เมื่อก้าวขึ้นไปบนสังเวียนต่อสู้ เหลียนอู้ก็กล่าวยั่วยุฉินอวี้โม่และแสดงทัศนคติออกมาอย่างชัดเจน
ในฐานะผู้ติดตามของเหลียนซวง เป็นธรรมดาที่นางจะไม่ชอบหน้าฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งเอาชนะเหลียนซวงได้ นางจึงกล่าววาจาเย้ยหยันโดยไม่ลังเล
“ข้าไม่รู้หรอกว่าตัวเองแข็งแกร่งเพียงใด สิ่งที่ข้ารู้คือข้าจะเอาชนะเจ้าภายในหนึ่งก้านธูปได้อย่างแน่นอน !”
ฉินอวี้โม่ไม่โกรธเคืองและยกยิ้มมุมปากพร้อมกล่าวด้วยความมั่นใจ
“ยโสโอหังนัก !”
เหลียนอู้แค่นเสียงเย็นชาทันทีที่ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ทว่าในใจเริ่มรู้สึกผิดหวังกับการกระทำของตนเองขึ้นมาเล็กน้อย คราก่อนสตรีผู้นี้ก็เอาชนะเหลียนซวงได้และเมื่อครู่นี้ก็ทำให้หมิงเยี่ยนผู้ซึ่งแข็งแกร่งกว่านางตัดสินใจยอมแพ้ได้ง่าย ๆ ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ช่างประหลาดเกินเข้าใจ
ฉินอวี้โม่ก็เกียจคร้านเกินกว่าจะเสียเวลากล่าวสิ่งใดไร้สาระและพุ่งเข้าโจมตีเหลียนอู้โดยตรง นางไม่ยั้งมือและเร่งความเร็วถึงระดับสูงสุดทันที กระบวนท่าโจมตีของนางในครานี้เฉียบคมกว่าเดิมมากนัก
เหลียนอู้ยังไม่ทันตอบสนองด้วยซ้ำขณะฉินอวี้โม่ตรงเข้ามาปรากฏตัวตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ระหว่างทั้งสองไม่ถือว่าดุเดือดมากนักเช่นกัน เหลียนอู้ไม่แข็งแกร่งพอที่จะตอบโต้การโจมตีของฉินอวี้โม่และได้เพียงตั้งรับป้องกันด้วยสภาพที่ดูน่าสมเพชมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในเวลานี้ราวกับฉินอวี้โม่จงใจเล่นสนุกกับเหลียนอู้และไม่รีบร้อนเอาชนะ การโจมตีของนางแสดงถึงทักษะความชำนาญอย่างชัดเจนและไม่เผยให้เห็นช่องโหว่ใด ๆ ซึ่งทำให้เหลียนอู้ไม่มีโอกาสตอบโต้ได้เลย
“นี่มันทักษะอะไรกัน ?!”
ในขณะที่ยังป้องกันตัว เหลียนอู้ก็อดบ่นพึมพำไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางก็เคยประมือกับเหลียนซวงและศิษย์พี่หลายคนซึ่งมีความแข็งแกร่งภายนอกที่เหนือกว่าฉินอวี้โม่มากนัก ทว่าแม้แต่ในตอนที่ประมือกับเหลียนซวง นางก็ไม่เคยตกอยู่ในสภาพที่น่าอายมากเช่นนี้มาก่อน
ทุกการโจมตีของฉินอวี้โม่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติและเหลียนอู้มองหาช่องโหว่ไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะเหตุนั้น นางจึงไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้เลย
ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป เหลียนอู้ก็พยายามคิดหาวิธีรับมืออยู่ตลอด ทว่ายังคงเข้าไปประชิดตัวฉินอวี้โม่ไม่ได้ การโจมตีของนางไปไม่ถึงตัวฉินอวี้โม่เลยสักคราและนั่นทำให้เหลียนอู้หดหู่ใจยิ่งกว่าเดิม
“อวี้โม่ อย่ามัวแต่เล่นอยู่เลย พวกเรากำลังรอเจ้าอยู่ เร็วเข้า”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มและวาจาเหล่านั้นทำให้สีหน้าของเหลียนอู้บิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม
“หมดเวลาเล่นสนุกแล้ว”
เสียงกระซิบเบา ๆ ดังที่ข้างหูเหลียนอู้และพลังมหาศาลก็โจมตีเข้าใส่นางจนกระแทกนางกระเด็นออกจากสังเวียนต่อสู้ในทันที
ฉินอวี้โม่ไม่มีความบาดหมางที่ลึกซึ้งต่อเหลียนอู้และไม่จำเป็นต้องลงมือสังหารอีกฝ่าย เพราะฉะนั้น เพียงแค่ให้บทเรียนเช่นนี้ก็ถือว่ามากเกินพอ
“คิดไว้ไม่มีผิด ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งก้านธูปจริง ๆ ด้วย ศิษย์น้องอวี้โม่แข็งแกร่งเกินไปจริง ๆ !”
