ณ ลานจัตุรัส บนแท่นเวทียกสูง จ้าวไห่เอ่ยเรียกซ้ำสี่ถึงห้าครั้งทว่ายังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ
“จ้าวนิกายเหลยเจี้ยนเชิงยังไม่มาอีกรึ ?”
เขาอดเอ่ยถามด้วยความสับสนงุนงงไม่ได้
สีหน้าของผู้คนทั่วทั้งลานจัตุรัสก็เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และหลายคนเริ่มกระซิบกระซาบกัน
“ตัวแทนของนิกายกระบี่สายฟ้ายังไม่มาแม้แต่คนเดียว พวกเขาคิดจะสละสิทธิ์ในการคัดเลือกครานี้งั้นรึ ?”
ตัวแทนของนิกายนภาครามซึ่งจะเลือกศิษย์หลังจากนิกายกระบี่สายฟ้าหันไปกระซิบกับตัวแทนของนิกายธาราแดงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขาด้วยสีหน้าที่สงสัยไม่ต่างกัน
“มิใช่หรอก ข้าได้ยินว่าครานี้จ้าวนิกายเหลยเจี้ยนเชิงจะเดินทางมาที่เมืองเทียนยงด้วยตัวเองและว่ากันว่าคณะของพวกเขาก็ออกเดินทางล่วงหน้ามาสองวันแล้ว”
ตัวแทนของนิกายธาราแดงขมวดคิ้วมุ่นเมื่อนึกย้อนไปถึงข่าวที่ได้รับมาก่อนหน้านี้
เขาได้ยินข่าวมาอย่างชัดเจนว่าตัวแทนจากนิกายกระบี่สายฟ้าออกเดินทางมาที่เมืองเทียนยงเป็นการล่วงหน้าและเหลยเจี้ยนเชิงผู้เป็นจ้าวนิกายก็เดินทางมาด้วยตัวเองเช่นกัน
“เราจะรออีกสักหนึ่งก้านธูปก็แล้วกัน หากตอนนั้นคนจากนิกายกระบี่สายฟ้ายังไม่ปรากฏตัว เราก็จะข้ามพวกเขาไป”
สามสำนักหารือกันและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
บุคคลสำคัญจากสามสำนักและเก้านิกายล้วนมีธุระต้องจัดการมากมายและไม่มีเวลารอนิกายกระบี่สายฟ้าได้นานนัก หากคนของนิกายกระบี่สายฟ้ายังไม่ปรากฏตัวขึ้นมาในเวลาอันใกล้นี้ก็ถือว่าพวกเขาสละสิทธิ์ในการเลือกศิษย์และไม่สามารถกล่าวโทษผู้ใดในภายหลังได้
ภายในชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปจนครบหนึ่งก้านธูป
“คนของนิกายกระบี่สายฟ้ายังไม่มาอีกรึ ?”
จ้าวไห่เอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากผู้ใด เขาก็กล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้น นิกายธารา…”
“ขออภัยด้วย เกิดเหตุบางอย่างจึงทำให้พวกเราล่าช้า ต้องขอโทษทุกคนด้วยจริง ๆ”
เสียงของเหลยเจี้ยนเชิงดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนทุกคนเห็นเขาเดินเข้ามากับบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่ง
เมื่อเห็นบุรุษข้างกายเหลยเจี้ยนเชิง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ชะงักไปเล็กน้อยทันที สีหน้าของอวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
บุรุษผู้นั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินเทียนที่ทุกคนไม่ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับเขามานานนั่นเอง
ไม่คิดเลยว่าฉินเทียนที่พวกนางพยายามตามหาจะได้เข้าร่วมกับนิกายกระบี่สายฟ้าและดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเหลยเจี้ยนเชิงจะสนิทสนมกันพอสมควร
ฉินเทียนยังไม่เห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ขณะพูดคุยกับเหลยเจี้ยนเชิงด้วยท่าทางที่เหมือนจะมีอารมณ์ที่ดี
“ท่านพ่อ…”
ฉินอวี้โม่ก็ส่งกระแสจิตไปหาฉินเทียนโดยตรง หากบิดาหันมาเห็นนางหลังจากนี้ เขาจะควบคุมสีหน้าท่าทางไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นนางจึงหาโอกาสทักทายเขาก่อนเพื่อมิให้เขาทำสิ่งใดบุ่มบ่ามและสามารถหลีกเลี่ยงข้อสงสัยของนิกายหมื่นบุปผาได้
ฉินเทียนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของฉินอวี้โม่ เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทันทีจนพบกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่ยืนอยู่ในตำแหน่งของนิกายหมื่นบุปผาด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“ท่านพ่อ ตอนนี้ข้า โม่ฉือและพี่ซื่อเทียนผ่านการคัดเลือกทั้งหมดและกลายเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาแล้ว ตอนนี้ท่านพ่อเสแสร้งทำเป็นไม่รู้จักพวกเราไปก่อน หลังจากนี้ข้าและโม่ฉือจะไปหาท่านเพื่ออธิบายเพิ่มเติมเองเจ้าค่ะ”
สาเหตุที่พวกนางเข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผาก็เพื่อตามหาเบาะแสเกี่ยวกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น หากฮวาเยว่ทราบว่าพวกนางมีความเกี่ยวข้องกับฉินเทียน เกรงว่าจะเกิดปัญหากับแผนการของพวกนางและกระตุ้นความสงสัยอย่างแน่นอน ทางที่ดีที่สุดคือการเสแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันเพื่อทำให้ฝ่ายนิกายหมื่นบุปผาวางใจและไม่สงสัยสิ่งใด
“ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว”
ฉินเทียนพยักศีรษะตอบรับ เขาทราบดีว่าควรทำอย่างไรและไม่สงสัยในวาจาของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย
“สหายฉิน มีอะไรรึ ?”
เสียงของเหลยเจี้ยนเชิงดังขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฉินเทียน เมื่อมองตามสายตาของฉินเทียน เขาก็มองเห็นฮวาเยว่และฉินอวี้โม่ที่อยู่ข้างหลังนาง
“สหายเหลย ข้าจะอธิบายให้ฟังในภายหลัง ตอนนี้จัดการเรื่องการคัดเลือกก่อนเถอะ”
ฉินเทียนตบไหล่เหลยเจี้ยนเชิงเบา ๆ และกล่าวเพื่อมิให้เขาถามสิ่งใดอีก
เหลยเจี้ยนเชิงก็เป็นคนชาญฉลาดและเข้าใจความหมายของฉินเทียนได้ในทันที เขาเหาะขึ้นไปบนเวทีและทักทายทุกคนก่อนกล่าว “เจ้าเมืองจ้าว เราเผชิญปัญหาล่าช้าเล็กน้อยในระหว่างทาง หวังว่าตอนนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์”
พวกเขาออกเดินทางมุ่งหน้ามาที่เมืองเทียนยงตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนทว่าเกิดเรื่องบางอย่างระหว่างทางส่งผลให้การเดินทางล่าช้าไปมาก หลังจากนั้นเขาก็รีบมุ่งหน้ามาที่ลานจัตุรัสแห่งนี้และเกือบพลาดขั้นตอนการเลือกศิษย์เข้านิกาย
“ไม่สายเกินไปหรอก ไม่สายเกินไป เพียงแต่การที่ทำให้พวกเราทุกคนต้องรอกันเช่นนี้ จ้าวนิกายเหลยก็อาจหาญทีเดียว!”
ความสัมพันธ์ระหว่างอวิ๋นเฟิงและเหลยเจี้ยนเชิงย่ำแย่มาเสมอ เมื่อสบโอกาส เขาจึงกล่าววาจาเหน็บแนมอีกฝ่ายในทันที
“เป็นความผิดของข้าเอง ขออภัยด้วย”
เหลยเจี้ยนเชิงไม่เสียเวลาโต้เถียงกับอวิ๋นเฟิงและประกบกำปั้นทั้งสองพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ
“จ้าวนิกายเหลยสุภาพเกินไปแล้ว นี่มิใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ได้ถือว่าสายเกินไปเลย”
ทัศนคติท่าทางของเหลยเจี้ยนเชิงทำให้ทุกคนอึดอัดใจกันเล็กน้อย ฮว๋าสงจึงกล่าวขึ้นทันทีเพื่อมิให้เหลยเจี้ยนเชิงต้องกล่าวขอโทษขอโพยอีกต่อไป
“เอาล่ะ ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมนิกายกระบี่สายฟ้า เชิญก้าวออกมาได้เลย”
จ้าวไห่กล่าวขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมนิกายกระบี่สายฟ้าก้าวออกมา
“พวกเจ้าเข้าร่วมนิกายกระบี่สายฟ้าเถอะ บุรุษที่อยู่ถัดจากจ้าวนิกายกระบี่สายฟ้าคือบิดาของข้าเอง”
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ส่งกระแสจิตบอกเฝิงเยี่ยและคนอื่น ๆ เพื่อให้พวกเขาเลือกเข้าร่วมนิกายกระบี่สายฟ้า
“หรือไม่พวกเจ้าก็เลือกเข้าร่วมกับสำนักเมฆาครามได้ ฟู่อวิ๋นซิวก็คงจะต้อนรับพวกเจ้าเช่นกัน”
นางกล่าวต่ออีกประโยค ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นที่เฝิงเยี่ยและคนอื่น ๆ จะต้องติดตามนางอีกต่อไป พวกเขาสามารถเลือกทางเดินชีวิตของตนเองได้ สำนักเมฆาครามเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งอย่างมากและนิกายกระบี่สายฟ้าก็มีบิดาของนางอยู่ ไม่ว่าสหายเหล่านี้จะเลือกเข้าร่วมกับขุมกำลังใด พวกเขาก็จะได้รับการฟูมฟักฝึกฝนในฐานะศิษย์คนสำคัญของนิกายอย่างแน่นอน ด้วยพรสวรรค์ของพวกเขา การได้เป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
