คู่ต่อสู้คนแรกของฉินอวี้โม่คือศิษย์ฝั่งซ้ายและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนางพอสมควร
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ต่อสู้พอเป็นพิธีก็พอและยั้งมือให้ข้าด้วยล่ะ”
ศิษย์พี่นามว่า ‘หมิงเยี่ยน’ ยิ้มให้กับฉินอวี้โม่และทั้งสองเดินขึ้นบนสังเวียนด้วยกัน
ศิษย์ฝั่งซ้ายหลายคนรู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก หลังจากเอาชนะเหลียนซวงและทำภารกิจที่โหดหินได้สำเร็จ นางก็ไม่วางท่าโอหังแม้แต่น้อยและนั่นทำให้หลายคนชื่นชมอย่างที่สุด
ความแข็งแกร่งของหมิงเยี่ยนก็ด้อยกว่าศิษย์พี่สี่ยอดสตรีงามของฉินอวี้โม่เพียงเล็กน้อยและนางก็ถือว่าเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ทรงพลังเป็นอันดับต้น ๆ ของฝั่งซ้ายเช่นกัน
และความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงถึงขั้นสูงสุด แม้ว่านางจะยังไม่ได้ทะลวงพลังไปอย่างสมบูรณ์ ทว่านางก็อยู่ห่างเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
หากเทียบกับความแข็งแกร่งในขอบเขตราชาเซียนขั้นกลางของฉินอวี้โม่ ภายนอกก็ดูเหมือนว่าหมิงเยี่ยนจะแข็งแกร่งกว่านางมาก
แท่นยกสูงห้าแท่นถูกจัดวางไว้ในลานประลองเป็นการชั่วคราวเพื่อให้ดำเนินการต่อสู้ไปห้าคู่พร้อมกันได้ หากคำนวณจากจำนวนผู้สมัครใจเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด คาดว่าการแข่งขันประชันฝีมือภายในของนิกายหมื่นบุปผาจะเสร็จสิ้นภายในเวลาสามวัน
“ศิษย์พี่ โปรดชี้แนะด้วย”
ฉินอวี้โม่ประกบกำปั้นทั้งสองเข้าด้วยกันโดยไม่กล่าวสิ่งใดยืดยาวก่อนพุ่งตรงเข้าไปหาหมิงเยี่ยนอย่างรวดเร็ว
หมิงเยี่ยนก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย นางหลบหลีกการโจมตีของฉินอวี้โม่พร้อมกับโจมตีตอบโต้กลับไปทันที
เนื่องจากทราบดีถึงความสามารถที่ยอดเยี่ยมของฉินอวี้โม่และทราบว่าคู่ต่อสู้ผู้นี้มีประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชน หมิงเยี่ยนจึงไม่กล้ายั้งมือมากนัก กระบี่ยาวเล่มหนึ่งปรากฏในมือของนางก่อนจ้วงแทงตรงไปที่ฉินอวี้โม่โดยที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายา
แม้ฉินอวี้โม่ไม่หยิบอาวุธออกมา นางก็สามารถหลบหลีกการโจมตีของหมิงเยี่ยนได้อย่างไม่กดดันใด ๆ
แม้ภายนอกดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของนางจะไม่ได้พัฒนาขึ้นมากนัก ทว่าแท้จริงแล้วมันพัฒนาขึ้นจากช่วงเวลาที่เข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผาในตอนแรกมากนัก กอปรกับทักษะยุทธ์บางอย่างของนิกายหมื่นบุปผา ประสิทธิภาพการต่อสู้ของนางในวันนี้จึงเหนือชั้นกว่าเมื่อก่อนมาก
พื้นฐานทักษะยุทธ์ของหมิงเยี่ยนก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม นางปลดปล่อยการโจมตีเพื่อกดดันฉินอวี้โม่อย่างต่อเนื่องและต้อนนางไปยังมุมหนึ่งของสังเวียนต่อสู้
กฎสำคัญอีกข้อหนึ่งของการประชันฝีมือครานี้ก็คือผู้ที่ตกจากขอบสังเวียนจะถือว่าตกรอบไปโดยปริยาย