ศิษย์คนหนึ่งถึงกับถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่ล้นหลาม ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่น่าสะพรึงกลัวเกินไป ต่อให้เป็นเหลียนซวงที่ประชันฝีมือกับเหลียนอู้ก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของศิษย์น้องอวี้โม่จะเหนือกว่าพวกเราเสียอีก”
สี่ยอดสตรีงามมองหน้ากันและถอนหายใจยาว แม้ความแข็งแกร่งภายนอกของฉินอวี้โม่จะไม่มากเท่าพวกตน ความสามารถในการต่อสู้ที่ฉินอวี้โม่แสดงออกมาก็เหนือชั้นกว่าพวกนางมากนัก พวกนางเชื่อว่าโอกาสที่พวกนางจะเอาชนะฉินอวี้โม่คงจะมีอยู่น้อยมาก
“เหอะ !”
เหลียนอู้ทรงตัวยืนและแค่นเสียงในลำคอ เมื่อเห็นว่าสายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ตนอย่างเย้ยหยันถากถาง นางก็สะบัดหน้าหันหลังและรีบเดินออกไปทันที นางไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกแม้แต่อึดใจเดียว
“ไร้ประโยชน์ชะมัด !”
เหลียนซวงแอบสบถเบา ๆ กับตนเอง เดิมทีนางคิดว่าเหลียนอู้น่าจะสร้างปัญหากวนใจฉินอวี้โม่ได้บ้างหรือไม่ก็กดดันให้เปิดเผยพลังที่แท้จริง เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่าเหลียนอู้จะไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้ ฉินอวี้โม่เอาชนะเหลียนอู้ได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องเปิดเผยไพ่ตายที่มีแม้แต่น้อย
แม้เคยเชื่อว่าฉินอวี้โม่มิใช่คู่ต่อสู้ของตน ทว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็ทำให้เหลียนซวงหวั่นใจไม่น้อย หากฉินอวี้โม่ยังมีไพ่ตายซ่อนไว้ นางไม่มั่นใจเลยว่าจะเอาชนะได้ ด้วยเหตุนั้น นางจึงจับตาดูการต่อสู้ทั้งหมดของฉินอวี้โม่อย่างไม่ละสายตาและต้องการเห็นว่าสตรีผู้นั้นยังมีไพ่ตายใดซ่อนไว้หรือไม่
น่าเสียดายที่ทั้งหมิงเยี่ยนและเหลียนอู้ไม่เป็นภัยคุกคามต่อฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับการกดดันให้นางต้องใช้ไพ่ตายที่มี
ฉินอวี้โม่ก็ก้าวลงจากสังเวียนอย่างช้า ๆ และเดินกลับไปยังที่นั่งของตน
การประชันฝีมือในรอบที่สองดุเดือดกว่ารอบแรกเล็กน้อย นอกเหนือจากการเอาชนะอย่างง่ายดายของฉินอวี้โม่ การต่อสู้ของคนอื่น ๆ ในสังเวียนรอบตัวก็ถือว่าดุเดือดกว่ามาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสังเวียนต่อสู้ของเหมียวเจินเจินที่ดุเดือดตั้งแต่ต้นซึ่งกระตุ้นความตื่นเต้นให้กับผู้ชมทุกคนรอบลานประลอง
ความแข็งแกร่งภายนอกของเหมียวเจินเจินด้อยกว่าศิษย์พี่นามว่า ‘หยิ่นลี่’ อยู่มากพอสมควร ทว่าระหว่างช่วงที่ผ่านมา เหมียวเจินเจินก็ฝึกวิชากับฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนอยู่บ่อยครั้งซึ่งช่วยพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ของนางได้ในระดับหนึ่ง หากเป็นเหมียวเจินเจินคนเดิมก่อนหน้านี้ก็คงไม่มีโอกาสเอาชนะหยิ่นลี่แม้แต่น้อย ทว่าตัวนางในปัจจุบันสามารถรับมือกับอีกฝ่ายได้อย่างสูสีทีเดียว
หยิ่นลี่เป็นศิษย์ฝั่งขวา แม้ไม่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อฉินอวี้โม่ ทว่านางก็ไม่ชอบหน้าเหมียวเจินเจินและจางซือถงเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากการต่อสู้พักหนึ่ง นางก็เริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้เหมียวเจินเจินจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ในขอบเขตราชาเซียนขั้นกลาง ทว่าความสามารถในการต่อสู้ที่แสดงออกมาก็ไม่แตกต่างไปจากหยิ่นลี่มากนัก กระบวนท่าการต่อสู้ทั้งหมดของนางเต็มไปด้วยความช่ำชองและความประณีตโดยที่หาช่องโหว่ของหยิ่นลี่ได้ตลอดซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกปวดหัวอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่าหยิ่นลี่ก็ชาญฉลาดอย่างมากเช่นกันขณะพึ่งพาอาศัยพลังมายาของตนเองในการยับยั้งเหมียวเจินเจินไว้เพื่อมิให้อีกฝ่ายได้โอกาสแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน นางก็จะหาจังหวะที่เหมาะสมเพื่อจู่โจมเหมียวเจินเจินในจุดที่คาดไม่ถึง
