ฉินอวี้โม่มองจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและฮองเฮาเหวินหย่าอย่างรอคอย นางรู้ว่าทั้งสองพระองค์กำลังจะไขความกระจ่างในบางเรื่องให้นาง
“เสี่ยวอวี้โม่ แม่ของเจ้ามีนามว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นใช่หรือไม่ ?”
เหวินหย่ามองฉินอวี้โม่ และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความตื่นเต้นไม่ปิดบัง
“ท่านป้าเหวินหย่า ท่านไม่ทราบหรือเจ้าคะ ?”
เมื่อได้ยินคำถามของสตรีผู้สูงศักดิ์ ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ตามคำบอกเล่าของท่านปู่ฉินเฟิน ฉินเทียนบิดาของนางตบแต่งอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเข้าตระกูลอย่างถูกต้อง และการแต่งงานของพวกเขาก็เกิดขึ้นภายในนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้ …แต่ฮองเฮาเหวินหย่ากลับไม่รู้เรื่องนี้เลยอย่างนั้นหรือ ?
ฮองเฮาเหวินหย่าส่ายหน้า
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าไม่ต้องสงสัยหรอก ในเวลานั้นพวกเรารู้จักฉินเทียนพ่อของเจ้าและได้เจออยู่บ้าง แต่เราก็ไม่เคยเห็นภรรยาของเขาเลยสักครั้ง ข้าเกรงว่าคงมีน้อยคนนักในนครไป๋อวิ๋นที่รู้จักอวี๋เสี่ยวอวิ๋น แน่นอนว่าเรื่องที่ภรรยาของฉินเทียนคืออวี๋เสี่ยวอวิ๋นเราก็เพิ่งรู้กระจ่างชัดไปเมื่อครู่”
องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยเห็นฉินอวี้โม่ทอแววตางุนงง เขาจึงเอ่ยปากพูด
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ทว่าตอนนี้หัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความสับสน มีเหตุผลใดกันที่คนในเมืองไป๋อวิ๋นจะไม่รู้จักสะใภ้ใหญ่แห่งตระกูลฉิน ไม่แม้แต่จะรู้ชื่ออวี๋เสี่ยวอวิ๋น ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงภรรยาของฉินเทียนบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของฉินเฟินผู้นำของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งไป๋อวิ๋น
“ท่านป้าเหวินหย่า ท่านรู้จักมารดาของข้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่มองฮองเฮาเหวินหย่าแล้วเอ่ยปากถามอย่างใคร่รู้
“ไม่ใช่แค่รู้จัก พวกเราเติบโตมาด้วยกัน…”
สตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดในจักรวรรดิพยักหน้าก่อนจะกล่าวเล่าถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว
ในดินแดนหวงหลิงแห่งนี้มีขุมกำลังแสนลึกลับที่ลึกลับเสียยิ่งกว่าอารามและวิหารแห่งความมืด ขุมกำลังนี้มีนามว่า —— นครเมฆา
ผู้คนในนครเมฆาปลีกวิเวกออกมาจากโลกภายนอกเมื่อนานแสนนานมาแล้ว พวกเขาตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่กันเองอย่างเงียบ ๆ ในสถานที่ที่ห่างไกลทำให้มีน้อยคนนักในดินแดนหวงหลิงที่จะรู้จักพวกเขา นอกเหนือจากความลึกลับสุดจะหยั่งถึง ความแข็งแกร่งของนครเมฆาก็อยู่เหนือกว่าทุกขุมกำลังในแผ่นดิน กล่าวกันว่าแม้จะให้ทั้งอารามและวิหารแห่งความมืดผนึกกำลังกันก็ยังมิอาจสั่นคลอนนครเมฆาหรือแม้แต่ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันได้
และทั้งฮองเฮาเหวินหย่าและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็เป็นคนของนครลึกลับดังกล่าว
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นนั้นแท้จริงแล้วเป็นถึงบุตรีสุดที่รักของผู้ครองนครเมฆา นางเป็นสตรีผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากและมีพรสวรรค์อันสูงส่งและโดดเด่น ส่วนเหวินหย่าเป็นหลานสาวคนหนึ่งของผู้ครองนครและมีตำแหน่งเป็น ‘ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนครเมฆา’
จักรวรรดิไป๋อวิ๋นมีพันธสัญญาลับกับทางนครเมฆานั่นคือ นครเมฆาจะต้องส่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ใน ทุกๆ สี่อันดับที่ผันเปลี่ยนไปให้มาเชื่อมสัมพันธ์กับจักรวรรดิไป๋อวิ๋น หรือกล่าวโดยง่ายก็คือธิดาศักดิ์สิทธิ์ในอันดับที่ห้าจะถูกส่งมาให้แต่งงานกับจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นและเป็นฮองเฮาแห่งจักรวรรดิยิ่งใหญ่แห่งนี้ และเหวินหย่าก็คือธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่ถูกส่งมาเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
