ทุกคนนั่งลงตามตำแหน่งของตนก่อนจ้าวไห่ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้ายทั้งหมด
ตลอดช่วงสองวันที่ผ่านมา มีจอมยุทธ์เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่ก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายเหนือลานจัตุรัส หลังจากหารือกัน ทุกคนก็ตัดสินใจว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องรออีกต่อไป
“ใช้วิธีการเดิมดีหรือไม่ ?”
เริ่นชินชำเลืองมองฮว๋าสงและฟู่อวิ๋นซิวพลางเอ่ยถาม
“ข้าไม่มีอะไรคัดค้าน”
ฟู่อวิ๋นซิวโบกมือปัดเบา ๆ เป็นคำตอบ อันที่จริงแล้วนอกเหนือจากฉินอวี้โม่และสหายของนาง เขาก็ไม่สนใจใครอื่นและไม่คิดเชิญชวนผู้ใดเข้าร่วมสำนักของตน
“จะอะไรก็ช่าง !”
ฮว๋าสงเพียงเอ่ยสั้น ๆ อย่างเย็นชาและไม่คิดเสียเวลาโต้แย้งกับเริ่นชินที่นี่
“จอมยุทธ์ผู้ผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้ายประจำปีนี้ เชิญขึ้นมาบนเวทีได้”
จ้าวไห่กล่าวและกวาดสายตามองทุกคนขณะส่งสัญญาณให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินขึ้นบนเวที
ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ลุกขึ้นและเดินขึ้นไปบนแท่นยกสูงในลานจัตุรัสอย่างไม่ลังเล
แม้เวลานี้จะมืดค่ำแล้ว ทว่าสภาพแวดล้อมทั่วลานจัตุรัสก็ยังคงส่องสว่างไปด้วยไข่มุกราตรี นอกเหนือจากตระกูลจาง ชาวเมืองเทียนยงแทบทุกคนก็มารวมตัวกันรอบลานจัตุรัสเพื่อรอดูผลลัพธ์ของการคัดเลือกนี้
สำหรับบรรดาจอมยุทธ์ผู้ผ่านเข้ารอบ นอกเหนือจากฉินอวี้โม่ คนอื่น ๆ ก็มีท่าทีประหม่าและตื่นตระหนกกันไม่น้อย
จางซือถงและเหมียวเจินเจินเองก็กังวลอย่างมากเช่นกัน ทั้งสองประกบมือตนเองไว้แน่นขณะสายตากวาดมองบรรดาตัวแทนจากสามสำนักและเก้านิกายก่อนเลื่อนกลับมาหยุดลงที่ฉินอวี้โม่อีกครั้ง แม้ในตอนนี้จะประหม่าหรือกังวลเพียงใด พวกนางก็มั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกนางก็จะเลือกติดตามฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน
“หากต้องการจะเข้าร่วมสำนักเมฆาคราม เชิญมายืนที่จุดนี้…”
สำหรับวิธีการเลือกศิษย์เข้าร่วมขุมกำลังในครานี้ก็ถือว่าเรียบง่ายยิ่งนัก นั่นก็คือระบบการเห็นพ้องตรงกันของทั้งสองฝ่าย
ทุกคนสามารถเลือกขุมกำลังที่ต้องการเข้าร่วมได้มากถึงสามแห่งโดยจะเริ่มเรียงลำดับไปตามความแข็งแกร่งของสามสำนักและเก้านิกาย หลังจากจอมยุทธ์ทำการเลือกแล้ว ตัวแทนของสามสำนักและเก้านิกายก็จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าต้องการศิษย์คนใด แน่นอนว่าพวกเขาสามารถตัดสินใจไม่เลือกผู้ใดและมีสิทธิ์เลือกจอมยุทธ์ที่ตนชื่นชอบมากที่สุดเช่นกัน
นอกจากนี้ หากสามสำนักและเก้านิกายสนใจศิษย์คนใดที่ไม่เลือกขุมกำลังของตนเอง พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเอ่ยปากเชิญชวนด้วยตัวเองได้และจอมยุทธ์ก็มีสิทธิ์ที่จะตอบปฏิเสธได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม นอกจากฉินอวี้โม่ เกรงว่าคงแทบไม่มีใครที่จะปฏิเสธคำเชิญของสามสำนักและเก้านิกาย
สำนักเมฆาครามเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งในบรรดาสามสำนักและเก้านิกาย พวกเขาจึงได้มีสิทธิ์เลือกเป็นขุมกำลังแรก ยิ่งไปกว่านั้นสำนักเมฆาครามก็เป็นที่รู้จักกันดีและเป็นที่ชื่นชมของจอมยุทธ์มากมาย แน่นอนว่าตัวเลือกแรกของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นสำนักเมฆาคราม
