การที่ฉินอวี้โม่ปฏิเสธคำเชิญจากสำนักเบิกภูผาทำให้อวิ๋นเฟิงไม่ชอบหน้าพวกนางยิ่งกว่าเดิม
ในสายตาของเขา คนเหล่านี้เป็นเพียงจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ธรรมดา ๆ ที่ผ่านการคัดเลือกเท่านั้น ทว่าพวกนางกลับปฏิเสธคำเชิญจากสองในสามสำนักที่ทรงพลังยิ่งกว่านิกายเมฆาล่องลอยของเขาเสียอีก เกรงว่านิกายของเขาก็คงจะถูกพวกนางมองข้ามไปเช่นกัน
แม้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่าจะติดตามไปด้วยกัน อวิ๋นเฟิงก็ยังเชื่อมั่นว่าพวกนางพยายามเรียกร้องความสนใจ
“หากท่านคิดว่าพวกเรากำลังทำตัวเย่อหยิ่งเพื่อเรียกร้องความสนใจ นั่นก็ตามแต่ท่านเถอะ !”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เข้าใจถึงความหมายถากถางของอวิ๋นเฟิงและตอบกลับเบา ๆ อย่างไม่คิดสนใจเขาเท่าใดนัก
ในตอนนี้ก็ใกล้ถึงตาของนิกายหมื่นบุปผาแล้ว ฉินอวี้โม่จึงพร้อมที่จะก้าวออกไปและไม่มีเวลาจะเสียไปกับการโต้เถียงกับอวิ๋นเฟิง
“อวิ๋นเฟิง เลือกคนที่เจ้าสนใจเร็วเข้าเถอะ อย่ามัวแต่กล่าวหาใส่ร้ายผู้อื่นอยู่เลย !”
ทุกคนเข้าใจความหมายของอวิ๋นเฟิงเป็นอย่างดี ทว่าในขณะที่ฟู่อวิ๋นซิวและฮว๋าสงกำลังจะเอ่ยปาก ฮวาเยว่ก็อดกล่าวออกไปไม่ได้
นางยังคงคิดเช่นเดิมและเชื่อว่าฉินอวี้โม่มิได้พยายามเอาดีเอาเด่นและเรียกร้องความสนใจเข้าใส่ตัว เพียงแต่ในตอนนี้นางก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าเป้าหมายของคนเหล่านั้นจะเป็นนิกายหมื่นบุปผาของนาง
“จะทำตัวเย่อหยิ่งเพื่อเรียกร้องความสนใจหรือไม่นั้น อีกไม่นานเราก็จะได้รู้กัน อวิ๋นเฟิง…ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายเมฆาล่องลอย เพราะฉะนั้นจะพูดจาอะไรก็จงระวังปากด้วยเถอะ”
เริ่นชินก็กล่าวออกมาเช่นกัน สำนักห้าขุนเขาของเขาและนิกายเมฆาล่องลอยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันพอสมควรและทุกคนต่างก็ทราบเรื่องนี้ดี
แม้ไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่และสหายพยายามเรียกร้องความสนใจจริงหรือไม่ ทว่าการกระทำของอวิ๋นเฟิงก็ไม่สมควรอย่างแท้จริงและมีแต่จะเป็นความเสื่อมเสียต่อนิกายเมฆาล่องลอย
อวิ๋นเฟิงก็เหมือนจะได้สติขึ้นมาและนึกรำคาญในใจ เขาขาดสติไปเพราะความฉุนเฉียวจริง ๆ จึงกล่าววาจาเช่นนั้นเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ออกไป
หลังจากนั้นเขาก็เพียงแค่นเสียงในลำคอและไม่สนใจฉินอวี้โม่อีกต่อไป
ครานี้มีจอมยุทธ์ที่สนใจเข้าร่วมนิกายเมฆาล่องลอยเพียงสิบคนเท่านั้น เดิมทีหลายคนก็ต้องการก้าวออกไปทว่าต้องเปลี่ยนใจเมื่อได้ยินวาจาของอวิ๋นเฟิง ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายเมฆาล่องลอย หากทะนงตนและมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ เกรงว่าจอมยุทธ์เหล่านี้อาจไม่มีโอกาสได้เป็นศิษย์หลักของนิกายเมฆาล่องลอย
สีหน้าของอวิ๋นเฟิงเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ และชี้ไปที่จอมยุทธ์สี่คนก่อนเดินลงจากเวที
เดิมทีทั้งสี่คนมีความสุขอย่างมาก ทว่าสีหน้าท่าทางของอวิ๋นเฟิงทำให้พวกเขาไม่กล้าแสดงความดีใจออกมาและเพียงเดินเข้าไปยังตำแหน่งที่นั่งส่วนของนิกายเมฆาล่องลอยด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ศิษย์ของนิกายเมฆาล่องลอยที่ติดตามมาก็ชายตามองทั้งสี่อย่างเย่อหยิ่งและไม่คิดสนใจพวกเขาเหล่านั้นแม้แต่น้อย
พวกเขาทั้งสี่รู้สึกอึดอัดใจยิ่งกว่าเดิมและรู้สึกผิดกับการตัดสินใจของตนในชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาคงไม่ก้าวออกมาหากทราบว่าจะเป็นเช่นนี้…
ต่อมานิกายลำดับที่สองก็คือนิกายหมื่นบุปผา
