในระดับดีที่สุด หากข้าเป็นตัวแทนจากสามสำนักและเก้านิกาย ข้าก็คงจะชวนพวกนางเข้าร่วมเช่นกัน สำหรับจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้น หากไม่คว้าโอกาสเชิญก่อนและถูกขุมกำลังอื่นแย่งชิงไป พวกนางก็จะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน”
แม้นึกอิจฉาในโอกาสที่ฉินอวี้โม่ได้รับ ทว่าวาจาของเขาก็ไม่มีความริษยาหรือความไม่พอใจใด ๆ แอบแฝง พวกเขาทุกคนทราบถึงระดับของตัวเองดี แม้ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายมาได้ด้วยกัน ทว่าพวกเขาก็ยังเทียบชั้นฉินอวี้โม่และสหายคนอื่น ๆ ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือพรสวรรค์ พวกเขาก็ล้วนแตกต่างกัน พวกเขาทำได้เพียงรอตัวแทนจากสามสำนักและเก้านิกายมาถึงกันพร้อมหน้าเท่านั้น และในตอนนั้นพวกเขาก็อาจมีโชคดวงมากพอที่จะได้รับความสนใจจากขุมกำลังใดขุมกำลังหนึ่งและได้เข้าร่วมกลายเป็นศิษย์
“จอมยุทธ์รุ่นเยาว์เหล่านี้ช่างน่าสนใจจริง ๆ”
ฮวาเยว่จากนิกายหมื่นบุปผาก็มองไปที่ฉินอวี้โม่และหัวเราะเบา ๆ
“จงใจปฏิเสธสำนักเมฆาครามเพียงเพื่อต้องการดึงดูดความสนใจของพวกเราชัด ๆ อยากเห็นนักว่าท้ายที่สุดแล้วพวกนางจะเลือกเข้าร่วมกับขุมกำลังใดกัน !”
อย่างไรก็ตาม อวิ๋นเฟิงไม่คิดเช่นนั้น เขาเชื่อว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจงใจปฏิเสธคำเชิญจากฟู่อวิ๋นซิวเพียงเพื่อเรียกร้องความสนใจและถือโอกาสเอาดีเอาเด่นเข้าตัว
“หึ เรายังไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งของพวกนางอย่างชัดเจน ข้าเองก็ยังสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของพวกนางไม่ได้ด้วยซ้ำ หากมิใช่เพราะมีสมบัติบางอย่างซ่อนอยู่ในร่างกาย นั่นก็หมายความว่าพวกนางคงจะมีพลังมายาที่พิเศษบางประเภท ยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่การเข้าร่วมสำนักเมฆาครามและได้เป็นศิษย์หลักก็จะทำให้พวกนางมีโอกาสเอาดีเอาเด่นเข้าตัวได้ เหตุใดจะต้องวางท่าให้วุ่นวายในตอนนี้ด้วยเล่า ?”
ฮวาเยว่ไม่เห็นด้วยกับวาจาของอวิ๋นเฟิงและกล่าวแสดงความชื่นชมต่อคนเหล่านั้นอย่างไม่ปิดบัง บุคคลที่โดดเด่นและมากพรสวรรค์ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความสนใจใด ๆ เพราะถึงอย่างไรแสงสว่างจากตัวพวกเขาก็ย่อมเจิดจ้าจนไม่สามารถปกปิดได้
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง นางก็วางแผนที่จะออกไปเชื้อเชิญฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนเข้าร่วมขุมกำลังเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ฮวาเยว่ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวด้วยซ้ำเมื่อคนสองกลุ่มปรากฏตัวกลางลานจัตุรัส
“ไม่คิดเลยว่าทุกคนจะมากันเร็วเช่นนี้ !”
เสียงของบุรุษวัยกลางคนดังขึ้นในหูของทุกคนและนั่นคือฮว๋าสง—ผู้อาวุโสรองของสำนักเบิกภูผา นอกเหนือจากเขาก็ยังมีผู้อาวุโสคนอื่น ๆ และศิษย์รุ่นเยาว์สามคนจากสำนักเบิกภูผา
“ดูเหมือนว่าเราจะมาสายเกินไป ขออภัยทุกคนด้วย”
อีกกลุ่มหนึ่งที่ปรากฏตัวพร้อมกับคนจากสำนักเบิกภูผาคือตัวแทนจากสำนักห้าขุนเขา หัวหน้ากลุ่มตัวแทนในครานี้คือผู้คุมกฎฝั่งขวาของสำนักห้าขุนเขาซึ่งมีนามว่า ‘เริ่นชิน’ และเดินทางมาพร้อมกับศิษย์รุ่นเยาว์หลายคนของสำนักห้าขุนเขา
“เหอะ ไม่ได้พบหน้าเจ้ามานานหลายปี เจ้าก็ยังดูเสแสร้งจอมปลอมเช่นเดิม !”