เหวินหย่าและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเติบโตมาด้วยกันในวัยเด็ก พวกนางรักกันมากและทั้งสองเป็นเสมือนพี่น้องร่วมอุทร
เหวินหย่าอายุมากกว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่หลายเดือน หลังจากผ่านพ้นพิธีสู่วัยสาวแล้ว นางก็ถูกส่งไปยังนครไป๋อวิ๋นเพื่อแต่งงานและกลายเป็นฮองเฮาของจักรวรรดิตามหน้าที่แห่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตน
และก่อนที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์หรือเหวินหย่าในเวลานั้นจะถูกส่งไปเข้าพิธีแต่งงาน อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็แอบบอกพี่สาวของนางอย่างลับ ๆ ว่าเมื่อนางโตเป็นผู้ใหญ่ นางจะไปยังนครไป๋อวิ๋นเพื่อเยี่ยมหา
ในตอนนั้นเหวินหย่าคิดว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นคงเพียงแต่พูดเล่นตามประสาเด็กน้อยที่โศกเศร้าเพราะต้องจากลาพี่สาวของตนเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านพ้นพิธีสู่วัยสาวและมีอายุได้สิบหกปี อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็มายังนครไป๋อวิ๋นจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม เหวินหย่าได้พบกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นก่อนที่บุตรีแห่งผู้ครองนครเมฆาจะตัดสินใจเดินทางออกจากนครไป๋อวิ๋นไปเผชิญโลกกว้างในแผ่นดินใหญ่
แน่นอนว่าแม้จะอยากห้ามมากเพียงใดแต่เหวินหย่าก็หยุดนางไม่ได้ อย่างไรก็ตาม นางก็ได้ขอให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นรับปากว่าจะยอมกลับมาที่นครไป๋อวิ๋นในอีกสามเดือนให้หลัง และเมื่ออวี๋เสี่ยวอวิ๋นกลับมาแล้วเหวินหย่าก็จะให้คนส่งตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นกลับไปยังนครเมฆาทันที
ทว่าไม่คิดเลยว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นจะไม่เคยกลับมาอีกเลยหลังจากนางจากไปในวันนั้น
มันราวกับว่านางได้จางหายไปจากโลกใบนี้และไม่มีผู้ที่เหวินหย่ารู้จักคนใดเคยได้ยินข่าวคราวของบุตรีแห่งผู้ครองนครเมฆาอีกเลย
เจ้าผู้ครองนครเมฆาทั้งโกรธและวิตกกังวลมากเมื่อทราบว่าบุตรสาวของตัวเองหายตัวไป เขาส่งคนออกตามหาทั่วทุกแห่งหนทว่ากลับไม่เคยพบเจอเบาะแสใดเลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อฉินอี้เฟยลืมตาดูโลก ไม่ทราบว่าด้วยวิธีใดแต่เจ้าผู้ครองนครเมฆาก็ได้รับรู้ในตอนนั้นว่า บุคคลที่มีสายเลือดแห่งนครเมฆาถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ นั่นจึงทำให้เขาคาดเดาว่าบุตรสาวของตนยังมีชีวิตอยู่และอาจจะเข้าพิธีแต่งงานอย่างลับ ๆ ไปแล้ว
เมื่อรู้ว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นแต่งงานและให้กำเนิดทายาท ในตอนแรกบิดาผู้เป็นใหญ่แห่งนครลึกลับของนางก็รู้สึกโล่งอก แต่ไม่นานอารมณ์ความรู้สึกของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว
เมื่อทราบว่าบุตรสาวสุดที่รักยังมีชีวิตอยู่ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้สึกยินดี ทว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นกลับแต่งงานโดยไม่บอกกล่าวเขาผู้เป็นบิดาเลยแม้แต่ครึ่งคำ นางทำราวกับตั้งใจปิดบังเรื่องนี้กับเขาและนั่นก็ทำให้เขาโกรธมาก
นครเมฆามีกฎที่สำคัญอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือนอกจากธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่จะถูกส่งไปสานสัมพันธ์โดยเฉพาะแล้ว พวกเขาจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดแต่งงานกับคนภายนอกอย่างเด็ดขาด แม้ว่าบิดาของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นจะเป็นเจ้าผู้ครองนครเมฆาทว่าเขาเองก็ยังมิอาจฝ่าฝืนกฎข้อนี้ได้