ฮวาเยว่ก้าวขึ้นบนเวทีอย่างช้า ๆ และยิ้มให้กับฉินอวี้โม่อย่างเป็นมิตร
“ผู้ใดสนใจเข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผา เชิญก้าวออกมาได้เลย”
จ้าวไห่ทราบถึงแผนการของฉินอวี้โม่มาก่อนแล้วและหากพิจารณาจากท่าทางของฮวาเยว่ก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าฉินอวี้โม่จะเข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผาได้อย่างไม่มีปัญหา
ทุกคนลังเลเล็กน้อยทว่ายังไม่มีปฏิกิริยาใด เนื่องจากทราบดีว่าศิษย์ในของนิกายหมื่นบุปผามีเพียงสตรีเท่านั้น เมื่อมีบุรุษเข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผา บุรุษผู้นั้นจะเป็นได้เพียงศิษย์นอกและไม่มีโอกาสได้รับการฝึกฝนที่สำคัญของนิกาย
จอมยุทธ์ผู้ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายในครานี้มีสตรีเพียงสี่คนเท่านั้นซึ่งก็คือฉินอวี้โม่ อวิ๋นซื่อเทียน เหมียวเจินเจินและจางซือถงซึ่งล้วนสนิทสนมกันอยู่แล้ว
แน่นอนว่าบุรุษคนอื่น ๆ ก็ตัดนิกายหมื่นบุปผาออกไปจากตัวเลือกในตั้งแต่แรกและไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะกลายเป็นศิษย์นอก
ฮวาเยว่มีท่าทางประหม่าเล็กน้อยและกำลังจะเอ่ยปากชวนฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทว่าจู่ ๆ พวกนางก็เคลื่อนไหวออกมาเสียก่อน
“พวกเรายินดีเข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผาเจ้าค่ะ”
ครานี้มีเพียงสี่คนที่ก้าวออกไปข้างหน้าและนั่นคือกลุ่มสตรีสี่คนของฉินอวี้โม่นั่นเอง
เมื่อครู่นี้ฉินอวี้โม่ได้กล่าวกับหานโม่ฉือและคนอื่น ๆ แล้วว่าหากทุกคนเลือกอยู่ในขุมกำลังเดียวกันกับนาง มันจะดูน่าสงสัยอย่างแน่นอน ฮวาเยว่ดูเป็นคนฉลาดเฉลียวและอาจจะไม่รับพวกนางเข้ามาเพราะสงสัยในความไม่ชอบมาพากล
หากมีเพียงสตรีสี่คนที่แสดงความสนใจ มันก็จะดูไม่แปลกจนเกินไปและฮวาเยว่ก็จะไม่นึกสงสัยสิ่งใดเช่นกัน
“ไม่แปลกใจเลยที่จะปฏิเสธคำเชิญจากข้า ที่แท้พวกนางก็ต้องการเข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผานี่เอง อันที่จริงนิกายหมื่นบุปผาก็ถือว่าเหมาะสมกับพวกนางมากกว่าเราจริง ๆ”
ฮว๋าสงทราบว่าหากเปรียบเทียบกับขุมกำลังอื่นทั้งหมด นิกายหมื่นบุปผาเป็นขุมกำลังที่เหมาะสำหรับสตรีมากกว่าขุมกำลังอื่น ๆ อย่างแน่นอน
นิกายหมื่นบุปผาคือนิกายที่มีสตรีเป็นแก่นสำคัญ ตราบใดที่มีพรสวรรค์มากพอ สตรีที่เข้าร่วมเป็นศิษย์จะได้รับการฝึกฝนฟูมฟักจากนิกายเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น นิกายหมื่นบุปผาก็มีทักษะยุทธ์พิเศษที่มีเพียงสตรีเท่านั้นจะฝึกฝนได้ นั่นคือสาเหตุที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เลือกนิกายหมื่นบุปผา
ฟู่อวิ๋นซิวรู้สึกมาตั้งแต่ต้นว่าเรื่องราวเบื้องลึกจะต้องไม่เรียบง่ายเช่นนั้นแน่ ทว่าเขาก็ไม่กล่าวสิ่งออกมาขณะที่สายตามองไปที่หานโม่ฉือและคนอื่น ๆ
ในเมื่อฉินอวี้โม่เลือกนิกายหมื่นบุปผาแล้ว ไม่อาจทราบได้เลยว่าหานโม่ฉือจะเลือกนิกายใด…
“ข้าเองก็สนใจในตัวเจ้าเป็นอย่างมาก หากเจ้าไม่ก้าวออกมา ข้าก็คิดที่จะเอ่ยปากเชิญชวนเจ้าด้วยตนเอง”
ฮวาเยว่ก็เปิดเผยความคิดของตนอย่างตรงไปตรงมา
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นก็ยินดีต้อนรับทุกคน อีกสองสามวันหลังจากนี้ พวกเจ้าทุกคนจะกลับไปที่นิกายหมื่นบุปผาพร้อมกับข้า”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พยักศีรษะพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ข้าก็อยากจะเข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผาเช่นกัน”
จู่ ๆ หานโม่ฉือก็ก้าวออกไปข้างหน้าและกล่าวขึ้นเบา ๆ
“ทำไมล่ะ?”
