“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ ?”
ฉินอี้เฟยเห็นฉินอวี้โม่กลับมาช้า ด้วยความเป็นห่วงเขาจึงมารออยู่ที่เรือนพักของนาง
ฉินอวี้โม่พยักหน้า คุณหนูตระกูลฉินได้ยินเสียงน้ำเสียงที่ห่วงกังวลของพี่ชายได้อย่างชัดเจน นางจึงส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
หลังจากเข้ามาถึงห้องด้านในของเรือนพักและนั่งลงข้างกายฉินอี้เฟย ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถาม
เมื่อครู่นางเพิ่งจะบอกให้เสี่ยวโร่วเข้าไปพักผ่อน เรื่องที่นางจะคุยกับพี่ชายในวันนี้นางไม่อยากให้เสี่ยวโร่วต้องรับรู้เพราะกลัวว่าสาวน้อยอาจจะรับไม่ได้
“พี่ใหญ่ ท่านมีเรื่องปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่ ?”
เมื่อได้ยินคำถามของน้องสาว ฉินอี้เฟยก็มีท่าทีตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าอยากจะรู้เรื่องอะไรหรือ ?”
จากน้ำเสียงของฉินอวี้โม่ เขาสัมผัสได้ว่านางจะต้องรู้เรื่องราวบางอย่างมาเป็นแน่
“พี่ใหญ่ คนที่ชุบเลี้ยงและดูแลพวกเรามาไม่ใช่ท่านแม่ของเราใช่หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา นางเอ่ยถามออกไปตรง ๆ
“เจ้ารู้ด้วยหรือ ?”
เมื่อได้ฟังคำถามที่เอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเลของฉินอวี้โม่ ฉินอี้เฟยก็อดคิดไม่ได้ว่าน้องสาวผู้นี้ของเขาคงจะโตขึ้นแล้วจริง ๆ สตรีตรงหน้าเขาไม่ใช่น้องสาวตัวน้อยที่รอคอยให้เขาปกป้องอีกต่อไป บางทีตอนนี้คงถึงเวลาที่ต้องบอกให้นางรู้แล้ว
ด้วยคำถามนั้นของฉินอี้เฟยบวกรวมกับท่าทีของเขา ฉินอวี้โม่ก็รู้ในทันทีว่าการคาดเดาของนางถูกต้อง พี่ใหญ่ของนางจะต้องรู้บางสิ่งอย่างแน่นอน
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่เมืองหลิงซีคนนั้นไม่ใช่แม่จริง ๆ ของเรา แต่นางเป็นหญิงสาวที่เคยถูกท่านพ่อและท่านแม่ช่วยชีวิตไว้โดยบังเอิญ”
ฉินอี้เฟยกล่าวถึงสิ่งที่เขารู้มาออกไปตรง ๆ
ในตอนนั้นฉินอี้เฟยยังเป็นเด็กน้อย
หลังจากฉินเทียนตัดสินใจไปตั้งรกรากอยู่ในเมืองหลิงซี เขาก็พาอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ฉินอี้เฟย และฉินอวี้โม่ออกเดินทางโดยไม่ได้ให้บ่าวรับใช้หรือผู้คุ้มกันติดตามมาด้วย ในระหว่างทางไปยังเมืองหลิงซีนั้น ฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้ช่วยเหลือสตรีผู้หนึ่งนามว่า–หลี่ก่วน เอาไว้ หลี่ก่วนผู้นี้ซาบซึ้งในน้ำใจของสองสามีภรรยาจึงขออยู่ดูแลและติดตามรับใช้พวกเขา
หลังจากที่ครอบครัวของฉินเทียนพร้อมด้วยหลี่ก่วนเดินทางมาถึงเมืองหลิงซี ในช่วงแรกทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างชื่นมื่นและเป็นสุข
อย่างไรก็ตาม ฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่เดิมทีลงทุนเดินทางมาเมืองหลิงซีเพื่อหลบหนีคนกลุ่มหนึ่งกลับต้องพบเจอกับกลุ่มคนลึกลับอีกสองกลุ่มที่บุกมาโจมตีพวกเขาถึงจวนในเมืองหลิงซี
ทว่าดูเหมือนกลุ่มคนปริศนาสองกลุ่มนั้นจะไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ตรงกันเพราะทั้งสองเปิดศึกกันอย่างดุเดือดและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ได้หายตัวไปในตอนนั้น
อย่างไรก็ตาม ฉินเทียนนั้นเป็นคนฉลาดหลักแหลม แม้คนร้ายเหล่านั้นจะต่อสู้กันให้เห็นแต่เพราะภรรยาหายตัวไปเขาจึงเกรงว่าคนสองกลุ่มนี้อาจจะสมรู้ร่วมคิดกันหรือไม่ก็มีเบื้องลึกบางอย่าง
เพื่อความไม่ประมาท ฉินเทียนจึงจัดแจงสั่งการให้หลี่ก่วนแสร้งปลอมตัวเป็นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและกลายเป็นมารดาของฉินอวี้โม่กับฉินอี้เฟย
หลี่ก่วนยอมตกลงอย่างไม่ลังเลเพราะทั้งฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นต่างก็เป็นผู้มีพระคุณที่นางเป็นหนี้ชีวิต