ฮว๋าสงจ้องตรงไปที่เริ่นชินก่อนกล่าววาจาถากถางอย่างตรงไปตรงมา สำนักเบิกภูผาและสำนักห้าขุนเขามักเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาเสมอและเป็นสิ่งที่ทราบโดยทั่วกัน ฮว๋าสงและเริ่นชินก็เคยประจันหน้ากันหลายคราและไม่เคยมีฝ่ายใดเอาชนะได้ อย่างไรก็ตาม เริ่นชินดูมีความคล่องแคล่วมากกว่าและเป็นฝ่ายได้เปรียบมาเสมอซึ่งทำให้ฮว๋าสงยิ่งไม่พอใจเขามากขึ้นกว่าเดิม ทุกคราที่พบหน้ากัน ทั้งสองก็มักหาทางสาดวาจาใส่กันเป็นประจำ จนคนอื่น ๆ ก็รู้สึกคุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว
“เจ้าก็ยังหยาบคายไม่เปลี่ยนเช่นกัน”
เริ่นชินตอบกลับด้วยวาจาเหน็บแนมไม่ต่างกันทว่าใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
อย่างไรก็ตาม เพียงมองแวบเดียว ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกไม่ถูกชะตากับเริ่นชินผู้นี้ขึ้นมาแล้ว รอยยิ้มของเขาดูเสแสร้งจนเกินไปและวาจาของเขาก็ดูไม่จริงใจเท่าไหร่นัก เกรงว่าเขาเป็นบุรุษที่หน้าซื่อใจคดอย่างแท้จริง
“หากท่านทั้งสองต้องการจะโต้เถียงกันก็ไปโต้เถียงกันที่อื่นเถอะ ที่นี่มีคนรออยู่มากนัก เรารีบจัดการเรื่องของการคัดเลือกให้เสร็จสิ้นจะดีกว่า”
สำนักเมฆาครามไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องความบาดหมางระหว่างทั้งสองสำนักและไม่คิดที่จะเข้าร่วมหรือเห็นด้วยกับฝ่ายใด
เพราะเหตุนั้น สำนักห้าขุนเขาและสำนักเบิกภูผาจึงยำเกรงต่อสำนักเมฆาครามยิ่งกว่าเดิมและไว้หน้าพวกเขาพอสมควร
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่านายน้อยของสำนักเมฆาครามจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง บิดาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
เห็นได้ชัดว่าฮว๋าสงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฟู่อวิ๋นซิวมาก่อนและสนิทสนมกันพอสมควร เขาหัวเราะอย่างสบาย ๆ และเดินเข้าไปตบไหล่บุรุษหนุ่มเป็นการทักทาย
“บิดาของข้าสบายดี เดิมทีเขาก็วางแผนจะมาที่นี่ด้วยตัวเองเช่นกัน ทว่าจู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงสัญญาณบางอย่างในระหว่างการฝึกฝน ตอนนี้เขาจึงเก็บตัวฝึกวิชาอยู่”
ฟู่อวิ๋นซิวเปิดเผยความจริงเพียงครึ่งหนึ่งและเห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฮว๋าสงไม่เลวร้ายอย่างแท้จริง
หากเปรียบเทียบกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเริ่นชินก็อยู่ในระดับเฉลี่ยทั่วไปเท่านั้น ทั้งสองเพียงประกบฝ่ามือเข้ากับกำปั้นโดยไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความ
“อะไรกัน ? พี่ฟู่กำลังจะทะลวงพลังงั้นรึ ?”
ฮว๋าสงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เดิมทีความแข็งแกร่งของเขาก็บรรลุในขอบเขตเดียวกับจ้าวสำนักเมฆาครามและการทะลวงพลังต่อไปก็ถือว่ายากลำบากยิ่งนัก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พลังของผู้นำทั้งสามสำนักก็ล้วนติดอยู่ในสภาวะคอขวดและอยู่ในระดับไล่เลี่ยกันโดยไม่มีผู้ใดทะลวงพลังต่อไปได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ความหมายของฟู่อวิ๋นซิวก็ถือว่าชัดเจน บิดาของเขาค้นพบสัญญาณของการพัฒนาและดูเหมือนว่ากำลังจะทะลวงพลังได้สำเร็จ
“คงจะเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก”
ฟู่อวิ๋นซิวยักไหล่และกล่าวออกไปตามความจริง
ประกายเยือกเย็นบางอย่างฉายวาบในแววตาของเริ่นชินผู้ซึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง ทว่ามันก็หายไปอย่างรวดเร็วและสีหน้าของเขาก็กลับคืนเป็นรอยยิ้มเสแสร้งเช่นเดิม
“นั่นเป็นสิ่งที่น่ายินดียิ่งนัก”
ฮว๋าสงก็ยิ้มและกล่าวด้วยความคาดหวัง
เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง คนของเก้านิกายก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป ดูเหมือนว่าท่ามกลางสามสำนักและเก้านิกายจะมีคลื่นใต้น้ำที่กำลังคุกรุ่นขึ้นมา…