หมิงเยี่ยนตระหนักดีว่าการเอาชนะฉินอวี้โม่นั้นไม่ง่ายนัก เพราะเหตุนั้นนางจึงเลือกใช้วิธีนี้เพื่อต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม
ฉินอวี้โม่เพียงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและคาดเดาเจตนาของหมิงเยี่ยนได้อย่างง่ายดาย ทันใดนั้น จู่ ๆ ร่างของนางก็หายวับไปจากสายตาของคู่ต่อสู้
จากนั้นพลังมายาก็ก่อตัวรวมกันกลายเป็นกระบี่ยาวหลายเล่มและพุ่งตรงเข้าหาหมิงเยี่ยน
หมิงเยี่ยนไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อยขณะเหวี่ยงฝ่ามือรอบตัวเพื่อป้องกันการโจมตีนั้น ในขณะเดียวกัน นางก็แผ่พลังมายาออกไปรอบตัวเพื่อสร้างม่านป้องกันที่สามารถบรรเทาความรุนแรงของการโจมตีจากฉินอวี้โม่ได้
พลังมายาเอ่อล้นออกไปรอบตัวนางอย่างต่อเนื่อง และภายใต้การควบคุมของหมิงเยี่ยน มันก็เปลี่ยนกลายเป็นบุปผาเบ่งบานที่ลอยตรงไปยังฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่านี่คือทักษะยุทธ์พิเศษของนิกายหมื่นบุปผา—หมื่นบุปผาบานสะพรั่ง พลังมายาของจอมยุทธ์จะเปลี่ยนกลายเป็นบุปผาจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งยากที่จะป้องกันได้ ยิ่งผู้ใช้ทักษะนั้นมีพลังมายาที่ทรงพลังเพียงใด มันก็จะยิ่งปลดปล่อยพลังที่น่าสะพรึงกลัวของทักษะนี้ออกมาได้
“ศิษย์พี่ ลองรับนี่ไป !”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะเปลวเพลิงร้อนระอุปรากฏตรงหน้าและปะทะเข้ากับบุปผาที่พุ่งตรงเข้ามา
และทันทีที่ปะทะกัน บุปผาที่ควบแน่นมาจากพลังมายาเหล่านั้นก็สลายหายไปจากโลกใบนี้ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
จากนั้น เพลิงทรงพลังของฉินอวี้โม่ก็ปะทุตรงไปที่หมิงเยี่ยนอย่างรวดเร็ว
ตูมมม !
หมิงเยี่ยนเหวี่ยงกระบี่เพื่อปัดป้องทันที อย่างไรก็ตาม พลังของเพลิงที่แกร่งกล้านี้ก็ยังคงผลักนางจนกระเด็นออกไปและล้มลงกระแทกพื้น
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ข้าแพ้แล้ว”
หลังจากพยายามทรงตัวและยืนได้อย่างมั่นคง หมิงเยี่ยนก็ยิ้มให้กับฉินอวี้โม่และยอมรับความพ่ายแพ้โดยตรง
แม้ทั้งสองฝ่ายไม่ใช้กระบวนท่าสังหารของตน หมิงเยี่ยนก็ทราบดีว่าตนมิใช่คู่มือของฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน
หากฉินอวี้โม่ใช้ความเร็วอย่างเต็มพิกัด หมิงเยี่ยนก็ไม่มีโอกาสรับมือได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการที่จะทำอันตรายต่อฉินอวี้โม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เพลิงร้อนระอุของฉินอวี้โม่ก็มีพลังที่มหาศาลอย่างที่สุด หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ควบคุมไว้ หมิงเยี่ยนรู้สึกได้ว่าตนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่มีทางรอดปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้อย่างแน่นอน
การประชันฝีมือระหว่างทั้งสองไม่ถือว่าดุเดือดมากนัก ผู้ชมทั่วบริเวณลานประลองก็มองเห็นแค่ว่าทั้งสองปะทะกันเพียงไม่กี่กระบวนท่าและจากนั้นหมิงเยี่ยนก็ถือโอกาสยอมรับความพ่ายแพ้ไปโดยตรง
“ศิษย์พี่หมิงเยี่ยนยอมให้นางชนะงั้นรึ ?”