ไม่นานหลังจากที่หลี่ก่วนแกล้งปลอมตัวเป็นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็มีคนอีกกลุ่มที่ไม่ทราบว่าใช่พวกเดียวกันกับสองกลุ่มแรกหรือไม่ลอบติดตามและซุ่มทำร้ายพวกเขาในขณะที่อยู่นอกจวน
ฉินเทียนใช้ประโยชน์จากการปรากฏตัวของกลุ่มคนลึกลับในครั้งนี้เพื่อหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากนั้นไม่นานฉินเทียนตัวปลอมก็ปรากฏตัวขึ้นที่จวนตระกูลฉินในเมืองหลิงซี
ภายหลังเมื่อหลี่ก่วนสืบจนแน่ใจอย่างกระจ่างแจ้งว่าฉินเทียนที่ปรากฏตัวขึ้นเป็นฉินเทียนตัวปลอม นางก็ได้รับการติดต่อจากฉินเทียนตัวจริงอยู่ครั้งหนึ่งและเป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ในตอนนั้น ฉินเทียนเพียงส่งข้อความสั้น ๆ ฝากฝังให้หลี่ก่วนคอยดูแลบุตรชายหญิงทั้งสองของตนและบอกว่าในเวลานั้นเขากำลังตามหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ในความมืด คาดว่าฉินเทียนคงจะพยายามสืบหาเบาะแสของคนปริศนาทั้งสองกลุ่มอย่างลับ ๆ ทว่าตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้ใดทราบอีกเลยว่าฉินเทียนตัวจริงอยู่ที่ไหนและกำลังทำสิ่งใด
ในตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมานานมากแล้ว
ในหลายปีที่ผ่านมา หลี่ก่วนทำหน้าที่แม่ให้กับฉินอวี้โม่อย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง นางรู้ว่าฉินเทียนที่เข้ามาภายหลังไม่ใช่ฉินเทียนตัวจริง ทว่านางก็จงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้เพื่อล้วงเอาข้อมูลของอีกฝ่าย
และนั่นเป็นทั้งหมดที่ฉินอี้เฟยรู้
ฉินอวี้โม่รับฟังและใช้สมองวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าทั้งบิดาและมารดาของนางต่างก็ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ใด และเหมือนว่าขุมกำลังปริศนาที่ทำให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นหายตัวไปกับขุมกำลังที่เข้ามาโจมตีในภายหลังจนทำให้ฉินเทียนตัวจริงหายไปจะไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็คาดว่ากลุ่มที่มาทีหลังนั้นน่าจะมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่กายเทพมายาของนาง
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าอย่าคิดมากเลยนะ ท่านพ่อและท่านแม่ไม่ใช่คนธรรมดา แม้ว่าเราจะไม่ทราบข่าวคราวของพวกเขาเลย แต่ข้าก็เชื่อว่าพวกเขาจะต้องปลอดภัย”
ฉินอี้เฟยลูบหลังมือบางของผู้เป็นน้องสาว เขาไม่อยากให้นางเป็นกังวลมากจนเกินไป
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็เชื่อมั่นในตัวบิดาและมารดา
ฟังจากที่ฮองเฮาเหวินหย่าเล่ามา อวี๋เสี่ยวอวิ๋นมารดาของนางเป็นสตรีร่างบางรูปโฉมงดงามพรสวรรค์สูงส่ง และจากการบอกเล่าของพี่ชาย นางก็ยังทราบว่าบิดาของนางเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ทั้งสองคนคงไม่เสียท่าให้ศัตรูได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน
“พี่ใหญ่ ท่านรู้ตัวตนของท่านแม่หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่มองฉินอี้เฟย ก่อนกลับมาที่จวนนางได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับมารดามาจากฮองเฮาเหวินหย่า นางไม่แน่ใจว่าพี่ชายของนางจะทราบเรื่องราวนี้หรือไม่
“ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือท่านแม่เป็นคนของนครเมฆา ส่วนเรื่องอื่น ๆ นอกจากนั้นข้าไม่รู้”
ในครั้งนี้ฉินอี้เฟยทำให้ฉินอวี้โม่ประหลาดใจอีกครั้ง …‘นี่เขารู้แม้กระทั่งว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นคนจากนครเมฆาเชียวหรือ ?’