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินอวี้โม่ก็ลืมตาดูโลกอีกคน ในเวลานั้นนับว่ามีสายเลือดแห่งนครเมฆาปรากฏขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว
เจ้าผู้ครองนครเมฆาไม่สามารถหาตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้พบแม้จะใช้เวลาไปแล้วหลายปี ทว่าด้วยวิธีการบางอย่าง เขาสามารถมองเห็นจำนวนของผู้ที่มีสายเลือดแห่งนครเมฆาที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนได้ ในเมื่อตอนนี้มีคนที่มีสายเลือดนครเมฆาเกิดขึ้นมาถึงสองคนแล้ว นั่นเป็นการยืนยันว่าบุตรสาวของเขายังคงปลอดภัยดี
ในตอนนั้นเองที่เรื่องนี้ปิดเป็นความลับไม่ได้อีกต่อไป ในที่สุดบรรดาอาวุโสทั้งหลายของนครเมฆาต่างก็ทราบเรื่องทุกอย่างจนหมดสิ้น
เหล่าผู้อาวุโสพยายามกดดันให้เจ้าครองนครเมฆาจับตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นกลับมาให้ได้และให้นางรับโทษตามกฎของนคร ยิ่งกว่านั้น ฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟยลูกของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ถูกตราหน้าว่าเป็นทายาทอันมีสายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์ แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็ไม่ยอมรับเด็กทั้งสองและต้องการให้จับตัวพวกเขามารับโทษด้วย
ในฐานะบิดาและตา เจ้าผู้ครองนครเมฆาจึงยืนกรานปฏิเสธข้อเรียกร้องของเหล่าผู้อาวุโสของนครและด้วยเหตุนั้นเองก็ทำให้เขาไม่กล้าส่งคนออกตามหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอย่างโจ่งแจ้งอีก เขาจึงลอบขอให้เหวินหย่าผู้เป็นหลานและอยู่ในเมืองไป๋อวิ๋นช่วยตามหาบุตรสาวของเขาอย่างลับ ๆ และบอกเล่าปัญหานี้กับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเพื่อให้นางเตรียมตัวรับมือ
อย่างไรก็ตามแม้เหวินหย่าจะเป็นถึงฮองเฮาของจักรวรรดิใหญ่ทว่าหลังจากค้นหาอยู่นานก็ยังไร้ข่าวคราวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
จนกระทั่งฮองเฮาได้พบกับฉินอวี้โม่โดยบังเอิญที่เมืองเยว่กวาง
ฉินอวี้โม่และอวี๋เสี่ยวอวิ๋นดูคล้ายคลึงกันถึงเจ็ดส่วน กลิ่นอายและบรรยากาศจากตัวนางก็ยังแทบไม่แตกต่างกัน ฮองเฮาเหวินหย่าจึงเกิดความสงสัยขึ้น นางคิดว่าฉินอวี้โม่อาจจะเป็นบุตรสาวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากฮองเฮาเหวินหย่า ฉินอวี้โม่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก มารดาของนางเป็นสตรีที่น่าจะผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มามากมายและดูแล้วนางน่าจะแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่เกิดความสงสัยบางอย่างขึ้นในหัวใจ
ตามที่เหวินหย่าเล่ามา นางและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นมีใบหน้าที่คล้ายกันถึงเจ็ดส่วน ทว่าใบหน้าของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นทั้งในความทรงจำของคุณหนูสี่ผู้ล่วงลับและที่เธอได้พบเจอนั้นไม่ได้มีส่วนคล้ายคลึงกับฉินอวี้โม่เลย ยิ่งกว่านั้น อวี๋เสี่ยวอวิ๋นผู้ที่ควรจะเป็นสตรีที่มีฝีมือและพรสวรรค์สูงส่ง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะดูเป็นเพียงคนธรรมดาอย่างมารดาที่นางเคยเจอและถึงแม้ในประเด็นนี้ฉินอวี้โม่จะรับรู้เหตุผลว่ามารดาสูญเสียพลังไปตั้งแต่คลอดนางออกมา แต่เรื่องใบหน้าก็ไม่น่าแตกต่างกันได้ถึงเพียงนั้น และมารดาในความทรงจำของนางก็ดูคล้ายคนธรรมดามากกว่าเป็นอดีตบุตรสาวของเจ้าผู้ครองนครลึกลับที่แข็งแกร่ง
ถ้าหากเรื่องที่ฮองเฮาเหวินหย่าเล่ามาเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นแล้วก็มีทางเดียวที่เป็นไปได้คือ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่เมืองหลิงซีอาจจะไม่ใช่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริง !
อย่างไรก็ตาม หากเป็นไปตามข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่แล้ว ความสัมพันธ์ของ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋นในความทรงจำของฉินอวี้โม่’ กับ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริง’ จะต้องใกล้ชิดกันมาก และนางจะต้องเป็นผู้ที่ภักดีกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริงอย่างมากด้วย มิฉะนั้นแล้วนางคงไม่ดีต่อฉินอวี้โม่และปกป้องนางถึงเพียงนั้น
แต่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นคนนั้นเป็นผู้ใดกัน? แล้วตอนนี้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริงอยู่ที่ไหน ?
ฉินเทียนที่เมืองหลิงซีก็เป็นตัวปลอม ส่วนเยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ตามเข้ามาทีหลัง อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูคาดเดาว่าพวกเขาต้องไม่รู้ว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นตัวปลอมเป็นแน่
มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งด้วยว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริงและฉินเทียนตัวจริงอาจจะหายไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
ตามการสันนิษฐานของฉินอวี้โม่ก็คืออวี๋เสี่ยวอวิ๋นน่าจะเป็นฝ่ายที่หายตัวไปก่อน จากนั้นฉินเทียนที่รู้เรื่องนี้จึงวางแผนการบางอย่างขึ้นมาและแสร้งว่าหายตัวไปด้วย แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วเขาจะทำไปเพราะต้องการสิ่งใด หรือทำไปด้วยเหตุผลใดกัน ?
ยิ่งคิดฉินอวี้โม่ก็ยิ่งพบกับสิ่งที่น่าสงสัยอยู่เต็มไปหมด มีอีกหลายเรื่องราวที่นางจะต้องสืบหาความจริงให้ได้
เสี่ยวโร่วนั้นเด็กกว่านางและถูกรับเลี้ยงมาในภายหลังจึงเป็นไปไม่ได้ที่สาวใช้น้อยจะทราบเรื่องราวอันซับซ้อนนี้ ฉะนั้นผู้ที่น่าจะรู้ได้ก็มีเพียงฉินอี้เฟยคนเดียว … ‘ใช่แล้วพี่ใหญ่ของนางต้องรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน !’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจว่าหากกลับไปยังตระกูลนางจะต้องถามไถ่เรื่องนี้กับฉินอี้เฟย
“เสี่ยวอวี้โม่ ตอนนี้แม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วแน่นคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่นาน ฮองเฮาเหวินหย่าก็ส่งเสียงเรียกสติของนาง
นางและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นญาติกันและยังเสมือนเป็นไม่ต่างจากพี่น้องกัน ดังนั้นแล้วนางย่อมกังวลถึงสถานการณ์ของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจบอกฮองเฮาไปว่ามารดาของนางหายตัวไปแล้วที่เมืองหลิงซี ทว่าอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็ไม่ได้บอกเรื่องข้อสันนิษฐานที่ว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นผู้นั้นอาจจะไม่ใช่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริงออกไป
ไม่ใช่ว่าฉินอวี้โม่ตั้งใจจะปกปิดท่านป้าเหวินหย่าผู้ที่นางเพิ่งทราบว่าเป็นญาติทางฝั่งมารดา แต่เป็นเพราะนางก็ยังไม่แน่ใจในเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงไม่อยากกล่าวออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า
“หายตัวไปอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าถูกคนจากนครเมฆาจับตัวกลับไปหรอกนะ ?!”
