เหลียนซวงยืนนิ่งด้วยสีหน้าตกตะลึงและแววตาแสดงถึงความไม่อยากเชื่อ คิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะเอาชนะนางได้อย่างง่ายดายเช่นนี้…
นางฝึกฝนอยู่ในนิกายหมื่นบุปผามานานมากกว่าสิบปีและมั่นใจว่าตนแข็งแกร่งพอที่จะเป็นหนึ่งในศิษย์สามอันดับแรกของนิกายได้ แน่นอนว่าเหลียนซวงไม่เคยคาดคิดว่าจะเพลี่ยงพล้ำต่อศิษย์ใหม่ของนิกายอย่างน่าอายเช่นนี้
แม้จะยังไม่ใช้ไพ่ตายทั้งหมดออกมา ทว่าการพ่ายแพ้ต่อฉินอวี้โม่ก็ยังทำให้นางรู้สึกถึงความอัปยศอดสูอย่างที่สุด
“ขอน้อมรับด้วยความยินดี”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและยื่นมือออกไปหาเหลียนซวงด้วยความหมายที่ชัดเจน
เหลียนซวงจ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยแววตาบ่งบอกความซับซ้อนก่อนส่งแต้มครึ่งหนึ่งของตนลงในป้ายหยกของฉินอวี้โม่
“ฉินอวี้โม่ ครานี้ข้าประมาทเจ้าเกินไป ทว่าจะไม่มีทางทำพลาดเช่นนี้อีกแน่ ในการแข่งขันประชันฝีมือภายในนิกาย ข้าจะต้องเอาชนะได้เจ้าอย่างแน่นอน !”
หลังจากกล่าวทิ้งท้าย เหลียนซวงก็สะบัดหน้าหันหลังและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“ว้าว ! ศิษย์น้องอวี้โม่ชนะแล้ว”
ในเมื่อฉินอวี้โม่เป็นผู้ที่คว้าชัยชนะได้ในท้ายที่สุด แน่นอนว่าศิษย์ฝั่งซ้ายที่สนับสนุนนางย่อมยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
ชัยชนะครานี้มิใช่เป็นเพียงเรื่องแต้มหลายร้อยแต้มเท่านั้น ทว่ายังเป็นตัวแทนของเกียรติยศศักดิ์ศรีของศิษย์ฝั่งซ้ายด้วยเช่นกัน ‘ศิษย์ใหม่ของฝั่งซ้ายเอาชนะศิษย์หลักของฝั่งขวาได้อย่างราบคาบ’ ไม่ว่าผู้ใดได้ยินก็ต้องรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา
“ศิษย์พี่เหลียนซวงพ่ายแพ้จริง ๆ”
ศิษย์ฝั่งขวาถึงกับตกตะลึงและงงงันด้วยแววตาว่างเปล่า แม้สำหรับผู้ที่ไม่ชอบหน้าเหลียนซวงและแอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่านางจะพ่ายแพ้ ทว่าเมื่อผลลัพธ์เป็นจริงเช่นนั้น พวกนางก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง
การที่สามารถเอาชนะเหลียนซวงได้ก็หมายความว่าจะเอาชนะพวกนางได้เช่นกัน ฉินอวี้โม่ผู้นี้น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”
สี่ยอดสตรีงามเดินเข้ามาแสดงความยินดีในชัยชนะของฉินอวี้โม่และรู้สึกดีใจไปกับนางอย่างแท้จริง
“อย่าเพิ่งทะนงตนไปล่ะ สาเหตุที่ครานี้เจ้าเอาชนะได้ง่าย ๆ ก็เป็นเพราะโชคช่วยส่วนหนึ่ง เหลียนซวงเป็นสตรีที่หยิ่งผยองอย่างมาก คราต่อไปนางจะทุ่มเทอย่างสุดฝีมือแน่ เพราะฉะนั้นเจ้าต้องหมั่นฝึกฝนอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะนางให้ได้ในครั้งหน้าเช่นกัน”
ฮวาเยว่ตบไหล่ฉินอวี้โม่เบา ๆ และกล่าวเตือนสติเพื่อมิให้นางหลงระเริงไปกับชัยชนะมากจนเกินไป
ครานี้สาเหตุที่ฉินอวี้โม่เอาชนะเหลียนซวงได้อย่างง่ายดาย ประการแรกก็เป็นเพราะเหลียนซวงประมาทคู่ต่อสู้ผู้นี้มากเกินไป และอีกประการหนึ่งก็คือความสามารถในการต่อสู้ของฉินอวี้โม่เหนือชั้นกว่าเหลียนซวงเป็นทุนเดิม
มั่นใจได้เลยว่าหลังจากการประจันหน้าครานี้ ฮวาหรงและเหลียนซวงจะศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการต่อสู้ของฉินอวี้โม่มากขึ้นอย่างแน่นอน รวมถึงศิษย์ฝั่งขวาเหล่านั้นก็จะคิดหาทางจัดการกับนาง