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้ารู้ตัวตนของท่านแม่อย่างนั้นรึ ?”
ฉินอี้เฟยมองฉินอวี้โม่ เขาเองก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดฉินอวี้โม่ถึงได้ทราบว่าสตรีที่เลี้ยงดูพวกเขามาไม่ใช่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริง
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังหลวงให้ฉินอี้เฟยฟัง
เมื่อฟังจบฉินอี้เฟยก็พยักหน้า ฮองเฮาเหวินหย่าเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งนครเมฆา เรื่องนี้คนใหญ่คนโตและบุคคลสำคัญของนครไป๋อวิ๋นต่างก็ทราบกันดี ฉินอี้เฟยเองก็เคยคิดจะเข้าไปสอบถามเรื่องนี้กับฮองเฮาแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นอยู่เช่นกัน ทว่าเมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาก็เลือกที่จะไม่ทำเพราะเขาไม่แน่ใจว่าเหวินหย่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูของมารดากันแน่ หากพลาดพลั้งไปเขาอาจจะเป็นผู้นำพาหายนะมาสู่ครอบครัวหรือทั้งตระกูล
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าได้ยินว่าเจ้าพบคนที่เจ้ายินดีจะอยู่เคียงคู่แล้วอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฉินเฟินเล่าให้ฟัง ฉินอี้เฟยก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ใบหน้านวลของนางขึ้นสีแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
“หานโม่ฉือผู้นั้นดูน่าจะเป็นสุภาพบุรุษ ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
ฉินอี้เฟยพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยทราบเรื่องราวเกี่ยวกับบุรุษแห่งตระกูลลับผู้นั้นสักเท่าไหร่ ทว่าเขาก็ยังรู้สึกโล่งอก เท่าที่เขาทราบมาคือคนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยก็คงจะดูแลเสี่ยวโม่เอ๋อร์ของเขาได้และจากคำบอกเล่าของท่านอาและท่านปู่ เขารู้สึกว่าทั้งคู่น่าจะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข
“แต่อย่างไรก็เถอะ ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ อย่างน้อย ๆ เรื่องเช่นนี้เจ้าก็น่าจะบอกให้ข้ารู้ก่อน อย่าให้ข้าต้องรู้เอาเองจากวาจาของผู้อื่นเช่นนี้สิ”
ฉินอี้เฟยทอแววตาผิดหวังเล็กน้อยเพราะเขาเป็นถึงพี่ชายแท้ ๆ ของฉินอวี้โม่ ทว่าเขากลับแทบจะรู้เป็นคนสุดท้ายเลยก็ว่าได้
“ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะพี่ใหญ่ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตาใสใส่พี่ชายของนางอย่างออดอ้อน อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูมองดูฉินอี้เฟยอย่างรักใคร่ ตอนนี้ในหัวใจของนางรู้สึกเป็นสุขมาก
…ในชีวิตก่อน เธอไม่เคยมีญาติ เพื่อนสนิทก็แทบจะไม่มี แต่ในชีวิตนี้เธอได้พี่ชายที่รักเธอมาก อีกทั้งยังได้ปู่และญาติผู้ใหญ่มากมายที่น่านับถือ ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าหัวใจของเธอกำลังถูกเติมเต็ม เวลานี้อดีตสาวนักฆ่ารู้สึกมีความสุขกว่าชีวิตในศตวรรษที่ 21 อันเดียวดายของเธอมากมายเหลือเกิน…