การประชันฝีมือของทั้งสองติดอยู่ในสภาวะจนมุมนานครึ่งชั่วยามก่อนที่เหมียวเจินเจินจะใช้การจู่โจมแบบฉับพลันในขณะที่อีกฝ่ายประมาทไปเพื่อเอาชนะและเข้าสู่รอบต่อไปในที่สุด
“ศิษย์พี่ ขอบคุณสำหรับการชี้แนะ”
เหมียวเจินเจินยิ้มให้กับหยิ่นลี่อย่างมีความสุข การที่กระโดดข้ามระดับและเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าตนมากเป็นสิ่งที่เหมียวเจินเจินในอดีตไม่เคยคิดฝันด้วยซ้ำ การติดตามฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนทำให้นางพัฒนาได้มากจนแม้แต่ตนเองก็ยังแปลกใจ
“ทักษะการเคลื่อนไหวและท่าร่างของศิษย์น้องช่างล้ำเลิศยิ่งนัก ไม่ทราบว่าเจ้าเรียนรู้มาจากที่ใดรึ ?”
หยิ่นลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัยใคร่รู้ เหมียวเจินเจินและคนอื่น ๆ เพิ่งเข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผาเพียงไม่นานเท่านั้น อีกทั้งนางก็ทราบดีว่าในนิกายไม่มีทักษะการเคลื่อนไหวที่น่าทึ่งเช่นนี้อยู่ นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่เหมียวเจินเจินจะเรียนรู้มาจากนิกายหมื่นบุปผาอย่างแน่นอน นอกจากนี้ นางได้ยินมาว่าเหมียวเจินเจินและสหายเหล่านี้ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ แล้วพวกนางไปเรียนรู้ทักษะวิชาที่น่าทึ่งเช่นนี้มาจากที่ใดกัน ?
“พี่อวี้โม่สอนข้าเจ้าค่ะ”
เหมียวเจินเจินไม่ปิดบังและมองไปที่ฉินอวี้โม่ขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ทักษะการเคลื่อนไหวและท่าร่างของนางเป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากฉินอวี้โม่อย่างแท้จริงและกระบวนท่าส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่เป็นคนสอนด้วยตนเอง
หากเป็นนางเพียงคนเดียว ต่อให้มีพลังในขอบเขตราชาเซียนขั้นกลาง นางก็ไม่มีทางแสดงศักยภาพของตนเองออกมาได้เต็มที่
สิ่งที่ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนสอนช่วยให้นางประยุกต์ใช้ความแข็งแกร่งที่มีได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและทำให้มีความสามารถในการต่อสู้ที่ก้าวกระโดด
“ศิษย์น้องอวี้โม่งั้นรึ ?”
เมื่อได้ยินว่าคนที่สอนทักษะวิชาเหล่านี้ให้กับเหมียวเจินเจินคือฉินอวี้โม่ หยิ่นลี่ก็ประหลาดใจขึ้นมาและไม่อยากเชื่อเล็กน้อย
จอมยุทธ์ส่วนใหญ่ในดินแดนไม่มีทางแบ่งปันความรู้ที่สำคัญกับผู้อื่น นับประสาอะไรกับการสอนทักษะวิชาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ทักษะการเคลื่อนไหวและท่าร่างของเหมียวเจินเจินเมื่อครู่จัดเป็นทักษะวิชาระดับต้น ๆ ของดินแดนมหาเทพได้อย่างแน่นอน การที่ได้ทราบว่าฉินอวี้โม่สอนเหมียวเจินเจินเช่นนี้ทำให้หยิ่นลี่ไม่อาจสรรหาคำพูดใดอธิบายได้เลย…
“ฮ่า ๆ ๆ พี่อวี้โม่มิใช่แค่สอนวิชาให้กับข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ทว่าสอนพี่ซือถงและพี่ซื่อเทียนด้วยเช่นกัน พวกนางต่างก็ฝึกฝนจนมีความเข้าใจมากกว่าข้าเสียอีก”
เหมียวเจินเจินกล่าวต่ออีกประโยคซึ่งทำให้ศิษย์ส่วนใหญ่มองตรงไปที่ฉินอวี้โม่อย่างพร้อมเพรียงกัน
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของศิษย์เหล่านั้นทันที หากผูกมิตรและสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีกับฉินอวี้โม่ พวกนางจะได้เรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหวอันน่าทึ่งเหล่านั้นหรือไม่ ?