นอกจากนี้ ในการประชันฝีมือภายในที่จะมาถึง ข้อจำกัดในการดวลจะน้อยลงกว่าปกติมาก เมื่อถึงตอนนั้น ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะแสดงฝีมือกันได้อย่างเต็มที่และเหลียนซวงก็มีโอกาสเอาชนะฉินอวี้โม่ได้อย่างน้อยห้าในสิบส่วน
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและไม่คิดทะนงตนกับชัยชนะในครานี้
“เอาล่ะ ช่วงนี้พวกเจ้าจงหมั่นฝึกฝนต่อไปล่ะ หากสงสัยในสิ่งใดก็ถามข้าได้เลย หรือหากต้องการเข้าไปในหอสมบัติก็มาบอกข้าได้เช่นกัน ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ”
ฮวาเยว่กล่าวทิ้งท้ายก่อนจากไปพร้อมผู้อาวุโสทั้งสอง
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เจ้ามีฝีมือที่น่าทึ่งจริง ๆ”
ศิษย์ฝั่งซ้ายหลายคนเข้ามาทักทายและพูดคุยกับฉินอวี้โม่อย่างกระตือรือร้น
ในทางกลับกัน สีหน้าท่าทางของศิษย์ฝั่งขวาที่เหลือก็ดูท้อแท้และสีหน้าบ่งบอกความรู้สึกที่ซับซ้อน
“เป็นเพียงทักษะเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น มิคู่ควรแก่การกล่าวถึงหรอกเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ก็ทักทายทุกคนและตอบกลับด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน
“เอาล่ะ เอาล่ะ อย่ามัวแต่ยกยอศิษย์น้องอวี้โม่อยู่เลย หลังจากผ่านการต่อสู้เช่นนั้นมา ศิษย์น้องอวี้โม่ก็คงจะเหนื่อยน่าดู”
เหมยเซียงกล่าวและส่งสัญญาณให้ศิษย์ฝั่งซ้ายคนอื่น ๆ แยกย้ายกันกลับไป
ศิษย์เหล่านั้นก็เชื่อฟังแต่โดยดีและแยกย้ายกลับไปยังที่ของตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มของสี่ยอดสตรีงามและฉินอวี้โม่ก็กลับออกจากลานประลองเช่นกัน
“เราขอตัวไปฝึกวิชาก่อนล่ะ หากมีเวลาว่างในอนาคต เราคงต้องขอประมือกับศิษย์น้องอวี้โม่สักหน่อย”
จู๋เซียงแตะมือฉินอวี้โม่เบา ๆ พร้อมกับกล่าวออกมา นางต้องการที่จะประมือกับฉินอวี้โม่จากใจจริง
พวกนางเชื่อว่าหากได้ประมือกับฉินอวี้โม่ ความแข็งแกร่งและฝีมือของพวกนางจะพัฒนาขึ้นมาอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่ทั้งหลาย รอประเดี๋ยว…”
ฉินอวี้โม่เอ่ยเรียกพวกนางไว้และรีบหยิบป้ายหยกของตนขึ้นมา “ข้าขอคืนแต้มให้ศิษย์พี่ก่อนนะเจ้าคะ”
สี่ยอดสตรีงามมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนหยิบป้ายหยกของตนออกมายื่นให้กับฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ก็ไม่รอช้าและถ่ายโอนห้าร้อยห้าสิบแต้มให้กับเหมยเซียงก่อนยื่นป้ายหยกกลับคืนให้นาง
“ศิษย์น้องอวี้โม่ นี่เจ้ากำลังคิดที่จะทำอะไรกัน ?”
เหมยเซียงเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัยและสีหน้าค่อย ๆ กลายเป็นเย็นชา
“ข้ายืมแต้มมาจากศิษย์พี่เพื่อใช้ท้าดวลกับเหลียนซวง แม้ห้าสิบแต้มจะไม่มากนัก มันก็ถือว่าเป็นคำขอบคุณจากข้า”
ฉินอวี้โม่กล่าวอธิบายและกำลังจะโอนถ่ายแต้มให้กับอีกสามคนที่เหลือ
“ศิษย์น้องอวี้โม่ หากเจ้าคิดเช่นนั้น เราก็ไม่ต้องการห้าร้อยแต้มนั่นแล้ว !”
จวี๋เซียงฉวยป้ายหยกของตนจากมือฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ถูกต้อง เราให้เจ้ายืมแต้มไปด้วยความเต็มใจและไม่ได้หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น หากศิษยฺ์น้องอวี้โม่ยังเกรงใจเช่นนี้ เราจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว !”