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ฟู่อวิ๋นซิวกลับโบกมือเบา ๆ พร้อมรอยยิ้ม “ทุกคนไม่ต้องเลือกสำนักเมฆาครามของพวกเราหรอก บรรดาจอมยุทธ์ที่ข้าสนใจต่างก็มีความคิดอื่นเป็นของตนเอง และข้าก็ไม่สนใจในคนอื่นใดอีก เพราะฉะนั้นเชิญเลือกสำนักและนิกายอื่นเถอะ”
เขาไม่ต้องการให้คนอื่น ๆ เสียเวลาและกล่าวแสดงจุดยืนของสำนักเมฆาครามออกไปอย่างชัดเจน นอกเหนือจากฉินอวี้โม่และสหายของนาง เขาก็ไม่สนใจจอมยุทธ์คนใดแม้แต่คนเดียว ถึงอย่างไรสำนักเมฆาครามของพวกเขาก็รับเพียงศิษย์ที่มากพรสวรรค์เท่านั้นและไม่สนใจเรื่องของจำนวน
เมื่อได้ยินวาจาตรงไปตรงมาของฟู่อวิ๋นซิว ทุกคนก็เผยรอยยิ้มบาง ๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาไม่คิดมากแต่อย่างใดและยังรู้สึกประทับใจในสำนักเมฆาครามมากยิ่งขึ้น
“พวกเจ้าไม่ต้องตามข้าไปหรอก หากมีสำนักหรือนิกายใดที่สนใจ พวกเจ้าก็เชิญเลือกได้เลย”
เมื่อฉินอวี้โม่เห็นว่าเฝิ่งเยี่ยและคนอื่น ๆ ยังคงไม่ขยับเขยื้อน นางจึงอดกล่าวออกไปไม่ได้ นางไม่ต้องการทำให้เป้าหมายในชีวิตของพวกเขาล่าช้าไปเพียงเพราะเรื่องของตน ความเป็นจริงแล้วสถานการณ์ของนางก็ไม่ได้ดีนักและอาจต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังอย่างมากในอนาคต เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่ต้องการทำให้พวกเขาพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“อวี้โม่ หากเจ้าเห็นเราเป็นสหาย ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรเช่นนั้นอีก เราตัดสินใจแล้วว่าจะติดตามไปกับเจ้า”
เฉินหยางชั่วกล่าวอย่างตรงไปตรงมาและไม่เห็นด้วยกับวาจาของฉินอวี้โม่เท่าใดนัก
“ใช่ หากเจ้ากล่าวทำอะไรทำนองนี้อีก ข้าจะโกรธเจ้าแน่”
โหรวรั่วตบไหล่ฉินอวี้โม่และแสดงสีหน้าขึงขังเหมือนกับโกรธเคืองจริง ๆ
เฝิงเยี่ยและซ่างจู๋มู่ก็ไม่กล่าวสิ่งใดทว่าทัศนคติของทั้งสองก็ชัดเจนเช่นกัน
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาทว่ารู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ คนเหล่านี้เป็นสหายที่สามารถร่วมเป็นร่วมตายไปกับนางได้และสามารถฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามไปด้วยกัน
“พ่อหนุ่มฟู่ เจ้าตัดปัญหาไปได้มากทีเดียว…”
ฮว๋าสงตบไหล่ฟู่อวิ๋นซิวเบา ๆ ขณะกวาดสายตามองทุกคนและคาดเดาว่าผู้ใดคือคนที่ปฏิเสธคำเชิญชวนจากเขา
“ผู้ใดอยากจะเข้าร่วมสำนักห้าขุนเขา เชิญก้าวออกมาได้เลย”
จ้าวไห่กล่าวขึ้นอีกครั้งตามลำดับ ขุมกำลังลำดับที่สองคือสำนักห้าขุนเขาและลำดับที่สามคือสำนักเบิกภูผา ความแข็งแกร่งของสำนักห้าขุนเขาและสำนักเบิกภูผาเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกัน แรกเริ่มเดิมทีก็มีการโต้แย้งระหว่างทั้งสองขุมกำลังว่าใครควรจะได้ลำดับที่สองและลำดับสามไป อย่างไรก็ตาม ภายหลังพวกเขาก็ตกลงร่วมกันได้ว่าจะสลับสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละครั้งและในการคัดเลือกครานี้สำนักห้าขุนเขาก็ได้ลำดับก่อนสำนักเบิกภูผา
ความนิยมของสำนักห้าขุนเขาถือว่าไม่น้อยเลยเช่นกันและจอมยุทธ์ครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดก้าวออกมาด้วยสีหน้าที่คาดหวัง
เริ่นชินกวาดสายตามองคนเหล่านั้นและขมวดคิ้วเล็กน้อย บรรดาจอมยุทธ์ผู้ผ่านเข้ารอบที่ก้าวออกมาครานี้มิใช่กลุ่มผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ทว่าเป็นกลุ่มของฉินอวี้โม่ที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมที่ทำให้เขารู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม เริ่นชินมักที่จะรักษาหน้าของตนเองอยู่เสมอ ในเมื่อฉินอวี้โม่ไม่ก้าวออกมา เขาก็ไม่คิดเอ่ยปากเชิญชวนเช่นกัน เขาตัดสินใจเลือกจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งมากที่สุดสามคนในบรรดาผู้ที่ก้าวออกมาก่อนนั่งลงตามเดิม