เมื่อได้ยินว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นหายตัวไป ใบหน้างดงามของฮองเฮาแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและเป็นกังวล
“หยาหย่า หากว่านางถูกจับตัวกลับไปนครเมฆาจริง เจ้าผู้ครองนครเมฆาจะไม่แจ้งข่าวให้เจ้าทราบเชียวหรือ ?”
องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยกล่าวปลอบฮองเฮาผู้เป็นที่รัก ทว่าเขาก็ไม่คิดว่าคำปลอบนั้นจะยิ่งทำให้สตรีจากนครเมฆาเป็นกังวลหนักขึ้นกว่าเดิม
“หากเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งน่ากังวล หากไม่ใช่นครเมฆาจับตัวกลับไป นางจะไปอยู่ไหนได้ในแผ่นดินนี้ นางถูกใครจับตัวไปแล้วจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับนางบ้าง ?”
“ท่านป้าเหวินหย่าโปรดวางใจ ข้าคิดว่าตอนนี้ท่านแม่น่าจะปลอดภัย มิฉะนั้นท่านตาก็น่าจะรับรู้บางอย่างได้ ยิ่งกว่านั้น มีคำกล่าวกันว่าแม่และบุตรสาวมีจิตใจที่สื่อถึงกันได้ ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าท่านแม่ยังไม่มีอันตราย”
ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปลอบใจสตรีผู้อ่อนโยนที่นางเพิ่งรู้ว่าเป็นญาติ คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินรู้สึกว่าเหวินหย่าผูกพันกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นมากและเป็นห่วงนางจากใจจริงไม่มีร่องรอยแห่งการเสแสร้งอยู่แม้แต่น้อย
ในตอนนี้ฮองเฮาเหวินหย่าดูสงบลงมาบ้างเล็กน้อย ทว่าคิ้วเรียวของนางก็ยังขมวดน้อย ๆ และยังไม่คลายจากความกังวล
“ท่านป้าเหวินหย่า เหรียญตรานี้มีไว้ทำสำหรับทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ ?” เมื่อเห็นว่าฮองเฮาเหวินหย่ายังคงมีความกังวล ฉินอวี้โม่ก็รีบเอ่ยถามเรื่องอื่นเพื่อเปลี่ยนประเด็นสนทนา
เมื่อทราบถึงเจตนาของฉินอวี้โม่ที่ไม่อยากให้นางเป็นกังวล ฮองเฮาเหวินหย่าจึงส่งยิ้มให้สตรีผู้เป็นดั่งหลานสาวแท้ ๆ อย่างขอบคุณแล้วกล่าวตอบ “อวี้โม่ นี่คือป้ายหยกที่ท่านเจ้านครเมฆามอบให้น้องเสี่ยวอวิ๋นเมื่อนานมาแล้ว มันเป็น ‘ป้ายแสดงสถานะของเจ้าผู้ครองนครเมฆา’ หากมีสิ่งนี้อยู่ในมือคนจากนครเมฆาจะทำตามคำสั่งของเจ้าโดยไม่กล้าขัด”
ป้ายแสดงสถานะที่เหวินหย่ามอบให้ฉินอวี้โม่นี้เป็นป้ายสถานะที่มีระดับที่สูงส่งที่สุดในนครเมฆาแล้ว มันไม่ใช่เป็นเพียงป้ายที่แสดงบรรดาศักดิ์ของผู้ครอบครองเพียงอย่างเดียว ทว่ายังเป็นป้ายที่มีสิทธิและอำนาจอยู่ในตัวของมันด้วย
หากคนจากนครเมฆาพบป้ายนี้ พวกเขาจะต้องปฏิบัติกับผู้ถือป้ายเสมือนได้พบเจ้าผู้ครองนครเมฆา ในตอนที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นออกไปจากนครไป๋อวิ๋น นางได้ฝากป้ายนี้ไว้กับเหวินหย่าเพราะนางกลัวว่าอาจจะทำมันหายระหว่างการผจญภัยในโลกกว้าง ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งของป้ายนี้ ฮองเฮาเหวินหย่าจึงเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้นางพบผู้ที่คู่ควรจะเก็บรักษามันไว้แทนนางแล้ว