จู๋เซียงกล่าวเสริมอย่างเห็นด้วยกับจวี๋เซียงและแสร้งทำเป็นโมโหไม่พอใจ
“ศิษย์น้องอวี้โม่ หากเรายืมบางสิ่งบางอย่างจากเจ้าไป เจ้าจะอยากให้เราตอบแทนเป็นการขอบคุณหรือไม่ล่ะ ?”
หลานเซียงถามกลับด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วยเช่นกัน
“นี่เป็นเพราะข้าคิดมากจนเกินไป ข้าผิดไปแล้ว ศิษย์พี่ทั้งหลายโปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด”
ฉินอวี้โม่เพียงต้องการตอบแทนน้ำใจพวกนางและไม่ได้คิดสิ่งใดมากนัก ทว่าหลังจากไตร่ตรองดูอย่างรอบคอบ นางก็ตระหนักว่ามันไม่เหมาะสมอย่างแท้จริง เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงรีบกล่าวขอโทษขอโพยอย่างจริงใจทันที
“หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต พวกเราจะไม่เห็นเจ้าเป็นศิษย์น้องแล้วนะ”
จวี๋เซียงยื่นป้ายหยกของตนให้กับฉินอวี้โม่อีกครั้งขณะบ่นอุบพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่พูดถูกแล้วจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่ก็โอนถ่ายแต้มห้าร้อยแต้มคืนให้กับศิษย์พี่ทั้งสี่ในขณะที่พวกนางพูดคุยหัวเราะกันอย่างสบาย ๆ
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เจ้าเคยกล่าวว่าต้องการใช้แต้มเพื่อแลกของในหอสมบัติ หากแต้มของเจ้าไม่พอละก็ เจ้าสามารถใช้แต้มของพวกเราก่อนได้ ถึงอย่างไรในช่วงนี้เราก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องการ ไม่ต้องกังวลล่ะ”
หลานเซียงจับมือฉินอวี้โม่และยื่นป้ายหยกของตนให้ฉินอวี้โม่อีกครั้ง
“ใช่ พวกเราไม่รีบร้อนใช้แต้มอยู่แล้ว ถึงอย่างไรด้วยความแข็งแกร่งที่มี เชื่อว่าศิษย์น้องอวี้โม่จะสะสมแต้มได้อย่างรวดเร็วและจะคืนให้พวกเราได้ในไม่ช้า”
อีกสามคนกล่าวอย่างเห็นด้วยทันที แม้ไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่ต้องการแลกสมบัติชิ้นใด พวกนางก็คาดเดาได้ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อฉินอวี้โม่มากและหวังว่าพวกตนจะได้มีส่วนช่วยนาง
“แต้มเหล่านี้มากพอแล้วเจ้าค่ะ หากในอนาคต แต้มของข้าไม่พอจริง ๆ ข้าก็จะไปรบกวนศิษย์พี่ทั้งหลายอีกครั้ง ขอบคุณทุกท่านมากเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณศิษย์พี่ทั้งสี่พร้อมรอยยิ้ม แต้มที่ได้มาเก้าร้อยแต้มนี้ก็ถือว่าเพียงพอที่จะแลกสิ่งที่เป็นประโยชน์กับนางได้บ้างแล้ว
จากนั้นทุกคนก็พูดคุยกันอยู่นอกลานประลองอีกพักใหญ่ก่อนแยกย้ายกันกลับไปยังเรือนที่พักของตน
ในอีกฟากหนึ่งของหุบเขาหมื่นบุปผา ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามมาถึงเรือนที่พักของฮวาหรงเพื่อปรึกษาหารือกัน
“ฉินอวี้โม่ผู้นั้น พวกเจ้าคิดว่านางเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ฮวาหรงเอ่ยถามด้วยแววตาแสดงจิตสังหารอย่างชัดเจน
“นางมิใช่จอมยุทธ์ที่ธรรมดาเลย ตราบใดที่มีเวลามากพอ นางจะก้าวข้ามพวกเราไปได้แน่”
ผู้อาวุโสรองขมวดคิ้วมุ่นและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับฉินอวี้โม่อย่างไม่ปิดบัง
“เหอะ สตรีเช่นนั้นจะกลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเราอย่างแน่นอน พวกเราสองฝั่งไม่ถูกกันมาเสมอและเราจะปล่อยให้นางพัฒนาเติบโตไปมากกว่านี้ไม่ได้เด็ดขาด !”
ฮวาหรงแค่นเสียงเย็นชาและน้ำเสียงของนางก็แสดงถึงความจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ท่านผู้คุมกฎหมายความว่าอะไรรึ ?”
ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามมองฮวาหรงอย่างระแวดระวัง
“ในเมื่อยังไม่มีใครที่บรรลุภารกิจนั้นได้ เราก็แค่ส่งนางไปที่นั่นก็พอ อยากเห็นนักว่านางจะเอาตัวรอดกลับมาได้รึไม่ !”