แน่นอนว่าทั้งสามคนที่ถูกเลือกโดยเริ่นชินมีสีหน้าดีใจอย่างยิ่ง พวกเขาหันไปกล่าวกับคนรอบตัวก่อนเดินเข้าไปยืนด้านหลังเริ่นชินด้วยแววตาตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
หลายคนที่ไม่ถูกเลือกมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยทว่ากลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แม้ไม่ได้เข้าร่วมสำนักห้าขุนเขา พวกเขาก็ยังมีโอกาสอื่นอีก สำนักเบิกภูผาและอีกเก้านิกายก็ยังไม่เลือกศิษย์เข้าร่วม ตราบใดที่ได้เป็นหนึ่งในศิษย์ของขุมกำลังเหล่านี้ มันก็ถือว่าคุ้มค่าสำหรับพวกเขาแล้ว
ขุมกำลังลำดับที่สามคือสำนักเบิกภูผา ครานี้จำนวนผู้ที่เลือกสำนักเบิกภูผาและก้าวออกไปข้างหน้าก็ถือว่าลดน้อยลงอย่างมาก ทุกคนมีโอกาสเพียงสามครั้งเท่านั้นและครั้งแรกเสียไปกับการเลือกสำนักห้าขุนเขาแล้ว สำหรับสองโอกาสที่เหลือ พวกเขาจึงต้องการใช้มันกับสิ่งที่มั่นใจได้มากที่สุด
จอมยุทธ์มากกว่าสิบคนก้าวออกไปข้างหน้าและครึ่งหนึ่งในนั้นมิใช่คนที่เลือกสำนักห้าขุนเขาก่อนหน้านี้
“พวกเจ้าต้องการจะเข้าร่วมสำนักเบิกภูผาของข้ารึไม่?”
ฮว๋าสงเดินออกมาและสายตาบรรจบลงที่กลุ่มของฉินอวี้โม่ทันที เขามั่นใจว่าคนเหล่านี้คือผู้ที่ปฏิเสธฟู่อวิ๋นซิวในก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
สำหรับผู้ที่ฟู่อวิ๋นซิวให้ความสนใจและกล้าปฏิเสธการเข้าร่วมสำนักเมฆาคราม เชื่อว่าพวกนางจะต้องมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หากได้คนเหล่านี้เข้าร่วมสำนักเบิกภูผา บางทีขุมกำลังของเขาก็อาจจะก้าวข้ามผ่านสำนักห้าขุนเขาได้ในเวลาเพียงไม่นาน
“ขอบคุณสำหรับคำเชิญเจ้าค่ะ แต่เรามีตัวเลือกในใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยังคงปฏิเสธเช่นเดิม เฝิงเยี่ยและคนอื่น ๆ ก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่นเช่นกัน
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่บังคับฝืนใจ”
ฮว๋าสงก็ส่ายศีรษะเบา ๆ และเลือกจอมยุทธ์ห้าคนที่ก้าวออกไป
ความแข็งแกร่งภายนอกของจอมยุทธ์ทั้งห้าไม่แตกต่างไปจากฉินอวี้โม่มากนัก ทว่าพรสวรรค์ของพวกเขาก็เทียบกับนางไม่ได้ การได้ถูกเลือกโดยสำนักเบิกภูผาทำให้พวกเขามีความสุขและยินดีเป็นอย่างมาก
จอมยุทธ์ที่เหลือก็ถอยหลังกลับไปรวมตัวกับคนอื่น ๆ เพื่อรอเก้านิกายที่เหลือ
ฮว๋าสงและตัวแทนจากสามสำนักยังไม่รีบร้อนจากไป พวกเขาเองก็ต้องการเห็นเช่นกันว่าเก้านิกายจะเลือกรับศิษย์คนใด อีกทั้งสิ่งที่พวกเขาสงสัยใคร่รู้มากยิ่งกว่าก็คือฉินอวี้โม่และสหายของนางจะเลือกเข้าร่วมขุมกำลังใด
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ อวิ๋นเฟิงจากนิกายเมฆาล่องลอยซึ่งเป็นนิกายอันดับหนึ่งในทั้งเก้านิกายก็ก้าวขึ้นมาบนเวที
หลังจากกล่าวทักทายกับฟู่อวิ๋นซิวและคนอื่น ๆ สายตาของเขาก็เลื่อนไปหยุดลงที่ฉินอวี้โม่และสหาย
“เหอะ หากใครบางคนต้องการที่จะทำตัวเย่อหยิ่ง พวกเรานิกายเมฆาล่องลอยก็จะไม่มีที่ให้กับพวกเขา ข้าขอแนะนำไว้อย่าง..หากมัวแต่เลือกมากจนเกินไป ระวังจะไม่ได้อะไรกลับไปและกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น !”
เขาแค่นเสียงเล็กน้อยและกล่าวโดยที่มีความหมายแอบแฝง