หลังจากนั้นต่อมาอีกหลายวัน ฉินอวี้โม่ก็ดำเนินชีวิตต่อไปในรูปแบบเดิม
ในช่วงเช้าถึงบ่ายนางไปที่สมาคมช่างหลอมเพื่อเรียนรู้ทักษะการหลอม แล้วช่วงเย็นนางก็กลับมาฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ ภายในตระกูล ในช่วงเวลานี้พลังของนางคล้ายกับติดอยู่ในช่วงคอขวด การฝึกยุทธ์ก้าวหน้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นทว่าในด้านทักษะการหลอมกลับพัฒนารุดหน้าไปได้มากอย่างน่าพึงพอใจ
หลังจากความล้มเหลวทั้งสิบเก้าครั้ง ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็สร้างสิ่งหลอมระดับวิญญาณได้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งหลอมระดับวิญญาณขั้นธรรมดาทั่วไป ทว่าเรื่องนี้ก็ทำให้ทุกคนในสมาคมประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ต้องทราบก่อนว่าเยว่ชิงเฉิงต้องล้มเหลวมากกว่าร้อยครั้งก่อนจะสร้างสิ่งหลอมระดับวิญญาณขั้นธรรมดาทั่วไปได้สำเร็จ หรือแม้แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ในระดับหาได้ยากในแผ่นดินอย่างปรมาจารย์ผู้เฒ่าเยว่เหยาก็ยังต้องพยายามถึงยี่สิบห้าครั้งจึงจะหลอมสิ่งหลอมระดับวิญญาณชิ้นแรกได้ ทว่าเวลานี้คุณหนูตระกูลฉินผู้มีอายุเพียงสิบหกปีกลับประสบความสำเร็จก่อนปรมาจารย์ช่างหลอมผู้มีฝีมือสูงส่งถึงหกครั้ง นั่นจึงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์
ยิ่งกว่านั้น คุณหนูตระกูลฉินผู้นี้ก็เพิ่งจะเข้ามาในวงการช่างหลอมได้เพียงแค่เดือนเดียว แต่กลับสามารถสร้างสิ่งหลอมระดับวิญญาณขั้นธรรมดาและถือได้ว่ากลายเป็นช่างหลอมในระดับ ‘ขั้นต้น’ ไปได้แล้ว นางจึงนับเป็นระดับสุดยอดอัจฉริยะที่น่าอัศจรรย์ ต้องทราบก่อนว่าตั้งแต่ก่อตั้งสมาคมช่างหลอมมา ผู้ที่เป็นอัจฉริยะมากที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมดของสมาคมก็ยังใช้เวลาถึงสามเดือนกว่าจะบรรลุถึงระดับนี้
ปรมาจารย์เยว่เหยารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากกับพรสวรรค์ในการเป็นช่างหลอมของฉินอวี้โม่และในช่วงนี้เขาก็เริ่มชี้แนะฉินอวี้โม่ด้วยตัวเองแล้ว
เยว่ชิงเฉิงเองก็รู้สึกตกใจกับพรสวรรค์ของสหายสนิทผู้นี้เป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันมันก็ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากไปด้วย แต่สิ่งที่ทำให้นางตื่นเต้นและมีความสุขที่สุดก็คือเรื่องเล่าของฉินอวี้โม่ที่เล่าให้นางฟังในระหว่างเวลาว่างจากการฝึกหลอม
ระหว่างที่อยู่ในสมาคมช่างหลอมด้วยกันนั้น ฉินอวี้โม่มักจะเหล่าเรื่องราวแปลก ๆ ให้คุณหนูช่างหลอมผู้อยากเป็นช่างกลฟังเสมอ ตัวอย่างเช่น นางกล่าวว่านางเคยเห็นอาวุธลับที่สามารถบรรจุเข็มพิษกว่าร้อยเล่มและสามารถส่งให้เข็มเหล่านั้นพุ่งออกไปยังเป้าหมายได้ หรือจะเป็นเรื่องเครื่องร่อนอันทรงพลังที่แม้ว่าจะไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ระดับนภมายาและไม่มีอสูรมายาก็ยังสามารถช่วยทำให้บินบนฟ้าได้ แน่นอนว่าเรื่องพวกนั้นทำให้แววตาของเยว่ชิงเฉิงเป็นประกายอย่างมีความสุข