ฮวาเยว่ชะงักไปเล็กน้อยทันที นางรับรู้ได้ว่าหานโม่ฉือคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของฉินอวี้โม่ บุรุษหนุ่มที่มากพรสวรรค์เช่นนี้ ไม่ว่าจะลงเอยที่ใด เขาก็จะได้รับการฟูมฟักฝึกฝนในฐานะศิษย์คนสำคัญของขุมกำลังนั้นอย่างแน่นอน แล้วเหตุใดเขาจึงเลือกที่จะเป็นศิษย์นอกของนิกายหมื่นบุปผาเช่นนี้ ?
“ข้าจะติดตามภรรยาของข้าไปในทุกหนแห่ง ข้าไม่ต้องการแยกจากโม่เอ๋อร์ ไม่สำคัญว่าข้าจะต้องเป็นศิษย์นอกหรือไม่”
หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่ วาจาจริงใจของเขาแสดงถึงความอ่อนโยนและเอาอกเอาใจนางอย่างชัดเจนจนทุกคนสัมผัสได้
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่อยากเป็นกระบองตียวนยางแยกคู่เสียด้วยสิ หากเจ้าต้องการเข้าร่วมก็เชิญตามมาได้เลย”
* 棒打鸳鸯两分离 กระบองตียวนยางแยกคู่ เปรียบเปรยถึงคนที่บังคับแยกคู่รักให้พรากจากกัน
ฮวาเยว่ยกมือปิดปากและหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่สงสัยสิ่งใด ความรักที่หานโม่ฉือแสดงต่อฉินอวี้โม่ทำให้นางรู้สึกชื่นชมไม่น้อย
“ขอบคุณมากขอรับ”
หานโม่ฉือพยักศีรษะและกล่าวขอบคุณด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามปกติ
“อวี้โม่ เจ้าช่างโชคดีจริง ๆ ที่มีสามีที่น่าอิจฉาเช่นนี้”
ฮวาเยว่กล่าวพร้อมถอนหายใจ การได้พบคู่ครองที่จริงใจเช่นนี้ถือว่าเป็นความสุขอันสูงสุดของชีวิต
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปแนะนำกับศิษย์พี่ของเจ้าก่อน”
นางกล่าวและโบกมือให้กับคนอื่น ๆ ขณะเดินไปยังตำแหน่งที่นั่งของนิกายหมื่นบุปผาด้านล่างเวที
ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะให้กับเซิ่งเซียวก่อนเดินตามฮวาเยว่ไปอย่างรวดเร็ว
“นี่คือสามในสี่ยอดสตรีงามของนิกายหมื่นบุปผาของเรา เหมยเซียง หลานเซียงและจู๋เซียง นอกจากนี้ก็ยังมีจวี๋เซียงซึ่งยังอยู่ในสภาวะเก็บตัวจึงไม่ได้มาร่วมในครานี้”
หลังจากกล่าวแนะนำศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาทั้งสามคนซึ่งติดตามมาด้วย ฮวาเยว่ก็แนะนำฉินอวี้โม่กับคนเหล่านั้นเช่นกัน
“เฮ้ ท่านผู้คุมกฎ อย่าทำให้เรากลายเป็นตัวตลกสิเจ้าคะ เดิมทีอาจกล่าวได้ว่าเราเป็นสี่ยอดสตรีงามในนิกายหมื่นบุปผา ทว่าตอนนี้เมื่อมีศิษย์น้องอวี้โม่และศิษย์น้องซื่อเทียนเพิ่มมาแล้ว เราก็ไม่กล้ากล่าวว่าตัวเองเป็นสี่ยอดสตรีงามอีกต่อไป”
สตรีทั้งสามดูเป็นมิตรและเข้ากับผู้คนได้ง่าย พวกนางกล่าวทักทายกลุ่มของฉินอวี้โม่ทีละคนและเหมยเซียงที่อาวุโสกว่าคนอื่น ๆ ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่เหมยเซียงก็สุภาพเกินไปเจ้าค่ะ พวกท่านก็งดงามมากเช่นกัน”
เหมียวเจินเจินยิ้มและจับมือเหมยเซียงด้วยท่าทางสนิทสนม
“เจ้านี่นะ…”
เหมยเซียงลูบใบหน้าของเหมียวเจินเจินเบา ๆ และกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ต่อไปคือนิกายกระบี่สายฟ้า เหตุใดตัวแทนของนิกายกระบี่สายฟ้าจึงยังไม่มาอีกล่ะ ?”
จ้าวไห่เอ่ยเรียกตัวแทนของนิกายกระบี่สายฟ้าขึ้นมาบนเวที ทว่ากลับไม่พบแม้แต่วี่แววของใครสักคนซึ่งทำให้ทุกคนประหลาดใจกันยิ่งนัก