ศิษย์คนหนึ่งกล่าวอย่างอดไม่ได้ ทุกคนทราบดีว่าความแข็งแกร่งของหมิงเยี่ยนจัดเป็นหนึ่งในศิษย์ยี่สิบอันดับแรกของนิกายหมื่นบุปผา และในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่านางยังไม่แสดงฝีมืออย่างสุดความสามารถด้วยซ้ำ
“ไม่มีทาง ศิษย์พี่หมิงเยี่ยนมิใช่คนเช่นนั้นหรอก ในเมื่อนางประกาศยอมแพ้ไปเช่นนี้ก็หมายความว่านางทราบดีว่านางเอาชนะศิษย์น้องอวี้โม่ไม่ได้ ไม่มีทางเป็นเพราะสาเหตุอื่นแน่”
ศิษย์อีกคนไม่เห็นด้วยและกล่าวต่อ “อีกอย่าง ศิษย์น้องอวี้โม่ก็แข็งแกร่งยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ในการเอาชนะเหลียนซวง นางก็ไม่ได้แสดงทักษะอะไรมากนัก การที่ศิษย์พี่หมิงเยี่ยนจะยอมแพ้เช่นนี้ก็มิใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด”
พวกนางไม่คิดว่าหมิงเยี่ยนจะคิดยอมแพ้อย่างไม่มีสาเหตุ แม้ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่จะยังไม่ชัดเจนมากนัก ทุกคนก็ทราบดีว่ามันมิใช่ระดับธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน และแม้การประมือเมื่อครู่นี้จะไม่ดุเดือดมากนัก ทว่าฉินอวี้โม่ก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างชัดเจน
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจการสนทนาของคนเหล่านั้นและเพียงเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเพื่อรอการต่อสู้ในรอบต่อไป
คู่ต่อสู้ของอวิ๋นซื่อเทียนก็ไม่แข็งแกร่งมากนัก ภายในเวลาหนึ่งก้านธูปหลังจากที่การต่อสู้ของฉินอวี้โม่จบลง การต่อสู้ในคู่ของนางก็สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม เหมียวเจินเจินและจางซือถงเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีความแข็งแกร่งในระดับไล่เลี่ยกับพวกตนซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หลังจากติดอยู่ในสภาวะจนมุมนานเกือบครึ่งชั่วยาม ทั้งสองก็เอาชนะได้และเข้าสู่รอบต่อไป
การประชันฝีมือในรอบแรกใช้เวลานานพอสมควรและผู้เข้าร่วมการแข่งขันครึ่งหนึ่งก็ตกรอบไป เมื่อท้องฟ้าเริ่มพลบค่ำ การประจันหน้าในรอบที่สองก็เริ่มต้นขึ้น
ฉินอวี้โม่ยังคงจับฉลากได้หมายเลขหกเช่นเดิมและคู่ต่อสู้คนใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
ครานี้นางโชคดีพอสมควรและได้พบกับคู่ต่อสู้ที่ไม่แข็งแกร่งมากนัก อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง
ศิษย์ผู้นี้มีนามว่า ‘เหลียนอู้’ ซึ่งเป็นคนที่สนิทสนมกับเหลียนซวง กล่าวได้ว่านางเป็นสุนัขรับใช้หมายเลขหนึ่งของเหลียนซวงและมักที่จะประจบประแจงเหลียนซวงอยู่เสมอ
เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ของตนคือฉินอวี้โม่ สีหน้าของเหลียนอู้ก็บิดเบี้ยวไปทันที
เดิมทีนางไม่ได้มีความแข็งแกร่งที่มากนักและเป็นเพียงเพราะความสัมพันธ์ที่มีต่อเหลียนซวงเท่านั้นที่ทำให้นางได้รับความสนใจในระดับหนึ่ง ก่อนหน้านี้เหลียนอู้ก็คาดหวังว่าตนจะผ่านเข้าไปในรอบลึก ๆ ได้และเป็นที่สนใจได้มากขึ้น ไม่คิดเลยว่าจะต้องประจันหน้ากับฉินอวี้โม่เร็วเช่นนี้
ฉินอวี้โม่เอาชนะได้แม้กระทั่งเหลียนซวงที่เป็นศิษย์อันดับต้น ๆ ของนิกาย เหลียนอู้ทราบดีว่าตนเทียบไม่ติดฝุ่นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม นางตั้งใจไว้ว่าต่อให้ต้องพ่ายแพ้ นางก็จะยื้อเวลาให้ได้นานที่สุดและแสดงความสนับสนุนต่อเหลียนซวงอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้รับความดีความชอบจากฝั่งขวามากขึ้นในอนาคต
การประชันฝีมือในรอบที่สองดำเนินไปตามหมายเลขจับฉลากเช่นเดิม ชุดแรกที่ทำการต่อสู้คือหมายเลขหนึ่งถึงห้าและไม่มีผู้ใดที่ฉินอวี้โม่รู้จักเป็นพิเศษ
ผู้เข้ารอบทุกคนก็ทำการต่อสู้เช่นเดิมจนได้ผู้ชนะ ศิษย์ผู้ชนะก็ล้วนแสดงสีหน้ามีความสุขอย่างยิ่งและศิษย์ที่ล้มเหลวก็ไม่หมดกำลังใจขณะตั้งตารอชมการประชันฝีมือต่อ ๆ ไป
สำหรับหมายเลขหกถึงสิบ นอกเหนือจากฉินอวี้โม่ที่จับฉลากได้หมายเลขหกก็ยังมีเหมียวเจินเจินที่จับฉลากได้หมายเลขเก้า คู่ต่อสู้ของนางในครานี้ก็อยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงซึ่งแข็งแกร่งมากกว่านาง
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่และเหลียนอู้ก้าวขึ้นบนสังเวียนอย่างช้า ๆ
“ฉินอวี้โม่ คราก่อนที่เจ้าเอาชนะศิษย์พี่เหลียนซวงได้เป็นเพราะโชคช่วยเท่านั้น สำหรับข้า…เจ้าเทียบกับศิษย์พี่เหลียนซวงไม่ได้เลยสักนิด !”
เหลียนอู้กล่าวยั่วยุเสียงดังเพื่อให้ทุกคนทั่วบริเวณลานประลองได้ยินอย่างชัดเจน