เฝิงเยี่ยพยักศีรษะแสดงความเข้าใจทว่าไม่คิดเข้าร่วมกับสำนักเมฆาคราม แม้สำนักเมฆาครามจะมีความแข็งแกร่งในระดับที่เหนือกว่าและฟู่อวิ๋นซิวก็เอ่ยปากชวนด้วยตัวเอง ทว่าเมื่อเข้าร่วมขุมกำลังนั้นจริง การติดต่อสื่อสารกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็จะยากขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมกับนิกายกระบี่สายฟ้าจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ฉินเทียนคือบิดาของฉินอวี้โม่และมีเป้าหมายที่เหมือนกัน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะสามารถช่วยฉินอวี้โม่ได้อย่างเต็มที่เช่นกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ พวกเขาจึงก้าวออกมาข้างหน้าอย่างไม่ลังเลและเลือกเข้าร่วมกับนิกายกระบี่สายฟ้าทันที
ฉินเทียนกระซิบข้างหูเหลยเจี้ยนเชิงเบา ๆ เพียงไม่กี่คำก่อนพยักศีรษะให้กัน จากนั้นจ้าวนิกายกระบี่สายฟ้าก็ตัดสินใจรับเฝิงเยี่ยและคนอื่น ๆ มาเป็นศิษย์ของนิกายอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเซิ่งเซียว เฝิงเยี่ยและคนอื่น ๆ ที่ได้เข้าร่วมกับนิกายกระบี่สายฟ้า ฮวาเยว่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อวี้โม่ คนเหล่านั้นคือสหายของเจ้าทั้งหมดเลยรึ ?”
นางเอ่ยถามเบา ๆ ด้วยสีหน้าบ่งบอกความรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ ท่านผู้คุมกฎมีอะไรสงสัยหรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและตอบตามความจริง ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็สืบหาได้ไม่ยาก ในทางกลับกัน หากนางปฏิเสธออกไป มันก็จะทำให้อีกฝ่ายนึกสงสัยขึ้นมาได้
“ไม่มีอะไรมากหรอก เพียงแต่ช่วงนี้นิกายหมื่นบุปผาของเรามีเรื่องขัดแย้งกับนิกายกระบี่สายฟ้าอยู่เล็กน้อย หากพวกเขาเข้าร่วมกับนิกายกระบี่สายฟ้า คราวหน้าที่เจอกัน เจ้าก็อาจจะต้องระวังตัวไว้สักหน่อย”
ฮวาเยว่ส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวออกไป ทว่าไม่กีดกันฉินอวี้โม่และสหายเหล่านั้นเพียงเพราะความขัดแย้งระหว่างสองนิกาย
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับทว่านางไม่ทราบเลยว่าความขัดแย้งระหว่างนิกายหมื่นบุปผาและนิกายกระบี่สายฟ้าคือเรื่องใด
หลังจากนั้นการเลือกศิษย์ก็ดำเนินต่อไปและฉินอวี้โม่ก็มิได้ให้ความสนใจกับมันมากนัก อย่างไรก็ตาม จอมยุทธ์ที่ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายทุกคนล้วนได้เข้าร่วมหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือนิกายลำดับหลัง ๆ ที่เลือกศิษย์เข้าร่วมเป็นจำนวนนับสิบคน
หลังจากที่การเลือกศิษย์เสร็จสิ้น เหลยเจี้ยนเชิงและฉินเทียนก็เดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่และกลุ่มตัวแทนของนิกายหมื่นบุปผา
ฮวาเยว่ก็สังเกตเห็นคนเหล่านั้นและหันหลังกลับเพื่อเตรียมเดินจากไป ทว่านางก็ถูกหยุดไว้โดยเสียงของเหลยเจี้ยนเชิงเสียก่อน