…
วันแรกของเดือนเก้า วันสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนัก
ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายทั้งหลายเดินทางมาลงชื่อสมัครกันตั้งแต่ในช่วงเช้าและกำลังรอคอยให้การสอบเริ่มต้นขึ้น
นับว่าการสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักนี้คึกคักมากจริง ๆ ผู้คนมากมายจากทั่วทุกสารทิศที่มาเข้าร่วมการสอบนั้นมีทั้งที่ฉินอวี้โม่รู้จักและไม่รู้จัก ซึ่งถ้าหากนับเฉพาะบุคคลที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้าคุ้นตาก็มีอยู่ไม่น้อยแล้ว
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจากตระกูลฉิน โอวหยางชิงเฟิงและลูกพี่ลูกสองของเขาสองคนนามว่า–โอวหยางชิงเซียว และโอวหยางชิงลั่ว จากตระกูลโอวหยาง เยว่ชิงเฉิงคุณหนูใหญ่แห่งสมาคมช่างหลอม เหย่าเซียนเอ๋อร์คุณหนูใหญ่แห่งสมาคมโอสถ สองพี่น้องฉีฉีและฉีอวี้ตัวแทนจากเชื้อพระวงศ์พร้อมด้วยหลิงเฟิง นอกจากนี้ยังมีหลิงซวงหลานสาวของท่านอ๋องหลิงสตรีงดงามผู้อยู่ในอันดับที่ห้าของสิบอันดับโฉมงามแห่งแผ่นดิน ส่วนบุคคลที่เป็นฝ่ายไม่กินเส้นกับฉินอวี้โม่ก็มี พี่น้องจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร หวังรั่วจวินและหวังรั่วอีพร้อมกับโฉมงามอันดับแปดจอมริษยาหลิวหว่านเยียน
นอกเหนือจากคนจากนครไป๋อวิ๋นเองแล้ว ยังมีคนจากเมืองอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งจากต่างแคว้นต่างจักรวรรดิก็ยังมาเข้าร่วมการทดสอบด้วย
มีอีกคนหนึ่งที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้าและยังมีความสัมพันธ์อันดีด้วย บุรุษผู้นั้นคือหนุ่มรูปงามผู้มีอัธยาศัยดีลั่วอวิ๋นบุตรชายของเจ้าเมืองเยว่กวาง
ผู้ที่รู้จักคุ้นหน้ากันทั้งหลายต่างก็เดินเข้าไปทักทายกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง
เป็นเพราะว่าหลังจากลงทะเบียนแล้วทางราชสำนักจะต้องทำการตรวจสอบก่อนแล้วจึงจะประกาศรายชื่อผู้ที่จะเข้าคัดเลือกได้ ซึ่งกระบวนการนี้ค่อนข้างใช้เวลานานทำให้ผู้มาสมัครหลาย ๆ คนนัดแนะรวมกลุ่มกันไปกินอาหารที่ตึกเต๋อเยว่หรือร้านอาหารชื่อดังอื่น ๆ ในเมืองก่อนจะกลับมาดูรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าคัดเลือกในช่วงเย็น
…
วันถัดมา เนื้อหาและรายละเอียดของการสอบคัดเลือกก็ถูกประกาศอย่างเป็นทางการ
วิธีการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักของปีนี้ต่างจากปีก่อน ๆ
การคัดเลือกของปีนี้จะมีความท้าทายและอันตรายที่สูงกว่าปีก่อน
ภายในโรงเรียนราชสำนักนั้นจะมีป่าลึกลับอยู่แห่งหนึ่งซึ่งถือเป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับเหล่านักเรียนหรือแม้แต่บุคลากรทั่วไป และการสอบคัดเลือกนักเรียนใหม่ของปีนี้ก็จะใช้ป่าลึกลับดังกล่าวเป็นสนามสอบ
ผู้เข้ารับการสอบจะได้รับแผ่นป้ายคนละหนึ่งแผ่นจากทางโรงเรียนราชสำนัก จากนั้นพวกเขาก็จะถูกส่งเข้าไปภายในดินแดนต้องห้าม
