เหลยเจี้ยนเชิงและฉินเทียนเดินตรงไปยังทิศทางของฉินอวี้โม่และนิกายหมื่นบุปผา ทว่าเมื่อเดินเข้าไปใกล้ พวกเขาก็เห็นว่าฮวาเยว่ที่หันหลังกลับและเตรียมจะเดินจากไป
“ฮวาเยว่ รอประเดี๋ยว ข้ามีเรื่องจะพูดคุยด้วยสักหน่อย”
เหลยเจี้ยนเชิงรีบเอ่ยหยุดนางไว้อย่างรวดเร็ว
“จ้าวนิกายเหลย ในช่วงที่ผ่านมานี้มีคนจากนิกายกระบี่สายฟ้าแอบซุ่มเข้ามาในนิกายหมื่นบุปผาของเราเป็นจำนวนไม่น้อยเลย ทว่าตอนนี้ท่านก็ยังจะมาขวางข้าไว้อีก สุดท้ายแล้วมีเรื่องอะไรกันแน่ ?”
ฮวาเยว่เริ่มหมดความอดทนและไม่ได้แสดงความเป็นมิตรต่อเหลยเจี้ยนเชิงแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม นางก็หยุดการเคลื่อนไหวและตอบกลับอย่างเยือกเย็น
“ท่านจอมยุทธ์ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสหายเหลย ทว่าเป็นข้าเองที่ต้องการจะหาคำตอบบางอย่าง คนจากนิกายกระบี่สายฟ้าเหล่านั้นเพียงออกไปช่วยสืบข่าวให้ข้าเท่านั้น”
ฉินเทียนไม่ยอมปล่อยให้เหลยเจี้ยนเชิงต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรมเพราะตน เขาจึงกล่าวออกไปและแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเอง
“ท่านเป็นใครกัน ? และท่านต้องการจะสืบทราบเรื่องใดเกี่ยวกับนิกายหมื่นบุปผาของเรา ?”
ฮวาเยว่หันไปมองฉินเทียนด้วยแววตาเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนและดูเหมือนจะไม่อยากพูดคุยกับเขาด้วยซ้ำ
“เขาคือผู้อาวุโสคนใหม่ของนิกายกระบี่สายฟ้าของเราและเป็นสหายคนสนิทของข้า—ฉินเทียน สิ่งที่เขาต้องการสืบหาก็คือเรื่องเกี่ยวกับภรรยาของเขา”
เหลยเจี้ยนเชิงตบไหล่ฉินเทียนพร้อมกล่าวออกไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะอยู่เคียงข้างฉินเทียน
“แล้วภรรยาของท่านเกี่ยวอะไรกับนิกายหมื่นบุปผากัน ?”
ฮวาเยว่ฉงนสงสัยอย่างที่สุดและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย นางเป็นสตรีที่ให้คุณค่ากับความรักและความชอบธรรม เมื่อได้ยินว่าฉินเทียนกำลังสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของภรรยา นางก็ไม่แสดงท่าทางเป็นปฏิปักษ์อีกต่อไป
“ความเป็นจริงคือภรรยาของข้าหายตัวไปมากกว่ายี่สิบปีแล้ว ข้าพยายามตามหานางมาตลอดและในที่สุดข้าก็ได้เบาะแสว่านางเคยปรากฏตัวในนิกายหมื่นบุปผา ข้าอยากไปที่นั่นด้วยตัวเอง ทว่าหากปราศจากคำเชิญจากนิกายหมื่นบุปผา ข้าก็เข้าไปที่นั่นไม่ได้ เมื่อถึงคราวสิ้นหวัง ข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขอให้สหายเหลยช่วยข้าสืบหาข่าว หากทำสิ่งใดให้ขุ่นเคืองใจ ข้าก็หวังว่าท่านจะให้อภัยข้าได้”
ฉินเทียนประกบกำปั้นเข้าด้วยกันและอธิบายถึงสถานการณ์ของตนเองอย่างไม่ปิดบัง
“ภรรยาของท่านเคยปรากฏตัวในนิกายหมื่นบุปผารึ ?”
ฮวาเยว่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเรียกสติกลับคืนมาและเอ่ยถามเพื่อความแน่ชัด
“ถูกต้อง ภรรยาของข้ามีนามว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ไม่ทราบว่าผู้คุมกฎเคยได้ยินบ้างหรือไม่ ?”