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนเก็บแผ่นป้ายนี้เอาไว้เช่นเดิม
ของสำคัญเช่นนี้ นางจะต้องเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดี
“เสี่ยวอวี้โม่ เมื่อความแข็งแกร่งของเจ้าไปถึงจุดที่อยู่เหนือทุกคนในจักรวรรดินี้ เจ้าก็สามารถไปยังนครเมฆาเพื่อพบท่านตาของเจ้าได้ หลายปีมานี้เขาคงเป็นกังวลและร้อนใจมาก และเหตุผลที่เจ้าต้องแข็งแกร่งก่อนจะไปเยือนที่นั่นก็เพราะเหล่าผู้อาวุโสหัวรั้นทั้งหลายเป็นพวกที่รับมือได้ยาก”
เหวินหย่าอดไม่ได้ที่จะกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมา นางรู้ดีว่าท่านเจ้าผู้ครองนครเมฆาพยายามอย่างหนักหน่วงมาหลายปีเพื่อจะทำให้ได้พบหน้าหลาน ๆ หากเขาได้เจอฉินอวี้โม่เขาก็คงจะมีความสุขมาก
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อฟังจากที่ฮองเฮาเหวินหย่าเล่ามา นางก็สัมผัสได้ถึงความรักที่เจ้าผู้ครองนครเมฆามีต่อมารดาของนาง
“เอ่อ… หากเป็นเช่นนี้พี่ชายของเจ้า ฉินอี้เฟยก็เป็นบุตรชายของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นด้วยอย่างนั้นหรือ ?”
ทันใดนั้นองค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง เขาจึงเอ่ยถามขึ้น
“จริงด้วยสิ ข้าเองก็เคยเห็นฉินอี้เฟยตั้งหลายครั้ง เหตุใดข้าถึงไม่เคยรู้สึกถึงเรื่องนี้เลย ?”
ฮองเฮาเหวินหย่านึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวนางเห็นฉินอี้เฟยมาหลายครั้งแล้ว ทว่านางก็เพียงแต่รู้สึกว่าบุรุษหนุ่มพรสวรรค์สูงผู้นั้นมีหน้าตาหล่อเหลาและดูค่อนข้างคุ้นเคย ทว่าก็ไม่ได้ชวนให้นางนึกถึงอวี๋เสี่ยวอวิ๋นแต่อย่างใด
ฉินอวี้โม่ยิ้มและไม่ได้กล่าวสิ่งใด
ฉินอี้เฟยมีส่วนคล้ายฉินเทียนเสียเป็นส่วนใหญ่ เขามีส่วนที่คล้ายกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ไม่เกินสี่ส่วน อีกทั้งฉินอี้เฟยยังเป็นบุรุษจึงไม่แปลกที่ฮองเฮาเหวินหย่าจะไม่เอะใจในตอนที่เห็นหน้าเขา สตรีสูงศักดิ์แห่งนครไป๋อวิ๋นเพียงแค่รู้สึกว่าเขาเป็นบุรุษหนุ่มอนาคตไกลที่ดูเป็นมิตรกับทุกคนดี แต่ทั้งหมดก็เพียงเท่านั้น
ทั้งสามคนนั่งสนทนากันอยู่อีกพักใหญ่ ฮองเฮาเหวินหย่าเล่าถึงเรื่องราวต่าง ๆ ของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นพลางมองฉินอวี้โม่อย่างเอ็นดู
ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากสายตาอ่อนโยนของสตรีที่เป็นเสมือนพี่น้องของมารดาผู้นี้อย่างเปี่ยมล้น ทว่าคุณหนูแห่งตระกูลฉินก็อยู่ต่ออีกไม่นานนักก่อนจะกล่าวลาฮองเฮาเหวินหย่าและจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและกลับไปยังตระกูลฉิน
เมื่อกลับมาถึงตระกูลฉิน ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นฉินอี้เฟยยืนรออยู่ที่เรือนพักของนางแล้ว