โดยแต่ละคนจะถูกส่งเข้าไปแบบสุ่มสถานที่ นั่นคือจะไม่มีผู้ใดทราบว่าตนเองจะปรากฏตัวยังจุดไหน และหลังจากเข้าไปแล้วทุกคนสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ซึ่งก็หมายความว่านี่จะต้องขึ้นอยู่กับโชคของผู้เข้าสอบด้วยว่าจะถูกสุ่มไปปรากฏตัวอยู่ใกล้ ๆ กับสหายหรือศัตรู
และกฎของการสอบที่แสนอันตรายของปีนี้คือ
ให้ผู้เข้าสอบแต่ละคนแย่งชิงแผ่นป้ายของผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ และเมื่อจบการทดสอบ ผู้ที่มีจำนวนแผ่นป้ายมากที่สุดจะถูกคัดเลือกให้เข้าโรงเรียนราชสำนักก่อนและจะไล่เรียงอันดับตามจำนวนแผ่นป้ายที่ได้ลงไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบจำนวนคนที่ทางโรงเรียนราชสำนักต้องการ แน่นอนว่าจำนวนนักเรียนที่เปิดรับนั้นมีอยู่อย่างจำกัด
เนื่องจากในปีนี้มีผู้เข้าสอบคัดเลือกมากกว่าปีอื่น ๆ หลายสิบเท่า ดังนั้นทางกรรมการจัดการสอบจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการคัดเลือกเช่นนี้เพื่อลดระยะเวลาในของการสอบลงไป
ปกติแล้วในปีก่อน ๆ การสอบจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว จัดการแข่งกันแบบแพ้คัดออกจนเมื่อเหลือจำนวนคนเท่าที่ทางโรงเรียนราชสำนักต้องการให้ถือว่าการสอบเสร็จสิ้นลง นี่นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบห้าสิบปีของโรงเรียนราชสำนักที่มีการใช้วิธีนี้สำหรับสอบคัดเลือกนักเรียนใหม่
กล่าวได้ว่าการสอบในปีนี้เข้มข้นและยากกว่าปีก่อน ๆ มาก อีกทั้งยังต้องพึ่งพาโชควาสนาของตนเองสูง หากโชคดีแม้ว่าฝีมือจะไม่ได้สูงส่งก็อาจจะผ่านการคัดเลือกได้ ในทางกลับกันแม้ว่าจะมีฝีมือสูงส่งแต่ถ้าโชคร้ายถูกผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ รุมเล่นงานระหว่างการสอบก็มีสิทธิ์สอบตกได้
เมื่อเห็นเนื้อหาการสอบของปีนี้ คนกลุ่มหนึ่งก็ผุดรอยยิ้มอันแสนชั่วร้ายในทันที พวกเขาเหล่านั้นก็คือกลุ่มคนจากอาราม
ลิ่วรุ่ยสั่งให้พวกเขาสังหารฉินอวี้โม่ให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถ้าหากการสอบเป็นดังเช่นในปีที่ผ่าน ๆ มก็จะต้องเป็นที่จับตามองและอาจจะทำให้ลงมือได้ยาก แต่หากได้เข้าไปในดินแดนต้องห้ามพวกเขาก็จะสามารถสังหารนางได้อย่างง่ายดายตามที่ต้องการโดยไม่มีผู้ใดกล่าวโทษได้ว่าความตายของนางเป็นเจตนาที่แท้จริงของอาราม
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายฉินอวี้โม่และพวกพ้องคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย เพราะด้วยวิธีการสอบนี้ก็จะเอื้ออำนวยให้พวกเขาสามารถร่วมมือกันจัดการกับคนของอารามได้เช่นกัน
และด้วยวิธีนี้ผู้ที่มีความแข็งแกร่งไม่สูงมากนักก็เริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้างเพราะยังสามารถใช้การวางแผนทำงานเป็นกลุ่มร่วมมือกัน หรืออาศัยสหายที่แข็งแกร่งกว่าช่วยในการสอบได้
หลังจากเนื้อหาในการทดสอบถูกประกาศออกไป ทุกขุมกำลังต่างก็รู้สึกมีความสุขกันทั่วหน้า ผู้เข้าสอบทุกคนดูมีความกระตือรือร้นกันมากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้บรรยากาศก่อนการสอบคัดเลือกจะเริ่มต้นก็ได้ร้อนระอุขึ้นมาแล้ว !