ฉินเทียนทราบถึงสถานะของฮวาเยว่เป็นอย่างดี หากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นปรากฏตัวที่นั่นจริง ในฐานะผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของนิกายหมื่นบุปผา ไม่มีทางที่นางจะไม่ทราบความเคลื่อนไหวภายในนิกาย เพียงแต่เขาไม่มั่นใจว่าฮวาเยว่จะตอบตามความจริงหรือไม่
เรื่องนี้ดูจะเป็นความลับของนิกายหมื่นบุปผา ไม่เช่นนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมานี้พวกเขาก็คงจะได้รับเบาะแสมาไม่มากก็น้อย
ฮวาเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนส่ายศีรษะและหยิบสมุดออกมาจากแหวนมิติยื่นให้กับฉินเทียน
“ลองตรวจสอบดูเองเถอะ สมุดนี้คือรายชื่อศิษย์ทั้งหมดของนิกายหมื่นบุปผาและไม่มีชื่อของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นบันทึกไว้”
ฮวาเยว่เป็นคนตรงไปตรงมาเช่นกัน นางทราบดีว่าหากกล่าวเพียงวาจาก็อาจไม่มากพอให้ฉินเทียนเชื่อได้ เพราะเหตุนั้นนางจึงหยิบรายชื่อให้เขาตรวจสอบดูด้วยตัวเอง ซึ่งในกรณีนี้ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกต้องเชื่อในสิ่งที่เห็น
ฉินเทียนรับสมุดดังกล่าวมาและไล่ดูรายชื่ออย่างรวดเร็วก่อนยืนยันว่าไม่มีชื่อของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่จริง
“ข้าดำรงตำแหน่งผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของนิกายหมื่นบุปผามาเป็นเวลานานและไม่เคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อน แต่ข้าก็เชื่อว่าท่านไม่ได้โกหก”
ฮวาเยว่มองฉินเทียนและเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหกตนอย่างแน่นอน
ฉินเทียนดูเป็นบุรุษที่จริงใจและตรงไปตรงมามาก แววตาของเขาก็บ่งบอกถึงความกังวลและความเป็นห่วงในตัวภรรยาจนฮวาเยว่รับรู้ได้ บางทีอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็อาจจะเคยปรากฏตัวในนิกายหมื่นบุปผาจริงหรือฉินเทียนอาจจะถูกหลอกโดยใครสักคนก็เป็นได้
“หลังจากกลับไปที่นิกาย ข้าจะช่วยสืบหาข่าวให้ หากได้เรื่องอย่างไร ข้าจะส่งคนไปแจ้งข่าวที่นิกายกระบี่สายฟ้า ท่านไม่ต้องส่งคนมาที่นิกายหมื่นบุปผาเพื่อสืบเรื่องนี้อีก”
นางกล่าวขึ้นเบา ๆ และแสดงทัศนคติอย่างชัดเจน
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณล่วงหน้า”
ฉินเทียนยกกำปั้นทั้งสองประกบกันอีกครั้งและกล่าวกับฮวาเยว่ด้วยสีหน้าจริงใจ
ความเป็นปฏิปักษ์ที่ฮวาเยว่มีต่อนิกายกระบี่สายฟ้าก็ลดน้อยลงมาก ในเมื่อทราบแล้วว่าการกระทำของพวกเขามีเหตุผลอันสมควรและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมิใช่การจงใจยั่วยุใด ๆ นางก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความไม่พอใจอีกต่อไป
“จ้าวนิกายเหลย ท่านและข้าต่างก็เป็นคนตรงไปตรงมา หากในอนาคตเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกก็แจ้งข่าวล่วงหน้าเพื่อขอเดินทางไปที่นิกายด้วยตัวเองได้เลย ในฐานะหนึ่งในจ้าวนิกายของนิกายทั้งเก้า ไม่มีทางที่จ้าวนิกายของเราจะไม่ยอมพบท่านหรอก”
ฮวาเยว่กล่าวกับเหลยเจี้ยนเชิงเพื่อแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน แม้จะสะสางความผิดใจก่อนหน้านี้แล้ว นางก็รู้สึกไม่สบายใจกับการกระทำอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ ของนิกายกระบี่สายฟ้า
“ฮวาเยว่ หากสิ่งต่าง ๆ เรียบง่ายอย่างที่เจ้าคิดมันก็คงจะดีไม่น้อย ทว่าเจ้าลองคิดเถอะดู..หากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นปรากฏตัวในนิกายหมื่นบุปผาจริง ทว่าเจ้าในฐานะผู้คุมกฎกลับไม่ทราบเรื่องอะไรเลย นิกายหมื่นบุปผาก็คงจะแตกต่างไปจากที่เจ้าเข้าใจ”
เหลยเจี้ยนเชิงกล่าวออกมาอย่างคลุมเครือและบางอย่างก็ไม่ได้สว่างสดใสเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก เขาทราบดีว่าฮวาเยว่เป็นสตรีที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตาม จ้าวนิกายหมื่นบุปผาก็อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
“ท่านหมายความว่าอะไรกัน ?”
ฮวาเยว่ขมวดคิ้วมุ่นทว่าเกิดความคิดบางอย่างในใจ หากเป็นจริงดังที่เหลยเจี้ยนเชิงกล่าวไว้ บางทีอาจมีเรื่องราวเบื้องลึกบางอย่างที่นางไม่ทราบอย่างแท้จริง
“เจ้าอาจจะได้เรื่องบางอย่างเมื่อกลับไปสืบหาข่าว แต่ข้าขอแนะนำให้เจ้าพยายามสืบหาข่าวอย่างลับ ๆ”
เหลยเจี้ยนเชิงไม่ต้องการอธิบายสิ่งใดอีกและเพียงกำชับฮวาเยว่ทิ้งท้าย
“เข้าใจแล้ว”
ฮวาเยว่พยักศีรษะและไม่กล่าวสิ่งใดอีก
“เอาล่ะ หากมีข่าวใด ข้าจะส่งคนไปแจ้งท่านโดยเร็วที่สุด”
หลังจากกล่าวทิ้งท้าย ฮวาเยว่ก็หันหลังและเดินจากไป
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เดินตามไปอย่างไม่รีรอเช่นกัน
“สหายฉิน ไปกันเถอะ”
เหลยเจี้ยนเชิงตบไหล่ฉินเทียนเบา ๆ แม้เห็นว่าสายตาของอีกฝ่ายจับจ้องที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างไม่วางตา เขาก็ยังไม่เอ่ยถามสิ่งใด
“ตกลง”
ฉินเทียนพยักศีรษะและเดินไปพร้อมกับเหลยเจี้ยนเชิงโดยมีเซิ่งเซียวและคนอื่น ๆ ตามอยู่ข้างหลัง
เมื่อมาถึงลานที่พักและเข้าไปในห้องโถง ฉินเทียนก็โบกมือเล็กน้อยเพื่อวางม่านป้องกันรอบห้อง
“คารวะท่านลุงขอรับ”
เซิ่งเซียวและทุกคนกล่าวทักทายฉินเทียนอย่างเคารพนับถือทันที
“สหายฉิน นี่มันเรื่องอะไรกัน ?”
เหลยเจี้ยนเชิงตกตะลึงไปครู่หนึ่งทันที ก่อนหน้านี้ฉินเทียนบอกให้เขารับคนเหล่านี้มาเป็นศิษย์ของนิกายทว่ายังไม่ได้อธิบายสิ่งใด และตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะรู้จักกันมาก่อน
“สหายเหลย เซิ่งเซียวและข้าต่างก็มาจากดินแดนเทพมายาด้วยกันและคนอื่น ๆ ก็เป็นมิตรสหายของบุตรสาวของข้า”
ฉินเทียนกล่าวแนะนำเซิ่งเซียวและคนอื่น ๆ กับเหลยเจี้ยนเชิงด้วยรอยยิ้มกว้างทันที
“บุตรสาวของสหายฉิน…เสี่ยวโม่เอ๋อร์น่ะรึ ?”
เหลยเจี้ยนเชิงเคยได้ยินเรื่องของฉินอวี้โม่จากฉินเทียนมาก่อนแล้วและร่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในความคิดทันที
“หรือว่าศิษย์คนใหม่ที่ติดตามฮวาเยว่ก่อนหน้านี้จะเป็นเสี่ยวโม่เอ๋อร์ ?”
เขาเอ่ยถามออกไปทันที เมื่อนึกย้อนไปถึงก่อนหน้านี้ที่ค้นพบว่าฉินเทียนแอบชำเลืองมองฉินอวี้โม่อยู่หลายครา เขาก็พอจะคาดเดาได้ไม่ยาก
“ถูกต้อง นางคือเสี่ยวโม่เอ๋อร์”
ฉินเทียนพยักศีรษะและตอบกลับตามความจริง
“ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะมีปฏิกิริยาเช่นนั้น ที่แท้นางก็เป็นเสี่ยวโม่เอ๋อร์นี่เอง”
เหลยเจี้ยนเชิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนหน้านี้เขาเพียงกวาดสายตามองไปโดยไม่ตั้งใจนัก ทว่าก็รับรู้ได้ว่าสตรีที่ติดตามฮวาเยว่เป็นสตรีที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง
“อีกประเดี๋ยวเสี่ยวโม่เอ๋อร์ก็คงจะมาที่นี่เช่นกัน”
ฉินเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกไป